สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
คือลิงที่เราเห็นในปัจจุบันกับมนุษย์ที่เราเห็นในปัจจุบันมันคือส่วนปลายแล้ว มันไม่ใช่ว่าลิงในปัจจุบันนี้ต่อไปจะกลายเป็นมนุษย์
เปรียบเทียบง่ายๆ
แกงเขียวหวาน ทำจากกะทิ
บัวลอยไข่หวาน ก็ทำจากกะทิ
แต่ถามว่าแกงเขียนหวานเอามาพัฒนาเป็นบัวลอยน้ำกะทิได้หรือเปล่า คงจะไม่ได้แล้วแหละ เพราะมันผ่านกระบวนการผสมนั่นนี่จนเป็นแกงเขียวหวานไปแล้ว คือถ้าจะทำบัวลอยน้ำกะทิก็ต้องต้องไปเริ่มใหม่จากกะทิเปล่าๆที่ยังไม่ได้เอาไปทำอะไร ดังนั้นบัวลอยไข่หวานไม่ได้พัฒนามาจากแกงเขียวหวาน เพียงแต่ทั้ง 2 อย่าง พัฒนามาจากกะทิ
เปรียบเทียบง่ายๆ
แกงเขียวหวาน ทำจากกะทิ
บัวลอยไข่หวาน ก็ทำจากกะทิ
แต่ถามว่าแกงเขียนหวานเอามาพัฒนาเป็นบัวลอยน้ำกะทิได้หรือเปล่า คงจะไม่ได้แล้วแหละ เพราะมันผ่านกระบวนการผสมนั่นนี่จนเป็นแกงเขียวหวานไปแล้ว คือถ้าจะทำบัวลอยน้ำกะทิก็ต้องต้องไปเริ่มใหม่จากกะทิเปล่าๆที่ยังไม่ได้เอาไปทำอะไร ดังนั้นบัวลอยไข่หวานไม่ได้พัฒนามาจากแกงเขียวหวาน เพียงแต่ทั้ง 2 อย่าง พัฒนามาจากกะทิ
ความคิดเห็นที่ 51
คำถามทำนองนี้มีอยู่ตลอดนะ
เอาคีย์เวิร์ดสั้น ๆ ไปก่อน
- วิวัฒนาการแบบโปเกมอน ผิดหลักทฤษฏีวิวัฒนาการตั้งแต่รากฐาน
- วิวัฒนาการซ้ำไม่มีทางเกิดขึ้นได้ มากสุดคือเลียนแบบ
- วิวัฒนาการเกิดในรุ่นเดิมไม่ได้ รุ่นเดียวไม่ได้
- วิวัฒนาการไม่จำต้องทำให้สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์เดิมหายไป
- วิวัฒนาการเกิดขึ้นแบบสุ่ม โดยไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรและเมื่อไหร่
- ลักษณะที่เกิดขึ้นจากวิวัฒนาการทำให้ขยายพันธุ์ได้มาก ไม่เกี่ยวกับแข็งแรงหรืออ่อนแอ








อธิบายล่ะ
การวิวัฒนาการของโปเกมอน แท้จริงไม่ใช่ Evolution แต่มันคือ Metamorphosis ที่เป็นแบบเดียวกับแมลงต่างหาก
ทว่าการวิวัฒนาการนั้นจะมีลักษณะที่แตกต่าง
(วิวัฒนาการแบบโปเกมอน ผิดหลักทฤษฏีวิวัฒนาการตั้งแต่รากฐาน)
คือพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตเกิดการคัดลอกตัวเองที่ผิดเพี้ยน จนทำให้เกิดลักษณะทางพันธุกรรมใหม่ขึ้นมา
ประมาณเวลาเราซีร็อกซ์ภาพสักอย่างไปเรื่อย ๆ โดยใช้แผ่นใหม่มาซีร็อกซ์แทนแผ่นเก่า ภาพที่ได้ก็จะบิดเบี้ยวจนไม่เหมือนรูปเดิมอีก
ซึ่งการวิวัฒนาการก็มีลักษณะเดียวกัน ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดการซีร็อกซ์เบี้ยวเมื่อไหร่ และจะเบี้ยวเมื่อใด
(วิวัฒนาการเกิดขึ้นแบบสุ่ม โดยไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรและเมื่อไหร่)
