เป็นมุมมองของคุณธนา เธียรอัจฉริยะ แห่ง แฮปปี้ดีแทคยุคแรกนะครับ เขียนไว้ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับล่าสุด
GDH 559
เมื่อปลายปีที่แล้ว มีข่าวใหญ่สั่นสะเทือนวงการภาพยนตร์เป็นอย่างมากก็คือ การปิดตัวลงของบริษัท GTH ซึ่งเป็นบริษัทหนังอันดับหนึ่งของประเทศไทย แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะ GTH กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ทำรายได้จากหนังเรื่องต่าง ๆอย่างต่อเนื่อง แล้วอยู่ ๆ ก็ประกาศปิดตัวลงท่ามกลางข่าวลือเรื่องความขัดแย้งของผู้ถือหุ้น
ผมเองมีความเกี่ยวพันกับบริษัท GTH อยู่บ้าง ตั้งแต่สมัยที่ผมดูแลแบรนด์แฮปปี้ที่ดีแทคแล้วเข้าเป็นสปอนเซอร์ภาพยนตร์ของ GTH แบบเหมาเข่ง จำได้ว่าตอนนั้นตกลงว่าจะเป็นสปอนเซอร์อยู่สิบเรื่องตั้งแต่ในช่วงเริ่มตั้งบริษัท และยังเคยเอาคุณซิคเว่ เบรคเก้ ซีอีโอผมในสมัยนั้นไปเล่นหนัง GTH เรื่องมหาลัยเหมืองแร่เป็นบทสั้น ๆ ด้วย ในช่วงก่อตั้งใหม่ ๆ GTH พยายามผลิตหนังให้เป็นอุตสาหกรรม ทำปีหนึ่งหลาย ๆ เรื่อง แล้วก็ล้มลุกคลุกคลานกับการพยายามทำปริมาณมาก ๆ อยู่พอสมควร เพราะการทำหนังไทยในความเป็นจริงแล้วมีต้นทุนสูงมากแต่กำไรไม่มากนัก ถ้าขาดทุนเรื่องหนึ่ง ต่อให้ได้กำไรอีกสามเรื่องก็ยังอาจจะไม่คุ้มทุนทั้งหมดด้วยซ้ำ รวมถึงลักษณะงานเป็นงานที่ใช้ศิลปะด้านต่าง ๆ สูง การควบคุมเรื่องเวลาจึงทำได้ยากมากในช่วงเริ่มต้น การที่สปอนเซอร์ GTH ของผมในตอนนั้นก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนต้องเลิกรากันไป แต่ก็ทำให้ผมได้รู้จักพี่ ๆ ใน GTH หลายท่านจากการร่วมมือกันครั้งนั้น และได้ฟังเรื่องราวของ GTH มาโดยตลอด
GTH เป็นบริษัทร่วมทุนของ GMM Grammy ที่ถือหุ้น 51% ไทเอนเตอร์เทนเม้นท์ ที่ตอนนั้นเป็นเจ้าพ่อหนังไทยอีก 30% และบริษัทหับโห้หิ้นฯ 19% ซึ่งในตอนเริ่มต้นก็ดูมีความแข็งแกร่งคนละด้าน Grammy (ซึ่งผมเองก็เป็นศิษย์เก่า) มีสื่อและศิลปินอยู่ในมือมาก ไทเอนเตอร์เทนเม้นท์ก็มีความเชี่ยวชาญของอุตสาหกรรม ส่วนหับโห้หิ้นฯก็มีทีมทำงานคุณภาพที่รักหนังไทย แต่กว่าจะหาสูตรจนลงตัวได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร เพราะอุตสาหกรรมหนังไทยนี้ไม่ง่ายเลย
ผมเองเป็นกรรมการบริษัทของโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง ก็เลยมีโอกาสรู้ว่าการทำหนังไทยให้ประสบความสำเร็จนั้นยากมาก ๆ เหมือนคนที่ชอบพูดกันเล่น ๆ ว่า เกลียดใครควรยุให้ทำหนังไทย ซึ่งก็เป็นความจริงโดยสถิติเพราะหนังไทยที่เข้าโรงแต่ละปีมีประมาณ 30 กว่าเรื่องที่ทำกำไรได้ปีละเพียง 3-4 เรื่องเท่านั้น โอกาสที่จะทำกำไรได้ต่อเรื่องนั้นน้อยยิ่งกว่าน้อยแล้ว โอกาสที่บริษัททำหนังไทยที่จะทำกำไรต่อเนื่องและแทบไม่ขาดทุนเลยยิ่งแทบเป็นไปไม่ได้ แต่ GTH ก็ทำได้และเป็นบริษัทเดียวที่ทำได้ด้วยซ้ำ ความสำเร็จของ GTH จึงเรียกได้ว่าไม่ธรรมดา
ที่มาของความสำเร็จของ GTH คงมีหลายประการ แต่ที่ผมสังเกตเห็นเรื่องราวของ GTH ก็มักจะเห็นเงาของ พี่เก้ง จิระ มะลิกุล อยู่ตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ผมรู้จัก GTH ผมสัมผัสได้ถึงความรักหนังไทยและเรื่องราวที่พี่เก้งทุ่มเทชีวิตให้กับการพัฒนาหนังไทย ยอมทุกอย่างรวมถึงรายได้ที่ไม่ได้ดีเลย การทำงานด้านโฆษณาเสริม และการดิ้นรนต่าง ๆ เพื่อที่จะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ผู้กำกับหลายคนที่ยอมทำงานแบบยากลำบากก็เพราะพี่เก้ง ผมรู้เลยว่าที่ GTH ทำหนังได้ประสบความสำเร็จถึงขนาดนี้ นอกจากการลองผิดลองถูกจนมีประสบการณ์ และชำนาญในงานที่ทำแล้ว พี่เก้งเป็นเสาหลักที่สำคัญอย่างมากคนหนึ่งในกระบวนการแห่งความสำเร็จนี้
สิ่งหนึ่งที่ทีม GTH ค้นพบจากการลองผิดลองถูกอย่างหนึ่งก็คือว่า การเน้นที่คุณภาพของหนังโดยเฉพาะบทที่ดี การใช้เวลาขัดเกลาโดยไม่เน้นปริมาณเป็นสิ่งที่สำคัญของความสำเร็จในระยะหลัง ต่างจากเป้าหมายและวิธีการในช่วงแรก ๆ ที่อยากจะผลิตเป็นอุตสาหกรรม ซึ่งก็ทำให้ GTH เริ่มลืมตาอ้าปากได้ โดยผลิตหนังอยู่ที่ประมาณปีละ 2 เรื่องเท่านั้น ซึ่งก็มีปัญหาที่แก้ไม่ตกก็คือ การที่ GTH มีผู้กำกับดี ๆ เป็นสิบ ๆ คน แต่มีเวทีให้ปล่อยของได้น้อยมาก ผู้กำกับบางคนอาจจะต้องรอถึง 3-4 ปีถึงจะได้ทำหนังหนึ่งเรื่อง ในด้านรายได้ของผู้กำกับคงแทบไม่ต้องพูดถึง GTH ในช่วงหลัง ๆ จึงต้องขยายงานไปทีวีและงานอื่น ๆ แต่ก็ยังไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องนี้ได้นัก
ในช่วงหลัง ๆ ทีมหับ โห้ หิ้นโดยพี่เก้ง จิระ มะลิกุล ก็เป็นกำลังหลักของงานผลิตและงานธุรกิจทั้งหมดเท่าที่ผมทราบ ก็เลยเกิดความพยายามในการเจรจาให้ผู้ถือหุ้นรายอื่นลดสัดส่วนลง และเอาหุ้นบางส่วนมากระจายให้ผู้กำกับและคนทำงานมากขึ้น ตามความสำคัญของกลุ่มคนทำงานที่เปลี่ยนไป
