มนตร์รักคาราโอเกะทะลุมิติ
(เรื่องสั้นชุด : มนตร์รัก)
เนื่องด้วย
คุณลายลิขิต ติดภารกิจจำเป็นสำคัญกะทันหัน
ไม่สามารถลงนิยายได้ และได้ให้ผมมาวางนิยายเรื่องนี้แทน
แฟนคลับคุณลายลิขิตสามารถเข้ามาคุยกับคุณลายลิขิตได้ตามปกติครับ
=====================
มนตร์รักคาราโอเกะทะลุมิติ
=====================
ลายลิขิต ล. วิลิศมาหรา
บนเวทีประกวดร้องเพลงงานลอยกระทงบ้านหนองสีเขียด บัดนี้โฆษกกำลังประกาศผลการแข่งขัน แสงไฟสปอร์ตไล้ทส่องต้องร่างในชุดแบทแมนของนายเมืองลือ แหล่งอุดม ผู้ชนะเลิศการแข่งขันที่ยืนเด่นอยู่กลางเวทีจนสว่างจ้า ชายหนุ่มมีสีหน้าปลื้มปริ่ม รอยยิ้มกระจายเต็มใบหน้า
คุณนายแม่มะลิซ้อนผู้เป็นมารดา พาร่างตุ้ยนุ้ยเดินตุ้บตั้บขึ้นไปบนเวที เธอบรรจงหอมแก้มซ้ายขวาของลูกชาย ก่อนหันมายิ้มตาหยีใส่กล้องถ่ายรูปที่แย่งกันถ่ายวูบวาบ โฆษกชายแต่งตัวเต็มยศด้วยชุดสูทอย่างโก้สีสด ทาแป้งหน้าขาวว่อก ตัดกับเส้นผมที่ถูกย้อมจนดำสนิท เขากำลังยิงคำถามเข้าใส่ผู้ชนะเลิศ
“นอกจากคุณแม่ ท่านนายกเทศมนตรี และท่านผู้ชม ณ เวทีประกวดแห่งนี้แล้ว คุณเมืองลืออยากจะขอบคุณใคร ที่เป็นแรงบันดาลใจให้คุณเป็นพิเศษอีกบ้างไหมครับ”
ชายหนุ่มแบทแมนยืดตัวขึ้น พลางกวาดสายตามองลงมาด้านล่างเวทีเพื่อเสาะหาใครคนหนึ่ง ก่อนตอบชัดถ้อยชัดคำว่า
“เซียวเล้งหิ่นครับ เธอคือคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้ของผมอย่างแท้จริง”
ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน...
“มองหน้าต่าง ข้างบ้าน
เมื่อวาน เขามีงานแต่งกัน
คนรวยแบงค์ โอะโอ้ยยยยย...มาแย่ง แฟนฉัน
หัวใจ มันสั่น เหมือนใครมาหั่นเอาหัวใจ...ไอ...ไอ
ใจจะขาด แล้วเอ๊ย...ใจจะขาด แล้ว...เออ เอยยยย”
เสียงเพลงไพเราะระดับกระชากจิตวิญญาณคนฟังให้เคลิบเคลิ้ม ติดตามฟัง ด้วยโทนเสียงแหลมสูงอันทรงพลัง ดังมาจากไอ้ลือของชาวบ้านหนองสีเขียด หรือนายเมืองลือ แหล่งอุดม ชื่อเสียงเรียงนามตามบัตรประชาชน หมายเลขประจำตัว xxx...พลเมืองแห่งราชอาณาจักรไทย ลูกชายคนเดียวของคุณนายแม่มะลิซ้อน หญิงหม้ายทรงเครื่องหุ่นตุ้ยนุ้ย
นายเมืองลือเป็นหนุ่มหล่อล่ำผู้กำลังย่างเข้าสู่วัยเบญจเพส เขาผ่านการเกณฑ์ทหารและบวชเรียนมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสร้างความภูมิใจให้ตัวเองระดับหนึ่งว่า อย่างน้อย เขาก็ได้ทำหน้าที่ชายไทยได้ครบถ้วนบริบูรณ์ดี
จุดหมายป้ายหน้าของหนุ่มหล่อวัยคะนองก็คือ ต้องการเบียดสาวสักคน ส่วนป้ายต่อไปนั้น เมืองลืออยากเป็นแชมป์ “เดอะโว้ย” รายการประกวดร้องเพลงยอดนิยมของ พ.ศ. นี้ สักครั้งหนึ่งในชีวิต
