-1-
มือที่มั่นคง รวยรินน้ำสกัดสีดำจากกาสีเงินวาว
"กาแฟ" ถูกบรรจงสร้างสรรค์ ถ่ายเทลงแก้วด้วยความชำนาญ กรรมการฝรั่งรุมล้อมด้วยแววตาไม่แน่ใจ การเป็นชนชั้นสองที่อาจหาญลงแข่ง Barista Championship ไม่ใช่เรื่องสนุกนัก
ความกังวลกอดรัดใช้ชายผิวดำแดง ขี้เล่น ให้ต้องมีอาการสั่นเทา กรรมการจดรายละเอียดพร้อมซักถามอย่างละเอียดถึงแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงาน เขายังคงเงียบ เหงื่อที่ชุ่มร้อนผ่าวทั่วแผ่นหลัง
ไม่มีคำตอบใด ๆ กรรมการมองหน้ากัน
ยักไหล่เบา ๆ
----------------------------------------------------------------------------------
"ไม่ค่ะ หนูไม่เอาเงินพี่หรอก พี่เอาเงินไปสร้างความรู้เถอะ ไม่มีใครอยากเป็นแฟนคนขับวิน มอร์'ไซค์หรอก"
เสียงกึกก้องให้หัวที่ดังเป็นระยะ
กะลาที่ครอบอยู่สั่นคลอน
----------------------------------------------------------------------------------
เด็กบ้านนอก จบมอสาม ทำตัวมะเหรกเกเร เรียนไม่จบมอปลาย ทำให้ต้องระเห็จเข้ากรุงเทพเพื่อหางาน วันแรกที่เข้ากรุง ไม่มีที่นอน ไม่มีแผนการ ไม่มีเงิน ไม่มีอะไร เงยหน้ามุ่งตรงไปห้างดังกลางกรุงเพื่อหางาน แต่ด้วยที่ยังเป็นเด็กและไร้วุฒิการศึกษาขั้นพื้นฐาน ใครจะเสี่ยงรับไว้ทำงาน คืนแรกในการผจญกรุงคือการนอนฟุตบาทในซอกหลืบลับกลางเมืองศิวิไลซ์
เมื่อลืมตาตื่น ขมองคิด ไม่สิ้นหวัง เร่ร่อนหางาน ทำทุกอย่างให้ได้เงิน ความลำบากคือเพื่อนยากที่สักวันน่าจะตอบแทนตัวเขา เขาได้รู้จักกับยามห้างที่เกิดสงสารชวนเขาไปนอนด้วย แต่เมื่อไปบ้านที่ก่อจากกล่องกระดาษ ที่ปะติดกับซากกำแพงเก่าที่ถูกทุบ มันไม่น่าเรียกว่าที่ซุกหัวนอนด้วยซ้ำ แต่มันก็สอนให้รู้ว่า การแบ่งปัน ไม่ได้หมายถึงการมีก่อนแล้วค่อยแบ่ง
เขายัง ตุหรัดตุเหร่เซซัดกับคืนวันอันอัตคัดในเมืองใหญ่ เข็นรถผักผลไม้ และงานกรรมกรรับจ้างอีกจิปาถะประทังชีวิต จนพอมีชีวิตอยู่ได้ ตั้งใจลงเอยกับการขับวิน มอร์'ไซค์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผมมองตัวเองว่าก็เป็นมนุษย์เหมือนคนอื่นเขา ไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นคนไทยแบบน้อยเนื้อต่ำใจนะ ไม่ได้มอง มนุษย์คนหนึ่ง เกิดมาครั้งหนึ่งแล้ว ถ้าเราไม่กล้าแม้แต่จะคิด มันก็จะอยู่แค่นั้นแหละ พอเราแก่ตัวไป เราอาจจะคิด “รู้งี้ ทำตั้งแต่ตอนมีแรง” แต่พอคิดได้มันก็สายไปแล้ว เคยเห็นมั้ย พวกจะทำแต่ไม่เริ่มซะที “จะๆๆ ทำ” อยู่นั่นล่ะ โปรเจกต์เยอะ แต่ผมไม่ใช่คนอย่างนั้น ผมทำเลย ไม่ต้องรอ อยากทำก็ทำเลย ผมคิดว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดกับการที่จะทำมาหากินอย่างสุจริต