และก็คงตกลงกันไม่ได้เพราะฝ่ายหนึ่งคงมองที่สัดส่วนหุ้นและการตีมูลค่าหุ้นตามหลักสากลเป็นหลักส่วนอีกฝ่ายมองเป็นเรื่องของขวัญกำลังใจและส่วนแบ่งที่เป็นธรรมมากขึ้น บริษัท GTH จึงปิดตัวลง
ที่ผมไม่ค่อยชอบใจก็คือ การเขียนวิพากษ์วิจารณ์ของบางท่านที่ผมอ่านเจอในทำนองที่ทีมงานหับ โห้ หิ้นปฏิวัติยึดอำนาจรัฐประหารบริษัท และไม่ Fair Play และโลภมาก ซึ่งผมว่าไม่ยุติธรรมกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ ผมอ่านบทความแล้วกลับคิดในมุมของลูกจ้างว่า ธุรกิจที่พึ่งคนเป็นหลักแบบนี้ การเกิดแตกแล้วโตนั้นเกิดขึ้นอย่างเป็นปกติ เมื่อไหร่ที่คนทำงานหลักรู้สึกไม่เป็นธรรม เขาก็มีสิทธิ์ลาออกไปตั้งบริษัทใหม่ได้อยู่แล้ว ถ้าทีมงานหับ โห้ หิ้นเดินมาลาออกกันหมดเพราะอยากไปทำบริษัทอย่างที่ตัวเองฝัน มันก็เป็นสิทธิ์ปกติอันสมควรรึเปล่า การที่มีความเห็นไม่ตรงกันแล้วตัดสินใจแยกทางกันไปตั้งบริษัทเองกันใหม่ก็เป็นเรื่องธรรมชาติไม่ใช่หรือ ผมจึงไม่เห็นด้วยและไม่เข้าใจถึงข้อกล่าวหาที่บางท่านมีต่อทีมงาน
พอมีการประกาศการตั้งบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อน่ารักๆ ว่า GDH 559 ที่ย่อมาจาก Gross Domestic Happiness โดยมีผู้ถือหุ้นหลัก 2 รายเดิม คือ GMM Grammy ถือหุ้น 51% และหับโห้หิ้นฯถือลดลงเหลือ 15% โดยในส่วนที่เหลือถูกถือโดยคนทำงานและผู้กำกับอีก 36% ผมถึงรู้สึกยินดีที่ได้เห็นโครงสร้างดังกล่าว เพราะเป็นไปตามหลักการที่ผมได้ยินมา ก็คือให้คนทำงานมีส่วนร่วมในการถือหุ้น แถมหับโห้หิ้นฯลดสัดส่วนการถือหุ้นลงไปอีกด้วยซ้ำ ก็คงตอบเจตนารมณ์ที่กลุ่มคนทำงานมีต่อทีมงานได้ชัดเจน และตอบข้อครหานินทาได้หมดสิ้น
ผมไม่รู้ว่า GDH 559 จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด แต่ในฐานะแฟนคลับพี่เก้ง จิระ มะลิกุล และทีมงาน ก็แอบลุ้นเล็ก ๆ ให้บริษัทใหม่ประสบความสำเร็จ เพื่อที่จะได้เห็นหนังไทยดี ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง และสร้างบุคลากรดี ๆ ให้เขาอยู่ได้ มีรายได้ที่พอสมควรที่จะมีกำลังใจในการผลิตงานดี ๆ ต่อไป
พอนึกถึง GTH เขียนถึง GDH 559 และเอ่ยถึงพี่เก้ง จิระ มะลิกุล เมื่อคืนก่อน ผมก็เลยนึกถึงหนังเรื่องหนึ่งที่ พี่เก้ง จิระ มะลิกุล กำกับ เป็นหนังในดวงใจของผม
ก็เลยชวนลูกสาวสองคนนั่งดูหนังเรื่อง 15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยกัน ด้วยความอิ่มเอมใจ
ที่มา :