เสียงเพลงของชายหนุ่มแห่งทุ่งหนองสีเขียดล่องลอยไปตามสายลมที่โชยพัดพลิ้วแผ่ว เย็นระรื่นชื่นหัวใจในยามสนธยา ผ่านทุ่งนาที่มีต้นกล้าเขียวขจี กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เหล่านกกาต่างพากันบินกลับรังเป็นหมู่ ๆ บรรยากาศริมทุ่งยามเย็นเช่นนี้ช่างโรแมนติก น่าประทับใจ
แต่ทว่า...ท่ามกลางธรรมชาติสวยงามและมีมนต์ขลัง หัวใจคนโสดอย่างเมืองลือกลับพลันว้าเหว่ หงอยเหงา อ้างว้างและเคว้งคว้าง ประดุจกำลังลอยคออยู่กลางทะเล ไร้ซึ่งชูชีพหรือแม้กระทั่งลูกมะพร้าวสักใบลอยมาให้เกาะ มีชีวิตอยู่ไปเรื่อย ๆ วันนี้ก็เหมือนเมื่อวาน และเมื่อวานก็คงเหมือนวันพรุ่งนี้ คิด ๆ ดูแล้วชวนให้ละเหี่ยในใจชอบกล
ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาที่ชิงสเปิร์มตัวอื่นมาเกิดได้ก่อน ไอ้หนุ่มลูกทุ่งจึงต้องมีความฝัน...เป็นความใฝ่ฝันเพื่อให้ชีวิตมีความหมาย เมืองลือ ซุ่มฝึกร้องเพลงลูกทุ่งยอดฮิตในอดีต ชื่อเพลง“ใจจะขาด”ทุกวัน เพราะฝันอยากเป็นนักร้องชื่อดังตามรอยนักร้องคนโปรด ศรเพชร ศรสุพรรณ ผู้ที่เขาทึ่งในพลังเสียง นอกเหนือจากใช้เสียงเพลงที่เขาหลงใหล ช่วยคลายความเหงาเมื่อยามต้องอยู่ลำพัง
ยามเย็นของวันนี้ หนุ่มทุ่งหนองสีเขียดตั้งหน้าตั้งตาฝึกร้องเพลงอยู่กับโปรแกรมคาราโอเกะในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ซึ่งเขาซิวมาจากหลวงพี่ที่วัดในราคาคนกันเอง เหตุเพราะหลวงพี่ท่านได้คอมพิวเตอร์โน้ตบุคเครื่องใหม่ เวอร์ชั่นล่าสุดจากเศรษฐินีใจบุญ เธอตั้งใจจะส่งเจ้าคอมพิวเตอร์รุ่นนี้ให้แก่ลูกชายคนหัวปี ผู้มักได้ทุกอย่างที่อยากได้ เพียงแค่กระตุกหัวคิ้ว กับแถมนิ่วหน้าอีกเล็กน้อยเข้าใส่บุพการีเท่านั้น
โชคร้าย เผอิญมอเตอร์ไซค์แต่งซิ่งคันเก่งของเจ้าหนู ผู้เสมือนตอนเกิดคาบช้อนเงินช้อนทองออกมาจากท้องแม่ด้วย ดันประสานงากับรถสิบล้อที่ไม่มีเวลารอสิบโมงเข้าอย่างจัง ส่งผลให้เจ้าหนูเด็กแว้นซิ่งหาพญายมเสียก่อน เดือดร้อนคุณแม่ต้องส่งโน้ตบุคไปให้ใช้ในยมโลก โดยผ่านทางหลวงพี่ท่านอีกที
บทเพลงที่เมืองลือกำลังแหกปาก...เอ่อ ตะเบ็งเสียงร้องอยู่ เป็นเพลงโปรดที่เขาตั้งใจใช้เป็นเพลงเด็ด เอาไว้ฆ่านักร้องคู่แข่งบนเวทีให้ตายคาไมค์ ซึ่งงานนี้ท่านนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลหนองสีเขียด อนุมัติงบประมาณให้จัดขึ้นก่อนงานลอยกระทงหนึ่งวัน นัยว่าเพื่อคืนความสุขให้แก่ชาวบ้านที่กระหน่ำกาบัตรเลือกเขาเข้ามารับใช้อะไรทำนองนี้ โดยงบประมาณคืนความสุขเป็นของเทศบาลเอง
เอาละ เรื่องนั้นมันไร้สาระ หาควรค่าแก่การสนใจไม่ เรามาฟังไอ้คุณลือร้องเพลงท่อนต่อไปอย่างมีความสุขกันดีกว่า
“นอนไม่หลับ จับใจ...ใอ..ใอ
เต้นไว เหมือนมีใครเฆี่ยนตี...อีอีอีอี