--"ฉันท์ คำทองแท้" --
---------------------------------------------------------------------------------------------
-2-
เจ้าของร้านเดินมาจับไม้จับมือกับเขา หลังจากมีชื่อประกาศติด 1 ใน 10 มันทำให้ร้านที่เขาทำอยู่มีชื่อเสียงขึ้นมาทันที แต่เม็ดเหงื่อที่พรั่งพรูออกมา ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เจ้าของร้านพยักหน้าเข้าใจ ตบไหล่เบา ๆ ด้วยความมั่นใจในลูกน้องคนโปรด และเป็นกำลังใจ
"เรามาไกลแล้ว ที่เหลือเป็นกำไร ทำเต็มที่"
เสียงประกาศเรียกตัวผู้แข่งขันลอยเข้ามา สายตามองหน้าเจ้านายก่อนสูดลมเข้าไปเต็มปอดเดินขึ้นเวทีรอบตัดสินกำลังจะเริ่มขึ้น เท้าย่างเหยียบบันได เพิ่มแรงกดยกตัวขึ้นทีละขั้น ๆ แสงไฟส่องสว่าง
เขาก้าวขาไปอีกขั้น
----------------------------------------------------------------------------------
เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจ้องเขม็งมาที่เขา สายตาเขาหลบอย่างรวดเร็ว พาสสปอร์ตท่องเที่ยวในมือสั่นสะท้าน การที่เขาได้วีซ่ามาที่นี่อาจเป็นเพราะดวงล้วน ๆ ในช่วงนั้นมีแข่งโอลิมปิคที่นี่ ความเข้มงวดจึงน้อยลง เขาคลุมกายด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่เขารู้จัก ปะปนกับนักท่องเที่ยว ใจหมายมั่นใฝ่ฝันจะหางานให้ได้สักงาน อยู่สักปี ได้ภาษา กลับไปอย่างน้อยก็เป็นพนักงานโรงแรมได้
"Have a good trip"
เจ้าหน้าที่ยิ้มพร้อมยื่นเอกสาร เขาฟังไม่ออกแต่ก็พอเดาได้ว่าโชคเข้าข้างเขา เมื่อเดินออกมายังจุดบริการแท๊กซี่ คำ ๆ เดียวที่บอกคนขับได้คือ City ไม่มีใครเข้าใจว่าเขาจะไปไหน และเขาเองก็ไม่รู้จะไปไหน จนกระทั่งคันที่ห้า กระจกรถเลื่อนลงมา โชเฟอร์ทักทายด้วยภาษาที่ทำให้เขายิ้ม "เจ่าสิไปไส" "ในเมือง"เขาตอบพร้อมกระโดดขึ้นรถ แท๊กซี่สัญชาติลาวรับเขาไปส่ง
รถซอกแซกไปเรื่อยจนกระทั่งถึง
"โอเปร่า เฮาส์" เขาบอกให้รถจอด ลงจากรถ รายล้อมเขาคือเมืองใหญ่ศิวิไลซ์ในฝัน จะว่าดวง โชคชะตา พรหรมลิขิตหรือด้วยอะไรก็แล้วแต่ที่นำพาเขามายืนตรงนี้ มันบอกกับเขาว่า ตอนนี้เขาหยุดไม่ได้แล้ว
วิธีการเดิมที่เคยใช้ถูกงัดออกมา ก้าวเท้าเดินเคาะประตูร้านอาหารไทยทุกร้าน เพื่อของานทำ แต่ก็ไม่มีวี่แวว การลอบเข้าเมืองมาทำให้คนไทยที่นั่นไม่กล้าเสี่ยง ท่ามกลางแดดร้อน ชายหนุ่มไม่มีทีท่าว่าจะถอย แม้ไม่ได้งานร้านไทย ร้านฝรั่งก็ต้องเอา ดิกชั่นนารี่ บิดเบี้ยวกับหนังสือ ไดอะล๊อก เล่มบาง ๆ ถูกงัดออกมาทำหน้าที่ของมัน