โดยคิดว่าภาพที่บิดเบี้ยวนี้จะกลับมาสู่ลักษณะเดิมได้หรือไม่ ? ไม่ได้หรอก ยังไงมันก็มี "บางอย่าง" ที่ทำให้ไม่ใช่ภาพเดิมอีกต่อไป และ "บางอย่าง" ที่ว่านั้นก็ทำให้กลายเป็นสัตว์คนละสายพันธุ์ ดังนั้นพยายามควบคุมมันแค่ไหนก็ทำได้อย่างมากแค่รูปที่ดูคล้ายของเดิม แต่ไม่ใช่ของเดิมเป็นอันขาด เพราะยังไงก็มีส่วนที่ไม่คล้ายของเดิม
ไม่เพียงเท่านัน ลักษณะที่เปลี่ยนไปสำหรับสิ่งมีชีวิต มันก็เกิดจากหน่วยพันธุกรรมอันยิบย่อยที่มีมากมายมหาศาล ดังนั้นมันจึงทิ้งร่องรอยของวิวัฒนาการที่เคยผ่านมาก่อนหน้าอยู่เสมอ
(วิวัฒนาการซ้ำไม่มีทางเกิดขึ้นได้ มากสุดคือเลียนแบบ)
ดังนั้นการวิวัฒนาการจึงเป็นการสุ่มล้วน ๆ ไปคุมอะไรมันไม่ได้หรอก
และการวิวัฒนาการจะแสดงผลออกมาในรุ่นลูกขึ้นไป เพราะการคัดลอกพันธุกรรมที่ผิดเพี้ยนในร่างกายของรุ่นพ่อรุ่นแม่มันทำให้เกิดโรคเกิดมะเร็งเกิดความชราเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำให้เปลี่ยนเป็นสายพันธุ์อื่นตามไปด้วย
ทว่าหากการคัดลอกพันธุกรรมเกิดผิดเพี้ยนในเซลสืบพันธุ์ เช่นน้ำเชื้อหรือรังไข่ ก็จะทำให้ลูกออกมามีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไป
(วิวัฒนาการเกิดในรุ่นเดิมไม่ได้ รุ่นเดียวไม่ได้)
และลักษณะการวิวัฒนาการจะสืบทอดต่อไปได้ก็ต่อเมื่อเกิดการผสมพันธุ์กันขึ้น ทว่าหากสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นเกิดแยกกลุ่มไปหลายกลุ่มย่อยแล้วไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีก มันย่อมไม่ทำให้ลักษณะที่เกิดวิวัฒนาการนั้นสืบทอดไปอยู่ยังกลุ่มอื่นด้วย
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ลิงพันธุ์Aวิวัฒนาการในรุ่นลูกจนมีมือใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นลิงพันธุ์Bไปในประเทศไทย แต่เมื่อลิงพันธุ์Bไม่ได้ไปผสมพันธุ์กับลิงพันธุ์Aที่อยู่ในอเมริกา ลิงพันธุ์Bย่อมไม่สามารถกลืนสายพันธุ์ของลิงพันธุ์Aของที่นั่นให้หายไปได้อยู่แล้ว
ทว่าในทางกลับกันก็อาจเป็นไปได้ที่ลิงพันธุ์Aที่อยู่ในอเมริกาจะสูญพันธุ์เพราะมีอาหารไม่เพียงพอ หรือเกิดลิงพันธุ์Cขึ้นแล้วกลืนกินสายพันธุ์ของลิงพันธุ์Aไป ดังนั้นที่เห็นว่าบรรพบุรุษของสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งไม่อยู่ในปัจจุบัน ย่อมไม่ได้หมายความว่าเกิดวิวัฒนาการสายพันธุ์ใหม่ขึ้นแล้วจะทำให้สายพันธุ์เก่าต้องหายไปด้วยเช่นกัน
(วิวัฒนาการไม่จำต้องทำให้สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์เดิมหายไป)
และลักษณะที่เปลี่ยนไปแปลงนี้เอง หากมันทำให้ขยายพันธุ์ได้มาก ลักษณะนั้นจึงจะสืบทอดต่อมา
จุดนี้หลายคนเข้าใจผิดว่าใช้บ่อยจะสืบทอด ใช้น้อยจะหายไป ดีกว่าจะคงอยู่ แย่กว่าจะสาบสูญ เป็นความเข้าใจที่ผิด !
