The 5th Wave (บ่นๆ ไม่ค่อยเกี่ยวกับหนังเท่าไหร่ครับ)



ในตลอดชีวิตการดูหนัง ทุกอย่างน่าจะเริ่มจากตอนที่ตามพ่อไปอยู่อิตาลี แล้วเข้าโรงหนังครั้งแรกเพื่อดูการ์ตูนเรื่อง Ferngully : The Last Rainforest ปี 1992 ซึ่งเป็นหนังการ์ตูนของ 20th Century Fox ตอนนั้นที่ดูเป็นพากย์ภาษาอิตาเลี่ยนด้วยซ้ำ ซึ่งแน่นอนว่าฟังไม่รู้เรื่องหรอก ก็เป็นการดูหนังแบบเด็กๆ เห็นเป็นการ์ตูนก็ชอบใจแล้ว ส่วนเนื้อเรื่องที่เหลือก็เดาเอา ต่อมาพอพ่อเริ่มรู้อะไรมากขึ้นเกี่ยวกับโรม เราก็จะไปดูหนังที่โรงหนังภาษาอังกฤษแห่งเดียวเมืองโรม (เรียกกรุงโรมแล้วรู้สึกแปลกๆ เหมือนอยู่ยุคโรมัน) คนอิตาเลี่ยนไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ โรงหนังภาษาอังกฤษจึงมีแค่แห่งเดียวและเป็นโรงหนังเล็กๆ จุได้ราวๆ 100 คน ฉายไปถึงกลางเรื่องก็มีช่วงพักครึ่ง ให้คนไปเข้าห้องน้ำ สูบบุหรี่ มีไอติมมาขาย เสร็จแล้วหนังจึงค่อยฉายต่อ ซึ่งอีก 2 เรื่องที่ดูไปในตอนนั้นคือ Jurassic Park และ The Lion King ตามลำดับ นั่นคือปี 1994 และผมก็มีอายุได้ 12 ปี พอกลับมาจากอิตาลี ก็มาเริ่มเรียนม.3 ที่ไทย ช่วงนั้นก็จะชอบดูหนังเยอะขึ้น เพราะไม่ต้องรอให้พ่อพาไปแล้ว (มีบ้างนานๆครั้ง) ส่วนใหญ่ก็จะแอบเก็บเงินค่าขนมไปดูเอง ซึ่งในตอนนั้นทุกวันพุธหนังจะเหลือราคาแค่ 60 บาท ผมจึงดูหนังทุกพุธๆละ 2 เรื่อง เข้าโรงนี้แล้วก็ต่อที่โรงนั้น ข้าวเขิ้วก็ไม่กิน กินแต่ป็อปคอร์น เป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆจนโต วิวัฒนาการหนังที่ผมชอบส่วนใหญ่จะเป็นหนังที่มี special effects เยอะๆ พวกไดโนเสาร์ สัตว์ประหลาด ยานอวกาศต่างๆ ถึงขนาดที่ความใฝ่ฝันในตอนเด็กคืออยากทำงานเป็นช่างเอฟเฟกต์ในบริษัท ILM (Industrial Light & Magic) ของ George Lucas และ Steven Spielberg เลยทีเดียว สมัยนั้นคำว่า special effect กับ visual effect จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะภาพส่วนใหญ่จะจบไปตั้งแต่ special effect แล้วไม่ว่าจะเป็นฉาก หุ่นเชิด โมเดลจำลอง การเผา การระเบิดที่ต้องใช้เทคนิคการ “หลอกสายตา” ซึ่งแตกต่างจากยุคนี้ ที่เททุกอย่างไปที่ visual หรือ CG นักแสดงส่วนใหญ่แสดงกับฉากสีเขียว มี motion sensor จับใบหน้า สีหน้า ท่าทางต่างๆ ซึ่งช่วงแรกๆก็ไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ เพราะตัวนักแสดงกับฉากหลังจะไม่ค่อยเข้ากัน ภาพจะดูฟุ้งๆเหมือนอยู่ในความฝัน แต่พอพ้นช่วงรอยต่อมาเป็น CG เกือบ 100% แบบในปัจจุบัน ก็ไม่มีข้อโต้แย้งอะไรสำหรับคนดูหนังหัวสมัยก่อนอย่างผมแล้ว หนังที่ทำออกมาดี ก็คือหนังดี ไม่เกี่ยวกับปริมาณ CG หรือการแสดงแต่อย่างใด พัฒนาการของหนังในช่วง 30 ปี 20 ปี กับ 10 ปีที่ผ่านมา มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ระยะเวลาของการเล่าเรื่อง รูปแบบในการนำเสนอ ความซับซ้อนของลำดับภาพ ฯลฯ ซึ่งด้วยอายุของตัวผมเองที่แปรผันตามปริมาณหนังที่ดูมา ก็ยังพอเข้าใจและสามารถเพลิดเพลินกับการดูหนังหลากหลายแนวในยุคปัจจุบันได้ แต่มีหนังอยู่แนวหนึ่งที่ตัวผมเองรู้สึกได้ว่าผมเริ่มเข้าไม่ถึงแล้วนั่นก็คือแนวหนังที่ทำมาจากนิยายวัยรุ่นหรือ Teens Novel

