ไขคดีหัวใจ...ใต้มนต์จันทร์ ตอนที่ ๒๒ - ตอนที่ ๒๓

กระทู้สนทนา
ตอนเก่า




ไขคดีหัวใจ...ใต้มนต์จันทร์

ตอนที่ 22


    “ไม่เลย ไม่เมกเซ้นส์สักนิดเดียว” โชติชงค์ วิจิตรวาณิชแสดงทรรศนะออกมาหลังจากที่ได้รับฟังเรื่องราวจากปากของน้องชายผู้ซึ่งถูกซินเดอเรลลาวิ่งหนีหลังจากพูดบอกความในใจกับหล่อนอย่างตรงไปตรงมา “แต่ก็อย่างว่า ถ้าผ่าสมองผู้หญิงออกมาละก็ เราจะเจอแต่ความไร้เหตุผลอยู่ในนั้น”

    “ยังงี้ก็สมองแฟนพี่ด้วยสิ” คมฌานเอ่ยสัพยอก ท่าทียียวนของน้องชายคนเล็กทำเอาพี่ชายคนโตที่มักจะขรึมอยู่ตลอดเวลาถึงกับน็อตหลุดเล็กน้อย

    “นั่นข้อยกเว้นโว้ย”

    “ประเด็นคือคุณลินของพี่โชมอาจจะมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่เราไม่เข้าใจก็ได้ เธอถึงได้วิ่งหนีไปดื้อๆ แบบนั้น”

    “ถึงสองครั้งเนี่ยนะ”  

    “นี่ไม่ได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อจะให้มาเถียงกันเองนะ” ร้อยตำรวจโทชงคมถอยฉากออกมาจากวิวาทะของพี่ชายน้องชาย “แต่ต้องการปรึกษาว่าควรจะทำยังไงดี เพราะฉะนั้นช่วยอยู่ในประเด็น”

    “ก็คุยกับเธอให้รู้เรื่องไปเลยสิ” คมฌานแนะนำ

    “แต่เธอไม่ยอมรับสาย”

    “แล้วไงล่ะ พี่ก็ไปดักรอที่บ้านสิ หรือที่ทำงานก็ได้ ขืนนิ่งแบบนี้ เดี๋ยวก็จับไม่อยู่หมัดอีกหรอก”

    “จะดีเหรอวะ”

    “ไม่ดีหรอก” โชติชงค์ถือวิสาสะให้คำตอบแทน เมื่อเห็นว่าน้องชายแสดงท่าลังเล “พี่ว่าสิ่งที่นายควรทำคือทิ้งระยะห่างออกมาก่อน ให้เวลาเธอได้ครุ่นคิดอย่างมีเหตุผล แล้วค่อยกลับไปคุย”

    “แต่นั่นอาจทำให้เธอคิดว่าคนของเราพยายามไม่มากพอ”

    “มันมีเส้นบางๆ คั่นอยู่นะระหว่างพยายามมากพอกับทำตัวน่ารำคาญ”

    โชติชงค์กับคมฌานกลับมาขัดแย้งกันอีกครั้ง

    “ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก ผู้หญิงมักชอบผู้ชายที่ลงแรงมากพอ”

    “อย่าคิดผู้หญิงทุกคนต้องเป็นแบบแฟนนายสิวะฌาน เชื่อพี่เถอะโชมว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบผู้ชายมีสติ ตราบใดที่นายยังไม่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยและสบายใจมากพอ ขืนนายเข้าไปบีบ เธอจะยิ่งหนี”

    ในขณะที่ชายหนุ่มยังลังเลกับคำแนะนำของสองพี่น้องที่ไม่ตรงกัน ความยุ่งยากยังมากขึ้นด้วยความคิดเห็นจากผู้เป็นมารดา

    “แม่ว่าโชมไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ถ้าใครไม่สนใจลูก ลูกก็ควรจะดีใจว่าไม่ต้องไปเสียเวลากับคนที่ไม่คู่ควร”

    “ให้ตายสิ แม่ไม่ได้ถูกเชิญให้มาเข้าร่วมประชุมสักหน่อย” คมฌานเอ่ยแย้ง

    “และแม่ก็ไม่ควรแอบฟังพวกเราด้วยนะครับ” เป็นครั้งแรกที่โชติชงค์เห็นด้วยกับน้องชาย

    “แต่พวกแกประชุมกันในห้องครัว ซึ่งเป็นห้องที่แม่มีสิทธิ์เข้ามาหยิบไวน์”