"I Looking for Chicken hand(ช่วยตัวเอง)" เสียงหัวเราะระงมทั่วร้าน ทั้ง ๆ ที่ต้องการเอ่ยว่า
"I Looking for Dishes man(พนักงานล้างจาน)"แต่ด้วยบุคลิกไม่กลัว เฮฮา และสร้างเสียงหัวเราะแบบนี้อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาได้งานก็ได้
เขาได้ล้างจานสมใจ ก้มหน้าก้มตาทำงาน บ่อยครั้งที่ตาเหลือบมองไปที่ บาริสต้า แต่งกายด้วยชุดขาว ทรงผมเรียบหรูดูเท่ กระตุ้นให้เขาอยากที่จะเป็น ทุก ๆ ครั้งที่เขามีเวลาว่าง เขาจะมาซ้อมกับลม ทำท่าทางให้เหมือนที่สุด ครูพักลักจำ ทำสะเปะสะปะ เมื่อมีโอกาศก็จะไถ่ถาม ร่วมเดือนที่หัดทำกาแฟ จนกระทั่งวันนึง เจ้าของร้านลืมกุญแจบ้านจึงกลับมาร้าน พบเขากำลังทำกาแฟอยู่
"ส่งมันมาให้ผม" หลังจากที่เครื่องดื่มสัมผัสลิ้น
"ผมว่า วันจันทร์ เรามีอะไรต้องคุยกันแล้วละ"
----------------------------------------------------------------------------------
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้“ขอแสดงความยินดีด้วย เธอเป็นนักชงกาแฟแล้ว โดยปกติ เรตค่าจ้างจะอยู่ที่ชั่วโมงละ 18 เหรียญ แต่อย่างเธอ เราให้ 20 เพราะว่าถ้าคนชงกาแฟอย่างเธอ ทำได้ทุกอย่างขนาดนี้ บริษัทชอบมากเลย เธอไม่ต้องบอกนะว่าเธอทำอะไรบ้าง แต่สิ่งที่เราเห็น ฉันก็ไม่ได้เห็นนะ แต่กล้องที่อยู่ในร้านมันเห็นการกระทำของเธอทั้งหมด”
โอ้โห น้ำตาลูกผู้ชายมันไหลออกมาเลย แล้วเขาก็ทำซิติเซน (citizen) ให้ผมเป็นคนที่นั่น ตอนนั้นรู้สึกเท่มาก คือมีคนขอร้องให้อยู่ ถูกมั้ย ความรู้สึกเหมือนคนที่ไปอยู่อเมริกา ก็อยากเป็นคนที่นั่น แต่ผมนี่เท่มาก ได้อยู่ที่นู่นได้ บาทเดียวก็ไม่เสียด้วย
--"ฉันท์ คำทองแท้" --
--บทความบันดาลใจ--#1 Fairy Tale of "Crazy Barista"
-1-
มือที่มั่นคง รวยรินน้ำสกัดสีดำจากกาสีเงินวาว "กาแฟ" ถูกบรรจงสร้างสรรค์ ถ่ายเทลงแก้วด้วยความชำนาญ กรรมการฝรั่งรุมล้อมด้วยแววตาไม่แน่ใจ การเป็นชนชั้นสองที่อาจหาญลงแข่ง Barista Championship ไม่ใช่เรื่องสนุกนัก
ความกังวลกอดรัดใช้ชายผิวดำแดง ขี้เล่น ให้ต้องมีอาการสั่นเทา กรรมการจดรายละเอียดพร้อมซักถามอย่างละเอียดถึงแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงาน เขายังคงเงียบ เหงื่อที่ชุ่มร้อนผ่าวทั่วแผ่นหลัง
ไม่มีคำตอบใด ๆ กรรมการมองหน้ากัน