หนังแนว Teen Novels คืออะไร ?

คือหนังที่ทำมาจากนิยายสำหรับวัยรุ่น ที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นวัยรุ่น และมักมุ่งเน้นไปที่หน้าตาของตัวละครหลัก แล้วก็ปมความรักของตัวละครเหล่านั้น ถ้ายกตัวอย่างชัดๆก็คงจะเป็น Twilight ทั้งหมด , The Hunger Games , Divergent , Maze Runner อะไรแบบนี้ ซึ่งบางเรื่องก็ดูได้ บางเรื่องก็พอดูได้ แต่บางเรื่องก็ถึงขั้นทนดูไม่ได้เลย โดยเหตุผลหลักๆเลยก็คงเป็นเพราะว่าผมแก่นั่นแหล่ะ ปีนี้ก็จะ 34 แล้ว ก็คงยากที่จะอินกับอารมณ์ว้าวุ่นของนางเอกที่เลือกไม่ถูกว่าจะรักเพื่อนชายคนไหน แต่ถึงอย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่ก็เข้าใจได้ถึงแนวทางการตลาดของภาพยนตร์ในยุคปัจจุบัน ที่ต้องการเจริญรอยตามความสำเร็จของหนังอย่าง Twilight (และ The Hunger Games) ก็เลยมีหนังแนวนี้ออกมาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ และ The 5th Wave ก็เป็นหนึ่งในนั้น

การที่เป็นคนดูหนังมาเยอะ ทุกวันนี้การจะดูหนังแต่ละเรื่อง ถ้าไม่คิดเยอะมากก็จะไม่คิดและไม่คาดหวังอะไรเลย และจากหน้าหนังของ The 5th Wave ที่แลดูเป็นหนังมหันตภัย มีมนุษย์อวกาศบุก และมี Chloe Moretz (อันนี้สำคัญสุด) ก็เลยทำให้ตัดสินใจดูได้ไม่ยาก ซึ่งตัวหนังในช่วงแรกทำได้ดีนะ หนังเล่าถึงภัยของการมาเยือนจากมนุษย์ต่างดาวที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามาส่งผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติทีละขั้นๆ ความโดดเดี่ยว การเอาตัวรอด แม้ว่า CG ของหนังเรื่องนี้จะทำได้ไม่ค่อยดี แต่ก็ถือว่าเป็นหนังที่พอใช้ได้ จนกระทั่งถึงครึ่งหลังของเรื่อง ที่หนังตบเข้าสู่โหมดหนังวัยรุ่น 100% อันนี้ถือว่าฝืนดูยากละ หนังเปลี่ยนโทนการเล่าเรื่องอย่างชัดเจน แล้วมุ่งเน้นไปที่ตัวละครวัยรุ่นแบนๆที่มารวมตัวกัน เช่น โคตรห้าว โคตรกวน โคตรอ่อน อะไรแบบนี้ ทำให้ความสมจริงของหนังค่อยๆหมดไป ไม่ว่าจะเป็นการแสดง การออกแบบดีไซน์ต่างๆ ทุกอย่างลดลงหมด รวมไปถึงพล็อทเรื่องที่สุดท้ายก็กลายเป็นบทสรุปง่ายๆ จึงทำให้หนังเรื่องน่าน่าจะให้ความบันเทิงกับแค่กลุ่มคนดู “วัยรุ่น” กับกลุ่มคนดูที่ “ไม่คิดเยอะ” เพราะสำหรับผม อายุคงเกินแล้ว และหนังคงต้องซับซ้อนกว่านี้ถึงจะสร้างความบันเทิงให้กับผมได้

“I love you Chloe , but please don’t be in this sequel.”

ฝากติดตาม blog เช่นเคยครับ : )

https://nospoil.wordpress.com/2016/01/17/the-5th-wave/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่