มองอีกครั้ง เห็นเขานั่ง จู๋จี๋
โอ๊ย...ใครกันนี่ ช้ำอย่างนี้มีบ้างไหม
ใจจะขาด แล้วเอ๊ย ใจจะขาด แล้ว...เออ เอยยยย”
เสียงร้องเพลงของเมืองลือไพเราะจับใจ ใคร ๆ ก็พูดแบบนี้ทั้งนั้น มีใครบ้างงั้นเหรอ ไม่เห็นต้องถาม คุณไม่ได้เป็นคนบ้านหนองสีเขียด คุณจะรู้ไปทำไม ถึงบอกไปก็ไม่รู้จัก
ยิ่งเสียงสูงของหมอนี่ ศรเพชรก็ศรเพชรเถอะ ลองมาประชันกัน เมืองลือกลัวเสียเมื่อไหร่ ว่าแต่ศรเพชรเขาจะว่างมาประชันด้วยหรือเปล่าเท่านั้นแหละ
นอกจากเสียงดีแล้ว เมืองลือยังเป็นคนมีจินตนาการ เวลาร้องเพลงมันต้องใส่อารมณ์ ครูเพลงทั้งหลายใน เดอะโว้ย เคยสอนเอาไว้ เขาตั้งใจฟังและท่องจำในใจอย่างดี เผื่อกรรมการท่านถามเวลาได้ไปยืนต่อหน้าเก้าอี้สี่ตัวนั่น
อย่างท่อนที่บอกว่า เจ็บปวดเหมือนหัวใจถูกเฆี่ยนตี ความจริงใครมันจะเข้าไปทำยังงั้นในหัวใจได้ ถูกไหม แล้วใครจะเคยแหวะหัวใจออกดู
ทีนี้เมืองลือจึงต้องมโนเอาสุดฤทธิ์ว่า หัวใจมันคงร้องโอ้ย ๆ เจ็บปวดจนเนื้อในสั่นระริก ต่อมามันก็คงทำหน้าเหยเก น้ำหูน้ำตาไหลพราก ๆ เมืองลือนึกแบบนี้แล้วให้นึกสงสารหัวใจ เลยพานร้องไห้ออกมาจริง ๆ อย่างนี้เขาถึงเรียกว่าร้องมีอินเนอร์ จริงไม่จริง
คงเห็นกันแล้วว่าหนุ่มคนนี้มีจินตมโนระดับสูง มันจึงทำให้เขาถ่ายทอดอารมณ์เพลงได้ดี ก็ในเมื่อมีพรสวรรค์สูงส่ง เมืองลือจึงคู่ควรรางวัลชนะเลิศบนเวทีประกวดงานลอยกระทงนั่น...ลองฟังท่อนนี้ดูสิ
“มองเขาดับไฟนอ..เอาะ..ออน
กอดหมอนนึกแล้วนอนหลับตา
ตรงนั้นนวล ตรงนี้นิ่ม ตรงนั้นขาว
โอ๊ย ใจจะบ้า แล้วต่อมา จะมีอะไร
ใจจะขาด แล้วเอ๊ย ใจจะขาด แล้ว...เออ เอยยยย”
เป็นไงล่ะ ถึงกับอึ้ง ปากอ้าตาค้างกันเลย บอกแล้วว่านี่เป็นสุดยอดนักร้องมากความสามารถ
ที่จริง เวทีประกวดแถวนี้ เมืองลือแค่ใช้เป็นทางผ่าน เขาสมัครประกวดเพื่อฝึกไม่ให้ตื่นเวที เป้าหมายสูงสุดไม่ใช่ถ้วยรางวัลบ้าน ๆ กับเงินใส่ซองไม่กี่ร้อยนั้นหรอกน่า อัจฉริยะอย่างเขามันต้องระดับแชมป์ เดอะโว้ย เท่านั้น
ทีนี้มาดูเป้าหมายแรกเรื่องเบียดสาวกันก่อน เมืองลือจะทำยังไงดีให้มันบรรลุ ความจริงใช่ว่าชายหนุ่มจะสิ้นไร้ไม้ตอก เขารูปหล่อพอตัว สาว ๆ เดินผ่านยังพากันมองจนเหลียวหลัง เสียแต่พวกเธอตาขาว ไม่เข้าใจอารมณ์ศิลปิน อยากถามแม่สาวพวกนั้นเหลือเกินว่า มันน่าอายตรงไหน ถ้าจะควงกับซูเปอร์แมนหรือไอ้แมงมุม บางทีเมืองลือยังเปลี่ยนบรรยากาศ แต่งตัวเป็นโงกุน หรือจะให้เป็นเวอร์ชั่นสยอง เขายังลากเลื่อยไฟฟ้าสิงหาสับที่ใช้ตัดต้นไม้ ไปตามคันนาในท้องทุ่งบ้านหนองสีเขียดอย่างเท่อีกด้วย