    พรรณราย วิจิตรวาณิช ชูขวดไวน์ขึ้นเพื่อให้คำตอบกับลูกชายทั้งสอง ก่อนที่สาวสังคมรุ่นลายครามจะเดินมาหอมแก้มลูกชายคนกลางซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังอนุญาตให้ทำแบบนี้ด้วยอย่างเต็มใจ “ฟังแม่จะโชม ผู้หญิงจะต้องมายืนเรียงหน้าให้ลูกเลือก ลูกไม่จำเป็นต้องไปตามง้อใครทั้งนั้น อ่อ คุณยายบ่นหาลูกนะโชม ถ้าว่างก็หาเวลาไปเยี่ยมท่านบ้างนะ”

    “ครับแม่” ผู้หมวดหนุ่มตอบรับ หลังจากที่พรรณรายหันหลังเดินออกจากห้องครัวไปแล้ว โชติชงค์และคมฌานหันมาแข่งกระซิบแนะนำแนวทางต่อ

    “เชื่อผมเถอะพี่โชม โทรไปคุยกับเธอให้เด็ดขาดไปเลย”

    “เชื่อพี่ดีกว่า นายอย่าไปเร่งรัด รอเวลาอีกสักนิด”

    “เจอกันครึ่งทางละกัน” ร้อยตำรวจโทชงคมถอนใจเบาๆ “จะลองส่งข้อความไปก่อน”


***



    เวลา 20.30 น. มูนไชร์บาร์เปิดให้บริการแล้ว แต่ยังหัวค่ำเกินกว่าที่จะมีคนพลุกพล่าน เกวลินนั่งจมจ่อมอยู่ภายใต้ในแสงจันทร์เทียมที่ถูกประดับไว้บนเพดาน สั่งมาร์ตินี่เพิ่มอีกแก้ว แต่คราวนี้รัมภาขัดขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วย

    “นี่คุณลิน คุณดื่มไปสองแก้วแล้วนะ”

    แววตาห่วงใยจากรัมภาทำให้เกวลินได้สติขึ้นมาเล็กน้อย แต่ด้วยความรู้สึกที่ยังสับสนกับปริศนาในใจที่ยังขบคิดไม่ได้ หล่อนยังต้องการที่จะหลีกหนี

    “ฉันวัดสถิติตัวเองไว้แล้วน่า ฉันจะเมาเมื่อดื่มแก้วที่หก เพราะฉะนั้น ชงแก้วที่สามมาให้ฉันเถอะ”

    “ถ้างั้นฉันมีข้อแม้ว่าถ้าฉันชงแก้วใหม่ให้คุณ คุณต้องให้ฉันไปส่ง เพราะฉันจะไม่ยอมให้คุณขับรถเด็ดขาด”

    “ตกลงค่ะ” เกวลินลังเลสักพักก่อนจะตกปากรับคำอย่างยินดี เพราะอย่างน้อยหล่อนก็จะได้ดื่มอย่างเต็มที่โดยไม่กังวล ในขณะที่รัมภามองนักสืบสาวอย่างเหนื่อยใจแต่ก็ยอมผสมเหล้าแก้วใหม่ให้ในที่สุด

    “ทำไมชีวิตฉันถึงต้องเจอแต่ผู้หญิงขี้เมานะ”

    “ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่นา” จู่ๆ หนุ่มบาร์โฮสต์ที่ชื่อแมทธิวก็มาปรากฎกายข้างๆ พร้อมกับส่งสายตากะลิ้มกะเหลี่ยมาให้นักสืบสาว “ถ้าเมาเดี๋ยวผมไปส่งก็ได้”

    “ถอยออกไปเดี๋ยวนี้เลย” รัมภาหันมาตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด แมทธิวยกมือยอมแพ้แล้วเดินจากไปแต่โดยดี รัมภามองตามไปด้วยสายตารังเกียจ ก่อนจะบ่นออกมาอย่างยืดยาว

    “นี่คุณนักสืบ ความไว้ตัวของคุณอาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผู้ชายบางคนไม่กล้าเข้าใกล้ แต่อีกด้านหนึ่งมันก็กระตุ้นความอยากจะเอาชนะได้เหมือนกัน ฉันเดาได้เลยว่าไอ้แมทธิวมันคิดไม่ซื่อกับคุณ”

    “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ต่อให้ฉันเมามากแค่ไหน ถ้าคนอย่างหมอนั่นจะเข้ามาก้อร่อก้อติกฉันละก็ อย่างมากฉันก็แค่อ้วกใส่เขาเท่านั้นเอง”

    คำพูดของเกวลินทำเอารัมภาหัวเราะออกมาได้บ้าง

    “ฉันเชื่อค่ะว่าคุณหนักแน่น แต่ถึงยังไงคุณก็เป็นผู้หญิง คุณต้องระวังตัว” รัมภาส่งมาร์ตินี่แก้วใหม่ที่เพิ่งผสมเสร็จมาให้ เกวลินรีบรับมาดื่มอย่างรวดเร็ว ขณะที่รัมภายังคงเฝ้ามองอย่างเป็นห่วง ก่อนจะเอ่ยถามออกมาในที่สุด