เพราะเป็นไปได้เหมือนกันว่าสิ่งที่คิดว่าดีกว่านั้น อาจจะทำให้จำเป็นต้องใช้พลังงานมากขึ้น ใช้พลังงานมากก็หมายความว่าต้องกินอาหารมาก แต่หากอยู่ในยุคที่อาหารขาดแคลน ก็จะทำให้ตายก่อนที่จะสืบพันธุ์ได้ ลักษณะนั้นจึงหายไป แต่กลับกันลักษณะที่ด้อยแต่กลับใช้พลังงานน้อยกินอาหารน้อย ก็จะอยู่รอดในยุคที่อาหารขาดแคลน จนสามารถสืบพันธุ์และส่งมอบลักษณะนั้นต่อไปได้
(ลักษณะที่เกิดขึ้นจากวิวัฒนาการทำให้ขยายพันธุ์ได้มาก ไม่เกี่ยวกับแข็งแรงหรืออ่อนแอ)
ดังนั้นลิงในยุคปัจจุบันจึงไม่มีทางวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ได้ อย่างมากก็แค่คล้าย เพราะมันมีลักษณะดีเอ็นเอที่แตกต่างกันไปแล้ว
และคล้ายที่ว่าเองก็เกิดขึ้นยากมาก เพราะมันเกิดขึ้นแบบสุ่ม ซึ่งไม่จำเป็นว่าลักษณะเด่นที่เกิดจะต้องคล้ายกับมนุษย์สักหน่อย หากมีความเป็นไปได้นับล้าน ๆ เส้นทางด้วยซ้ำ
อันที่จริงแม้แต่บรรพบุรุษมนุษย์ลิงก็เช่นกัน แม้จะอยู่รอดมาถึงปัจจุบัน จะวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์อีกก็ทำไม่ได้ เพราะมันเกิดขึ้นแบบสุ่ม
และไม่ใช่รุ่นเดียวที่กลายมาเป็นมนุษย์ปัจจุบันเลย เพราะผ่านการวิวัฒนาการมาทีละเล็กละน้อยตลอดหลายล้านปีที่ผ่านมา มันจึงอาจจะยากกว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งพร้อมกันเสียอีก
หมายเหตุ บรรพบุรุษมนุษย์ไม่ใช่ลิงนะ ต้องเรียกว่าบรรพบุรุษร่วมมนุษย์ลิง เพราะหากพูดว่าลิงจะทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นลิงอะไรก็ได้
สำหรับอะไรที่ยืนยันว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษร่วมมนุษย์ลิง
มันมีมากมายมหาศาลเลยล่ะ
- ลักษณะของดีเอ็นเอ ถ้าไม่ยอมเชื่อเรื่องนี้ ก็แปลว่าต้องไม่เชื่อว่าผลตรวจดีเอ็นเอสามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางสายเลือดได้เช่นกัน
- ลักษณะของกายวิภาค เช่นโครงกระดูก อวัยวะ รูปร่าง ซึ่งสิ่งที่เป็นเครือญาติกันจะมีลักษณะที่คล้ายกัน เรื่องนี้ก็ปรากฏให้เห็นในการผสมพันธุ์พืชและสัตว์ที่จะต้องมีลักษณะของพ่อแม่อยู่เสมอ ทั้งนี้สำหรับลิงจะมีลักษณะบางอย่างที่มากกว่ามนุษย์ (ตกลงแอนติบอดี้หรือเปล่า เคยเจอครั้งนึงแล้วหาไม่เจออีกเลย) แต่ลักษณะเดียวกันนี้กลับไม่เจอในสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่น
- โบราณคดี ซึ่งมีการค้นพบว่าบรรพบุรุษก็มีการวิวัฒนาการมาตลอด เกี่ยวเนื่องกับลักษณะของกายวิภาคกับดีเอ็นเอด้วยนั่นแหละ ดังนั้นมนุษย์จึงเกิดขึ้นมาลอย ๆ ไม่ได้