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1453107264
GTH กับ อีกหนึ่งมุมมอง ของคนที่เคยสัมผัส
GDH 559
เมื่อปลายปีที่แล้ว มีข่าวใหญ่สั่นสะเทือนวงการภาพยนตร์เป็นอย่างมากก็คือ การปิดตัวลงของบริษัท GTH ซึ่งเป็นบริษัทหนังอันดับหนึ่งของประเทศไทย แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะ GTH กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ทำรายได้จากหนังเรื่องต่าง ๆอย่างต่อเนื่อง แล้วอยู่ ๆ ก็ประกาศปิดตัวลงท่ามกลางข่าวลือเรื่องความขัดแย้งของผู้ถือหุ้น
ผมเองมีความเกี่ยวพันกับบริษัท GTH อยู่บ้าง ตั้งแต่สมัยที่ผมดูแลแบรนด์แฮปปี้ที่ดีแทคแล้วเข้าเป็นสปอนเซอร์ภาพยนตร์ของ GTH แบบเหมาเข่ง จำได้ว่าตอนนั้นตกลงว่าจะเป็นสปอนเซอร์อยู่สิบเรื่องตั้งแต่ในช่วงเริ่มตั้งบริษัท และยังเคยเอาคุณซิคเว่ เบรคเก้ ซีอีโอผมในสมัยนั้นไปเล่นหนัง GTH เรื่องมหาลัยเหมืองแร่เป็นบทสั้น ๆ ด้วย ในช่วงก่อตั้งใหม่ ๆ GTH พยายามผลิตหนังให้เป็นอุตสาหกรรม ทำปีหนึ่งหลาย ๆ เรื่อง แล้วก็ล้มลุกคลุกคลานกับการพยายามทำปริมาณมาก ๆ อยู่พอสมควร เพราะการทำหนังไทยในความเป็นจริงแล้วมีต้นทุนสูงมากแต่กำไรไม่มากนัก ถ้าขาดทุนเรื่องหนึ่ง ต่อให้ได้กำไรอีกสามเรื่องก็ยังอาจจะไม่คุ้มทุนทั้งหมดด้วยซ้ำ รวมถึงลักษณะงานเป็นงานที่ใช้ศิลปะด้านต่าง ๆ สูง การควบคุมเรื่องเวลาจึงทำได้ยากมากในช่วงเริ่มต้น การที่สปอนเซอร์ GTH ของผมในตอนนั้นก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนต้องเลิกรากันไป แต่ก็ทำให้ผมได้รู้จักพี่ ๆ ใน GTH หลายท่านจากการร่วมมือกันครั้งนั้น และได้ฟังเรื่องราวของ GTH มาโดยตลอด
GTH เป็นบริษัทร่วมทุนของ GMM Grammy ที่ถือหุ้น 51% ไทเอนเตอร์เทนเม้นท์ ที่ตอนนั้นเป็นเจ้าพ่อหนังไทยอีก 30% และบริษัทหับโห้หิ้นฯ 19% ซึ่งในตอนเริ่มต้นก็ดูมีความแข็งแกร่งคนละด้าน Grammy (ซึ่งผมเองก็เป็นศิษย์เก่า) มีสื่อและศิลปินอยู่ในมือมาก ไทเอนเตอร์เทนเม้นท์ก็มีความเชี่ยวชาญของอุตสาหกรรม ส่วนหับโห้หิ้นฯก็มีทีมทำงานคุณภาพที่รักหนังไทย แต่กว่าจะหาสูตรจนลงตัวได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร เพราะอุตสาหกรรมหนังไทยนี้ไม่ง่ายเลย
ผมเองเป็นกรรมการบริษัทของโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง ก็เลยมีโอกาสรู้ว่าการทำหนังไทยให้ประสบความสำเร็จนั้นยากมาก ๆ เหมือนคนที่ชอบพูดกันเล่น ๆ ว่า เกลียดใครควรยุให้ทำหนังไทย ซึ่งก็เป็นความจริงโดยสถิติเพราะหนังไทยที่เข้าโรงแต่ละปีมีประมาณ 30 กว่าเรื่องที่ทำกำไรได้ปีละเพียง 3-4 เรื่องเท่านั้น โอกาสที่จะทำกำไรได้ต่อเรื่องนั้นน้อยยิ่งกว่าน้อยแล้ว โอกาสที่บริษัททำหนังไทยที่จะทำกำไรต่อเนื่องและแทบไม่ขาดทุนเลยยิ่งแทบเป็นไปไม่ได้ แต่ GTH ก็ทำได้และเป็นบริษัทเดียวที่ทำได้ด้วยซ้ำ ความสำเร็จของ GTH จึงเรียกได้ว่าไม่ธรรมดา
ที่มาของความสำเร็จของ GTH คงมีหลายประการ แต่ที่ผมสังเกตเห็นเรื่องราวของ GTH ก็มักจะเห็นเงาของ พี่เก้ง จิระ มะลิกุล อยู่ตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ผมรู้จัก GTH ผมสัมผัสได้ถึงความรักหนังไทยและเรื่องราวที่พี่เก้งทุ่มเทชีวิตให้กับการพัฒนาหนังไทย ยอมทุกอย่างรวมถึงรายได้ที่ไม่ได้ดีเลย การทำงานด้านโฆษณาเสริม และการดิ้นรนต่าง ๆ เพื่อที่จะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ผู้กำกับหลายคนที่ยอมทำงานแบบยากลำบากก็เพราะพี่เก้ง ผมรู้เลยว่าที่ GTH ทำหนังได้ประสบความสำเร็จถึงขนาดนี้ นอกจากการลองผิดลองถูกจนมีประสบการณ์ และชำนาญในงานที่ทำแล้ว พี่เก้งเป็นเสาหลักที่สำคัญอย่างมากคนหนึ่งในกระบวนการแห่งความสำเร็จนี้
สิ่งหนึ่งที่ทีม GTH ค้นพบจากการลองผิดลองถูกอย่างหนึ่งก็คือว่า การเน้นที่คุณภาพของหนังโดยเฉพาะบทที่ดี การใช้เวลาขัดเกลาโดยไม่เน้นปริมาณเป็นสิ่งที่สำคัญของความสำเร็จในระยะหลัง ต่างจากเป้าหมายและวิธีการในช่วงแรก ๆ ที่อยากจะผลิตเป็นอุตสาหกรรม ซึ่งก็ทำให้ GTH เริ่มลืมตาอ้าปากได้ โดยผลิตหนังอยู่ที่ประมาณปีละ 2 เรื่องเท่านั้น ซึ่งก็มีปัญหาที่แก้ไม่ตกก็คือ การที่ GTH มีผู้กำกับดี ๆ เป็นสิบ ๆ คน แต่มีเวทีให้ปล่อยของได้น้อยมาก ผู้กำกับบางคนอาจจะต้องรอถึง 3-4 ปีถึงจะได้ทำหนังหนึ่งเรื่อง ในด้านรายได้ของผู้กำกับคงแทบไม่ต้องพูดถึง GTH ในช่วงหลัง ๆ จึงต้องขยายงานไปทีวีและงานอื่น ๆ แต่ก็ยังไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องนี้ได้นัก
ในช่วงหลัง ๆ ทีมหับ โห้ หิ้นโดยพี่เก้ง จิระ มะลิกุล ก็เป็นกำลังหลักของงานผลิตและงานธุรกิจทั้งหมดเท่าที่ผมทราบ ก็เลยเกิดความพยายามในการเจรจาให้ผู้ถือหุ้นรายอื่นลดสัดส่วนลง และเอาหุ้นบางส่วนมากระจายให้ผู้กำกับและคนทำงานมากขึ้น ตามความสำคัญของกลุ่มคนทำงานที่เปลี่ยนไป