    “นี่ฉันถามได้ไหมคะว่าคุณกังวลอะไรอยู่หรือเปล่า”

    เกวลินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะแสร้งยิ้มแล้วถามกลับ

    “ทำไมคะ ฉันดูเหมือนกังวลอะไรอยู่เหรอ”

    “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ อย่าใส่ใจคนสู่รู้อย่างฉันเลย” รัมภายักไหล่ คว้าผ้าชนหนูมาเช็ดทำความสะอาดบาร์ เกวลินเงียบไปครู่หนึ่งจนกระทั่งพ่ายแพ้ต่อความอึดอัดคับข้อง เกวลินนึกอยากจะปรึกษารัมภาไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าสมมติอีกห้านาทีร้อยตำรวจโทชงคมโทรกลับมา หล่อนควรจะทำอย่างไร เพื่อที่จะผ่านสถานการณ์แบบนี้ไปอย่างไม่ผิดพลาด

    แต่พอคิดได้ว่าตนไม่ได้สนิทกับรัมภามากขนาดนั้น เกวลินจึงถามออกไปแค่เพียงว่า

    “คุณเคยรู้สึกเหมือนไม่เข้าใจตัวเองไหมคะ ไม่เข้าใจโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไม่เข้าใจเรื่องอะไร ฉันรู้สึกเหมือน... กำลังหลงทางในเขาวงกต”

    รัมภายิ้มตอบกลับมาเล็กน้อย เงยหน้าสบตากับเกวลินแล้วพูดออกมาอย่างละมุนละไม

    “ฉันไม่แน่ใจหรอกนะว่าเขาวงกตของคุณมันสลับซับซ้อนมากแค่ไหน ตราบใดที่ฉันไม่ใช่คุณ ฉันก็คงไม่บังอาจทำตัวรู้มาก แต่ฉันว่าไอ้เขาวงกตเนี่ย เราเข้ามาทางไหน เราก็แค่ต้องหันหลังเดินกลับออกไปทางนั้น” รัมภายื่นมือมากอบกุมฝ่ามือของนักสืบสาวไว้อย่างแผ่วเบา “คุณยังจำได้อยู่หรือเปล่าล่ะคะว่าคุณหลงเข้ามาทางไหน”

    ยามปกตินักสืบสาวไม่ชอบให้ใครสัมผัสตัว แต่คราวนี้กลับปล่อยให้รัมภากุมมือของหล่อนไว้เนิ่นนาน อาจจะเป็นด้วยเพราะตอนนี้หล่อนกำลังสับสนอย่างหนัก และก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแววตาเข้าอกเข้าใจจากหญิงสาวตรงหน้ามีส่วนทำให้เกวลินรู้สึกวางใจอย่างบอกไม่ถูก คำพูดของรัมภาเปรียบดั่งคบเพลิงที่มอบให้ในยามหลงทางอยู่ในความมืดมิด ถึงแม้จะยังไม่แน่ใจว่ามันจะพาไปสู่ทางออกได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยๆ มันก็ช่วยให้อุ่นใจไปได้ชั่วขณะ  

    แต่อย่างไรก็ตาม เกวลินยังรู้สึกว่าสัมผัสของรัมภานั้นช่างแปลกประหลาด แฝงไว้ด้วยความรู้สึกรักใคร่และพร้อมจะดูแลปกป้องอย่างแรงกล้า

    “ฉันเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมชนมนถึงได้สนิทกับคุณ” คำพูดของเกวลินทำเอารัมภาชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เกวลินเองก็ไม่ยังแน่ใจนักว่าหล่อนพูดเช่นนี้ออกไปทำไม “ตลอดเวลาที่ชนมนมาที่นี่ คุณคงดูแลเธอแบบนี้สินะ ขนาดฉันเพิ่งได้รู้จักคุณไม่นาน คุณยังห่วงใยฉันได้ขนาดนี้ คงเทียบไม่ได้กับความรู้สึกดีๆ ที่คุณมีต่อคุณชนมน มันคงมากกว่านี้หลายเท่า...เพราะว่า...”

    “คุณช่วยเลิกพูดสักทีได้ไหม!” จู่ๆ รัมภาก็ตวาดลั่น แถมยังสะบัดมือของเกวลินออกอย่างแรง จนนักสืบสาวตกใจกลัว “เอ่อ...ฉันขอโทษค่ะ”

    ความเกรี้ยวกราดของรัมภาเปรียบได้กับพายุหมุนที่พัดเพียงหนึ่งวูบ รุนแรงจนน่าตกใจ ก่อนจะสลายไปในทันท่วงที ใจของเกวลินยังตกลงไปไม่ถึงตาตุ่มจากน้ำเสียงและแววตาโกรธขึ้นที่เกิดขึ้นอย่างชั่วแวบ ท่าทีของรัมภาก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ รัมภาซบใบหน้าลงกับฝ่ามือแล้วร้องไห้

    “โธ่คุณรัมภา ฉันขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่ตั้งใจ ฉันไม่คิดว่า...”