- การวิวัฒนาการเกิดขึ้นจริง ตัวอย่างง่าย ๆ ก็เรื่องของพืชไร่ ปศุสัตว์ หรือแม้กระทั่งสุนัขที่มีมากมายหลายร้อยหลายพันสายพันธุ์ ซึ่งถ้าการวิวัฒนาการเกิดขึ้นจริงไม่ได้ เรื่องพวกนี้ก็ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ด้วยเช่นกัน
ก็นะ มีหลักฐานมากมายขนาดนี้ ก็สมควรจะเชื่อแล้วล่ะว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษร่วมมนุษย์ลิงจริง ๆ
จะให้เป็นประสบการณ์เชิงประจักษ์วิวัฒนาการต่อหน้ามันก็เป็นไปไม่ได้
อันที่จริงสมองของมนุษย์ก็สามารถหาคำตอบได้นอกเหนือจากประสบการณ์เชิงประจักษ์นะ
1 X 3 4 5 6 คนที่มีไอคิวเหมือนคนปรกติก็น่าจะรู้ว่า X=2 ใช่ไหม ? แม้ไม่มีคำตอบออกมาโต้ง ๆ ว่า X=2 ก็ตาม
ซึ่งสำหรับกรณีวิวัฒนาการ มันไม่ได้มีแค่ "1 X 3 4 5 6" อย่างเดียว แต่มันมีทั้ง "0 X 4 6 8 10" "X 3 5 7 11" และอื่น ๆ อีกเพียบ
เอาคีย์เวิร์ดสั้น ๆ ไปก่อน
- วิวัฒนาการแบบโปเกมอน ผิดหลักทฤษฏีวิวัฒนาการตั้งแต่รากฐาน
- วิวัฒนาการซ้ำไม่มีทางเกิดขึ้นได้ มากสุดคือเลียนแบบ
- วิวัฒนาการเกิดในรุ่นเดิมไม่ได้ รุ่นเดียวไม่ได้
- วิวัฒนาการไม่จำต้องทำให้สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์เดิมหายไป
- วิวัฒนาการเกิดขึ้นแบบสุ่ม โดยไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรและเมื่อไหร่
- ลักษณะที่เกิดขึ้นจากวิวัฒนาการทำให้ขยายพันธุ์ได้มาก ไม่เกี่ยวกับแข็งแรงหรืออ่อนแอ








อธิบายล่ะ
การวิวัฒนาการของโปเกมอน แท้จริงไม่ใช่ Evolution แต่มันคือ Metamorphosis ที่เป็นแบบเดียวกับแมลงต่างหาก
ทว่าการวิวัฒนาการนั้นจะมีลักษณะที่แตกต่าง
(วิวัฒนาการแบบโปเกมอน ผิดหลักทฤษฏีวิวัฒนาการตั้งแต่รากฐาน)
คือพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตเกิดการคัดลอกตัวเองที่ผิดเพี้ยน จนทำให้เกิดลักษณะทางพันธุกรรมใหม่ขึ้นมา
ประมาณเวลาเราซีร็อกซ์ภาพสักอย่างไปเรื่อย ๆ โดยใช้แผ่นใหม่มาซีร็อกซ์แทนแผ่นเก่า ภาพที่ได้ก็จะบิดเบี้ยวจนไม่เหมือนรูปเดิมอีก
ซึ่งการวิวัฒนาการก็มีลักษณะเดียวกัน ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดการซีร็อกซ์เบี้ยวเมื่อไหร่ และจะเบี้ยวเมื่อใด
(วิวัฒนาการเกิดขึ้นแบบสุ่ม โดยไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรและเมื่อไหร่)
โดยคิดว่าภาพที่บิดเบี้ยวนี้จะกลับมาสู่ลักษณะเดิมได้หรือไม่ ? ไม่ได้หรอก ยังไงมันก็มี "บางอย่าง" ที่ทำให้ไม่ใช่ภาพเดิมอีกต่อไป และ "บางอย่าง" ที่ว่านั้นก็ทำให้กลายเป็นสัตว์คนละสายพันธุ์ ดังนั้นพยายามควบคุมมันแค่ไหนก็ทำได้อย่างมากแค่รูปที่ดูคล้ายของเดิม แต่ไม่ใช่ของเดิมเป็นอันขาด เพราะยังไงก็มีส่วนที่ไม่คล้ายของเดิม