และก็คงตกลงกันไม่ได้เพราะฝ่ายหนึ่งคงมองที่สัดส่วนหุ้นและการตีมูลค่าหุ้นตามหลักสากลเป็นหลักส่วนอีกฝ่ายมองเป็นเรื่องของขวัญกำลังใจและส่วนแบ่งที่เป็นธรรมมากขึ้น บริษัท GTH จึงปิดตัวลง
ที่ผมไม่ค่อยชอบใจก็คือ การเขียนวิพากษ์วิจารณ์ของบางท่านที่ผมอ่านเจอในทำนองที่ทีมงานหับ โห้ หิ้นปฏิวัติยึดอำนาจรัฐประหารบริษัท และไม่ Fair Play และโลภมาก ซึ่งผมว่าไม่ยุติธรรมกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ ผมอ่านบทความแล้วกลับคิดในมุมของลูกจ้างว่า ธุรกิจที่พึ่งคนเป็นหลักแบบนี้ การเกิดแตกแล้วโตนั้นเกิดขึ้นอย่างเป็นปกติ เมื่อไหร่ที่คนทำงานหลักรู้สึกไม่เป็นธรรม เขาก็มีสิทธิ์ลาออกไปตั้งบริษัทใหม่ได้อยู่แล้ว ถ้าทีมงานหับ โห้ หิ้นเดินมาลาออกกันหมดเพราะอยากไปทำบริษัทอย่างที่ตัวเองฝัน มันก็เป็นสิทธิ์ปกติอันสมควรรึเปล่า การที่มีความเห็นไม่ตรงกันแล้วตัดสินใจแยกทางกันไปตั้งบริษัทเองกันใหม่ก็เป็นเรื่องธรรมชาติไม่ใช่หรือ ผมจึงไม่เห็นด้วยและไม่เข้าใจถึงข้อกล่าวหาที่บางท่านมีต่อทีมงาน
พอมีการประกาศการตั้งบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อน่ารักๆ ว่า GDH 559 ที่ย่อมาจาก Gross Domestic Happiness โดยมีผู้ถือหุ้นหลัก 2 รายเดิม คือ GMM Grammy ถือหุ้น 51% และหับโห้หิ้นฯถือลดลงเหลือ 15% โดยในส่วนที่เหลือถูกถือโดยคนทำงานและผู้กำกับอีก 36% ผมถึงรู้สึกยินดีที่ได้เห็นโครงสร้างดังกล่าว เพราะเป็นไปตามหลักการที่ผมได้ยินมา ก็คือให้คนทำงานมีส่วนร่วมในการถือหุ้น แถมหับโห้หิ้นฯลดสัดส่วนการถือหุ้นลงไปอีกด้วยซ้ำ ก็คงตอบเจตนารมณ์ที่กลุ่มคนทำงานมีต่อทีมงานได้ชัดเจน และตอบข้อครหานินทาได้หมดสิ้น
ผมไม่รู้ว่า GDH 559 จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด แต่ในฐานะแฟนคลับพี่เก้ง จิระ มะลิกุล และทีมงาน ก็แอบลุ้นเล็ก ๆ ให้บริษัทใหม่ประสบความสำเร็จ เพื่อที่จะได้เห็นหนังไทยดี ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง และสร้างบุคลากรดี ๆ ให้เขาอยู่ได้ มีรายได้ที่พอสมควรที่จะมีกำลังใจในการผลิตงานดี ๆ ต่อไป
พอนึกถึง GTH เขียนถึง GDH 559 และเอ่ยถึงพี่เก้ง จิระ มะลิกุล เมื่อคืนก่อน ผมก็เลยนึกถึงหนังเรื่องหนึ่งที่ พี่เก้ง จิระ มะลิกุล กำกับ เป็นหนังในดวงใจของผม
ก็เลยชวนลูกสาวสองคนนั่งดูหนังเรื่อง 15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยกัน ด้วยความอิ่มเอมใจ
ที่มา : http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1453107264