ยักไหล่เบา ๆ
----------------------------------------------------------------------------------
"ไม่ค่ะ หนูไม่เอาเงินพี่หรอก พี่เอาเงินไปสร้างความรู้เถอะ ไม่มีใครอยากเป็นแฟนคนขับวิน มอร์'ไซค์หรอก"
เสียงกึกก้องให้หัวที่ดังเป็นระยะ
กะลาที่ครอบอยู่สั่นคลอน
----------------------------------------------------------------------------------
เด็กบ้านนอก จบมอสาม ทำตัวมะเหรกเกเร เรียนไม่จบมอปลาย ทำให้ต้องระเห็จเข้ากรุงเทพเพื่อหางาน วันแรกที่เข้ากรุง ไม่มีที่นอน ไม่มีแผนการ ไม่มีเงิน ไม่มีอะไร เงยหน้ามุ่งตรงไปห้างดังกลางกรุงเพื่อหางาน แต่ด้วยที่ยังเป็นเด็กและไร้วุฒิการศึกษาขั้นพื้นฐาน ใครจะเสี่ยงรับไว้ทำงาน คืนแรกในการผจญกรุงคือการนอนฟุตบาทในซอกหลืบลับกลางเมืองศิวิไลซ์
เมื่อลืมตาตื่น ขมองคิด ไม่สิ้นหวัง เร่ร่อนหางาน ทำทุกอย่างให้ได้เงิน ความลำบากคือเพื่อนยากที่สักวันน่าจะตอบแทนตัวเขา เขาได้รู้จักกับยามห้างที่เกิดสงสารชวนเขาไปนอนด้วย แต่เมื่อไปบ้านที่ก่อจากกล่องกระดาษ ที่ปะติดกับซากกำแพงเก่าที่ถูกทุบ มันไม่น่าเรียกว่าที่ซุกหัวนอนด้วยซ้ำ แต่มันก็สอนให้รู้ว่า การแบ่งปัน ไม่ได้หมายถึงการมีก่อนแล้วค่อยแบ่ง
เขายัง ตุหรัดตุเหร่เซซัดกับคืนวันอันอัตคัดในเมืองใหญ่ เข็นรถผักผลไม้ และงานกรรมกรรับจ้างอีกจิปาถะประทังชีวิต จนพอมีชีวิตอยู่ได้ ตั้งใจลงเอยกับการขับวิน มอร์'ไซค์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
---------------------------------------------------------------------------------------------
-2-
เจ้าของร้านเดินมาจับไม้จับมือกับเขา หลังจากมีชื่อประกาศติด 1 ใน 10 มันทำให้ร้านที่เขาทำอยู่มีชื่อเสียงขึ้นมาทันที แต่เม็ดเหงื่อที่พรั่งพรูออกมา ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เจ้าของร้านพยักหน้าเข้าใจ ตบไหล่เบา ๆ ด้วยความมั่นใจในลูกน้องคนโปรด และเป็นกำลังใจ
"เรามาไกลแล้ว ที่เหลือเป็นกำไร ทำเต็มที่"
เสียงประกาศเรียกตัวผู้แข่งขันลอยเข้ามา สายตามองหน้าเจ้านายก่อนสูดลมเข้าไปเต็มปอดเดินขึ้นเวทีรอบตัดสินกำลังจะเริ่มขึ้น เท้าย่างเหยียบบันได เพิ่มแรงกดยกตัวขึ้นทีละขั้น ๆ แสงไฟส่องสว่าง
เขาก้าวขาไปอีกขั้น
----------------------------------------------------------------------------------
เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจ้องเขม็งมาที่เขา สายตาเขาหลบอย่างรวดเร็ว พาสสปอร์ตท่องเที่ยวในมือสั่นสะท้าน การที่เขาได้วีซ่ามาที่นี่อาจเป็นเพราะดวงล้วน ๆ ในช่วงนั้นมีแข่งโอลิมปิคที่นี่ ความเข้มงวดจึงน้อยลง เขาคลุมกายด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่เขารู้จัก ปะปนกับนักท่องเที่ยว ใจหมายมั่นใฝ่ฝันจะหางานให้ได้สักงาน อยู่สักปี ได้ภาษา กลับไปอย่างน้อยก็เป็นพนักงานโรงแรมได้
"Have a good trip"
เจ้าหน้าที่ยิ้มพร้อมยื่นเอกสาร เขาฟังไม่ออกแต่ก็พอเดาได้ว่าโชคเข้าข้างเขา เมื่อเดินออกมายังจุดบริการแท๊กซี่ คำ ๆ เดียวที่บอกคนขับได้คือ City ไม่มีใครเข้าใจว่าเขาจะไปไหน และเขาเองก็ไม่รู้จะไปไหน จนกระทั่งคันที่ห้า กระจกรถเลื่อนลงมา โชเฟอร์ทักทายด้วยภาษาที่ทำให้เขายิ้ม "เจ่าสิไปไส" "ในเมือง"เขาตอบพร้อมกระโดดขึ้นรถ แท๊กซี่สัญชาติลาวรับเขาไปส่ง
รถซอกแซกไปเรื่อยจนกระทั่งถึง "โอเปร่า เฮาส์" เขาบอกให้รถจอด ลงจากรถ รายล้อมเขาคือเมืองใหญ่ศิวิไลซ์ในฝัน จะว่าดวง โชคชะตา พรหรมลิขิตหรือด้วยอะไรก็แล้วแต่ที่นำพาเขามายืนตรงนี้ มันบอกกับเขาว่า ตอนนี้เขาหยุดไม่ได้แล้ว
วิธีการเดิมที่เคยใช้ถูกงัดออกมา ก้าวเท้าเดินเคาะประตูร้านอาหารไทยทุกร้าน เพื่อของานทำ แต่ก็ไม่มีวี่แวว การลอบเข้าเมืองมาทำให้คนไทยที่นั่นไม่กล้าเสี่ยง ท่ามกลางแดดร้อน ชายหนุ่มไม่มีทีท่าว่าจะถอย แม้ไม่ได้งานร้านไทย ร้านฝรั่งก็ต้องเอา ดิกชั่นนารี่ บิดเบี้ยวกับหนังสือ ไดอะล๊อก เล่มบาง ๆ ถูกงัดออกมาทำหน้าที่ของมัน
"I Looking for Chicken hand(ช่วยตัวเอง)" เสียงหัวเราะระงมทั่วร้าน ทั้ง ๆ ที่ต้องการเอ่ยว่า
"I Looking for Dishes man(พนักงานล้างจาน)"แต่ด้วยบุคลิกไม่กลัว เฮฮา และสร้างเสียงหัวเราะแบบนี้อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาได้งานก็ได้
เขาได้ล้างจานสมใจ ก้มหน้าก้มตาทำงาน บ่อยครั้งที่ตาเหลือบมองไปที่ บาริสต้า แต่งกายด้วยชุดขาว ทรงผมเรียบหรูดูเท่ กระตุ้นให้เขาอยากที่จะเป็น ทุก ๆ ครั้งที่เขามีเวลาว่าง เขาจะมาซ้อมกับลม ทำท่าทางให้เหมือนที่สุด ครูพักลักจำ ทำสะเปะสะปะ เมื่อมีโอกาศก็จะไถ่ถาม ร่วมเดือนที่หัดทำกาแฟ จนกระทั่งวันนึง เจ้าของร้านลืมกุญแจบ้านจึงกลับมาร้าน พบเขากำลังทำกาแฟอยู่
"ส่งมันมาให้ผม" หลังจากที่เครื่องดื่มสัมผัสลิ้น
"ผมว่า วันจันทร์ เรามีอะไรต้องคุยกันแล้วละ"
----------------------------------------------------------------------------------
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้