ไม่เพียงเท่านัน ลักษณะที่เปลี่ยนไปสำหรับสิ่งมีชีวิต มันก็เกิดจากหน่วยพันธุกรรมอันยิบย่อยที่มีมากมายมหาศาล ดังนั้นมันจึงทิ้งร่องรอยของวิวัฒนาการที่เคยผ่านมาก่อนหน้าอยู่เสมอ
(วิวัฒนาการซ้ำไม่มีทางเกิดขึ้นได้ มากสุดคือเลียนแบบ)
ดังนั้นการวิวัฒนาการจึงเป็นการสุ่มล้วน ๆ ไปคุมอะไรมันไม่ได้หรอก
และการวิวัฒนาการจะแสดงผลออกมาในรุ่นลูกขึ้นไป เพราะการคัดลอกพันธุกรรมที่ผิดเพี้ยนในร่างกายของรุ่นพ่อรุ่นแม่มันทำให้เกิดโรคเกิดมะเร็งเกิดความชราเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำให้เปลี่ยนเป็นสายพันธุ์อื่นตามไปด้วย
ทว่าหากการคัดลอกพันธุกรรมเกิดผิดเพี้ยนในเซลสืบพันธุ์ เช่นน้ำเชื้อหรือรังไข่ ก็จะทำให้ลูกออกมามีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไป
(วิวัฒนาการเกิดในรุ่นเดิมไม่ได้ รุ่นเดียวไม่ได้)
และลักษณะการวิวัฒนาการจะสืบทอดต่อไปได้ก็ต่อเมื่อเกิดการผสมพันธุ์กันขึ้น ทว่าหากสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นเกิดแยกกลุ่มไปหลายกลุ่มย่อยแล้วไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีก มันย่อมไม่ทำให้ลักษณะที่เกิดวิวัฒนาการนั้นสืบทอดไปอยู่ยังกลุ่มอื่นด้วย
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ลิงพันธุ์Aวิวัฒนาการในรุ่นลูกจนมีมือใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นลิงพันธุ์Bไปในประเทศไทย แต่เมื่อลิงพันธุ์Bไม่ได้ไปผสมพันธุ์กับลิงพันธุ์Aที่อยู่ในอเมริกา ลิงพันธุ์Bย่อมไม่สามารถกลืนสายพันธุ์ของลิงพันธุ์Aของที่นั่นให้หายไปได้อยู่แล้ว
ทว่าในทางกลับกันก็อาจเป็นไปได้ที่ลิงพันธุ์Aที่อยู่ในอเมริกาจะสูญพันธุ์เพราะมีอาหารไม่เพียงพอ หรือเกิดลิงพันธุ์Cขึ้นแล้วกลืนกินสายพันธุ์ของลิงพันธุ์Aไป ดังนั้นที่เห็นว่าบรรพบุรุษของสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งไม่อยู่ในปัจจุบัน ย่อมไม่ได้หมายความว่าเกิดวิวัฒนาการสายพันธุ์ใหม่ขึ้นแล้วจะทำให้สายพันธุ์เก่าต้องหายไปด้วยเช่นกัน
(วิวัฒนาการไม่จำต้องทำให้สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์เดิมหายไป)
และลักษณะที่เปลี่ยนไปแปลงนี้เอง หากมันทำให้ขยายพันธุ์ได้มาก ลักษณะนั้นจึงจะสืบทอดต่อมา
จุดนี้หลายคนเข้าใจผิดว่าใช้บ่อยจะสืบทอด ใช้น้อยจะหายไป ดีกว่าจะคงอยู่ แย่กว่าจะสาบสูญ เป็นความเข้าใจที่ผิด !