    “ไม่เป็นไรค่ะ มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก ฉันแค่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้เท่านั้นเอง คือฉัน... ฉันแทบจะลืมไปแล้วชนมนมักจะนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่คุณนั่งอยู่ตอนนี้ คำพูดของคุณทำให้ภาพต่างๆ มันย้อนกลับมาหมด แล้วมันก็เลยทำให้ฉัน...ควบคุมตัวเองไม่ได้...”

    จากนั้น รัมภาก็หันหลังเดินหายเข้าไปในครัว เกวลินไม่แน่ใจว่าเธอจะเข้าไปสงบจิตใจหรือแค่อยากจะเดินหนีหล่อน แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเกวลินถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวอีกครั้ง ไม่มีใครให้พูดคุยด้วย ความคิดของนักสืบสาวก็เริ่มฟุ้งซ่านอีกครั้ง ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อรัมภาพูดออกมาเองว่าเก้าอี้ที่หล่อนนั่งอยู่ในขณะนี้เป็นตัวเดียวกับที่ชนมนชอบนั่งอยู่เป็นประจำ คำถามเกี่ยวกับเรื่องคดีความของอดีตดาราสาวก็วนกลับมาอีกครั้ง

    หล่อนควรจะตามสืบเรื่องนี้ต่อไปดีไหมนะ

    ระหว่างที่กำลังยังสับสนหลงทางอยู่กับสองปริศนาอันใหญ่หลวง หนึ่งคือปริศนาคดีฆาตกรรมของชนมนที่ยังไม่กระจ่าง  สองคือปริศนาบางอย่างภายในหัวใจที่ยังคลี่คลายไม่ออก โทรศัพท์ของเกวลินก็สั่นเล็กน้อย หล่อนรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พบว่ามีข้อความจากคนที่บุคคลที่หล่อนไม่ยอมรับสายเขามาทั้งวัน     

    ‘ฝันดีนะครับ’

    ให้ตายสิ หล่อนคงจะฝันดีได้หรอกนะ ถ้าเขายังจะตามมาปั่นป่วนหัวใจอยู่แบบนี้ ไม่พ้นจะต้องฝันร้ายแบบเดิมแน่ๆ ว่าถูกเขาจับโยนลงมาจากสะพาน!


***



    แม้จะทำใจให้ไม่คาดหวังอะไรมากนัก แต่สุดท้ายมันก็อดไม่ได้ หลังจากที่ส่งข้อความไปหาหล่อนแล้ว ชายหนุ่มก็ยังแอบหวังเล็กๆ ว่าอย่างน้อยหล่อนก็น่าจะส่งอะไรกลับมาบ้าง

    แต่สุดท้ายก็มีแต่ความว่างเปล่า

    ร้อยตำรวจโทชงคมถอนใจ วางโทรศัพท์ลงก่อนจะเอื้อมมือไปดับโคมไฟแล้วล้มตัวนอน แต่ทันใดนั้น เสียงข้อความกลับดังขึ้นอีก ร่างสูงกระวีกระวาดขึ้นมาหยิบโทรศัพท์ดูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะผิดหวังเมื่อพบว่าเป็นเพียงข้อความจากเพื่อนที่ทำงานนิติเวช

    ‘ผลเทียบดีเอ็นเอจากก้นบุหรี่ที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุออกมาแล้ว’

    ข้อความถัดไปกำลังถูกพิมพ์ ผู้หมวดหนุ่มรออย่างใจจดจ่อว่าสรุปแล้วใครกันที่ทิ้งก้นบุหรี่เอาไว้ในจุดที่ร่างของชนมนถูกโยนลงจากสะพาน

    ...คำตอบที่ได้แทบจะปิดคดีได้เลยทีเดียว

    ‘ราพณ์ พิชิตไพรี’

    ไม่ทันได้แปลกใจ สารวัตรพงศ์พันธ์ก็โทรเข้ามาตามตัวเขาอย่างเร่งด่วน ผู้หมวดหนุ่มรับคำผู้บังคับบัญชาแล้วลุกขึ้นจากเตียง แต่งตัว มุ่งหน้าจะออกไปจับกุมผู้ต้องสงสัย

    จนตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อความจากหล่อนตอบกลับมาแต่อย่างใด

    ปริศนาของคดีฆาตกรรมเข้าใกล้ความกระจ่างแล้ว แต่ปริศนาหัวใจของเจ้าหล่อนนี่สิ จะลึกลับไปอีกนานแค่ไหน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่