เพราะเป็นไปได้เหมือนกันว่าสิ่งที่คิดว่าดีกว่านั้น อาจจะทำให้จำเป็นต้องใช้พลังงานมากขึ้น ใช้พลังงานมากก็หมายความว่าต้องกินอาหารมาก แต่หากอยู่ในยุคที่อาหารขาดแคลน ก็จะทำให้ตายก่อนที่จะสืบพันธุ์ได้ ลักษณะนั้นจึงหายไป แต่กลับกันลักษณะที่ด้อยแต่กลับใช้พลังงานน้อยกินอาหารน้อย ก็จะอยู่รอดในยุคที่อาหารขาดแคลน จนสามารถสืบพันธุ์และส่งมอบลักษณะนั้นต่อไปได้
(ลักษณะที่เกิดขึ้นจากวิวัฒนาการทำให้ขยายพันธุ์ได้มาก ไม่เกี่ยวกับแข็งแรงหรืออ่อนแอ)
ดังนั้นลิงในยุคปัจจุบันจึงไม่มีทางวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ได้ อย่างมากก็แค่คล้าย เพราะมันมีลักษณะดีเอ็นเอที่แตกต่างกันไปแล้ว
และคล้ายที่ว่าเองก็เกิดขึ้นยากมาก เพราะมันเกิดขึ้นแบบสุ่ม ซึ่งไม่จำเป็นว่าลักษณะเด่นที่เกิดจะต้องคล้ายกับมนุษย์สักหน่อย หากมีความเป็นไปได้นับล้าน ๆ เส้นทางด้วยซ้ำ
อันที่จริงแม้แต่บรรพบุรุษมนุษย์ลิงก็เช่นกัน แม้จะอยู่รอดมาถึงปัจจุบัน จะวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์อีกก็ทำไม่ได้ เพราะมันเกิดขึ้นแบบสุ่ม
และไม่ใช่รุ่นเดียวที่กลายมาเป็นมนุษย์ปัจจุบันเลย เพราะผ่านการวิวัฒนาการมาทีละเล็กละน้อยตลอดหลายล้านปีที่ผ่านมา มันจึงอาจจะยากกว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งพร้อมกันเสียอีก
หมายเหตุ บรรพบุรุษมนุษย์ไม่ใช่ลิงนะ ต้องเรียกว่าบรรพบุรุษร่วมมนุษย์ลิง เพราะหากพูดว่าลิงจะทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นลิงอะไรก็ได้
สำหรับอะไรที่ยืนยันว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษร่วมมนุษย์ลิง
มันมีมากมายมหาศาลเลยล่ะ
- ลักษณะของดีเอ็นเอ ถ้าไม่ยอมเชื่อเรื่องนี้ ก็แปลว่าต้องไม่เชื่อว่าผลตรวจดีเอ็นเอสามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางสายเลือดได้เช่นกัน
- ลักษณะของกายวิภาค เช่นโครงกระดูก อวัยวะ รูปร่าง ซึ่งสิ่งที่เป็นเครือญาติกันจะมีลักษณะที่คล้ายกัน เรื่องนี้ก็ปรากฏให้เห็นในการผสมพันธุ์พืชและสัตว์ที่จะต้องมีลักษณะของพ่อแม่อยู่เสมอ ทั้งนี้สำหรับลิงจะมีลักษณะบางอย่างที่มากกว่ามนุษย์ (ตกลงแอนติบอดี้หรือเปล่า เคยเจอครั้งนึงแล้วหาไม่เจออีกเลย) แต่ลักษณะเดียวกันนี้กลับไม่เจอในสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่น
- โบราณคดี ซึ่งมีการค้นพบว่าบรรพบุรุษก็มีการวิวัฒนาการมาตลอด เกี่ยวเนื่องกับลักษณะของกายวิภาคกับดีเอ็นเอด้วยนั่นแหละ ดังนั้นมนุษย์จึงเกิดขึ้นมาลอย ๆ ไม่ได้
- การวิวัฒนาการเกิดขึ้นจริง ตัวอย่างง่าย ๆ ก็เรื่องของพืชไร่ ปศุสัตว์ หรือแม้กระทั่งสุนัขที่มีมากมายหลายร้อยหลายพันสายพันธุ์ ซึ่งถ้าการวิวัฒนาการเกิดขึ้นจริงไม่ได้ เรื่องพวกนี้ก็ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ด้วยเช่นกัน
ก็นะ มีหลักฐานมากมายขนาดนี้ ก็สมควรจะเชื่อแล้วล่ะว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษร่วมมนุษย์ลิงจริง ๆ
จะให้เป็นประสบการณ์เชิงประจักษ์วิวัฒนาการต่อหน้ามันก็เป็นไปไม่ได้
อันที่จริงสมองของมนุษย์ก็สามารถหาคำตอบได้นอกเหนือจากประสบการณ์เชิงประจักษ์นะ
1 X 3 4 5 6 คนที่มีไอคิวเหมือนคนปรกติก็น่าจะรู้ว่า X=2 ใช่ไหม ? แม้ไม่มีคำตอบออกมาโต้ง ๆ ว่า X=2 ก็ตาม
ซึ่งสำหรับกรณีวิวัฒนาการ มันไม่ได้มีแค่ "1 X 3 4 5 6" อย่างเดียว แต่มันมีทั้ง "0 X 4 6 8 10" "X 3 5 7 11" และอื่น ๆ อีกเพียบ
แสดงความคิดเห็น
โลกปัจจุบัน..ลิง ยังสามารถวิวัฒนาการเป็น มนุษย์ ได้หรือไม่