คารมอันคมคายอย่างที่คุณนายแม่ท่านสรรเสริญลูกชายบ่อย ๆ ว่าพูดมาก พูดเก่งจนลิงหลับ ไม่ช่วยให้เขาหายโสดได้ บ้านไม้ทรงไทยยกพื้นสูงหลังใหญ่ กลางที่นากว่ายี่สิบไร่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร สาเหตุคงต้องโทษกามเทพที่ขี้เกียจ หรือพระพรหมท่านกลั่นแกล้ง ไม่เกี่ยวกับอาการไม่สมประกอบ อย่างที่คนขี้อิจฉามันชอบสุมหัวนินทาเขากันหรอก พวกนั้นมันหน้าตาเห่ย แถมยังโง้โง่ จะไปเข้าอกเข้าใจอัจฉริยะอย่างเขาได้ยังไง
เรือนไทยหลังใหญ่ ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางทุ่งกว้าง มันเลยยังคงเงียบเหงา มีเพียงเขากับคุณนายแม่อาศัยอยู่กันสองคน มาเนิ่นนาน
เอาละ มาดูเป้าหมายถัดมาเรื่อยการตะกายดาว พอร้องรอบแรกจบ กะจะย้อนกลับไปเริ่มร้องใหม่ พอดีมีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น....เอ๊ะ...แถวนี้มีผู้หญิงมาเพ่นพ่านตั้งแต่เมื่อไหร่
“ร้องได้ห่วยมากเลยนะจ๊ะ”
แน่ะ แถมด้วยเสียงทักทายแบบไม่สร้างสรรค์เสียด้วย
“เธอเป็นใคร”
ไอ้หนุ่มลูกทุ่งหันขวับมามอง พอเห็นเรือนร่างสั้นเตี้ยกับใบหน้ากลมบ๊อก ล้อมกรอบด้วยผมหน้าม้าสั้นเต่อครึ่งหน้าผากของแม่สาวลึกลับ ผู้ปรากฏกายขึ้นท่ามกลางลำแสงสุดท้ายของสุริยาพอดี เมืองลือก็ทำหน้าเหม็นเบื่อ เธอผู้นี้บังอาจขึ้นเรือนมายืนอยู่ข้างหลังแบบไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“โธ่! นึกว่าจะสวย หน้ายังกะหนูหิ่น”
“นี่นายเมืองลือ แทนที่จะสงสัยในความสวย นายไม่แปลกใจว่าฉันเป็นใครบ้างรึไง”
สาวหน้าม้าเรียกชื่อเขาชัดเจนราวกับรู้จักมานาน แถมทำตาขวางใส่
“ฉันอุตส่าห์เป็นหนูหิ่นมาให้ตกใจเชียวนะ”
เธอย้ำถึงความประหลาดของการปรากฏกาย
“จะตกใจอยู่หรอกถ้าเธอหน้าเหมือนญาญ่า”
“ญาญ่าเหรอ อืม เมื่อกี้ฉันเดินผ่านหน้าร้านเสริมสวยกลางตลาด เลยแวะเข้าไปใช้บริการ”
สาวหน้าม้าทำท่าคิด ก่อนพูดด้วยเสียงจริงจัง
“ฉันคิดว่าคนแถวนี้เขาไม่เห่อสวยแบบญาญ่านะ ฉันเห็นคนรอคิวทำผมในร้าน พากันนั่งอ่านหนังสือที่มีรูปผู้หญิงหน้าม้าคนนี้ขึ้นหน้าปกกัน ทุกคน แสดงว่าเธอเป็นดารายอดนิยม”
“อ๋อ ร้านเสริมสวยป้าติ๊ก...เอ้วววว จะบ้าเรอะ นั่นมันหนังสือการ์ตูน ป้าแกคลั่งหนูหิ่น ในร้านแกเลยมีแต่การ์ตูนเรื่องนี้”
“นั่นไง แสดงว่าคนที่นี่ชอบดาราคนนี้ ฉันเลยทำตัวให้เหมือนคนดัง บอกช่างให้ทำผมทรงนี้ให้ เหมือนมากใช่ไหมล่ะ แต่ช่างมันเหอะ อย่ามาเรื่องมากกับหน้าตาและทรงผมฉันหน่อยเลย นายกำลังหัดร้องเพลงประกวดอยู่ไม่ใช่เรอะ”
จู่ ๆ สาวหน้าตาแปลกเหมือนเดินออกมาจากหนังสือการ์ตูนก็ขยับเข้ามาใกล้ แล้วถือวิสาสะลากเก้าอี้พลาสติกตัวหนึ่งมานั่งข้าง ๆ หนุ่มหล่อแห่งทุ่งหนองสีเขียดสาดสายตาเข้มเข้าใส่ นัยว่าอย่ามาตีสนิท
“เธอรู้ได้ไง”
“คาราโอเกะเค้าเอาไว้ร้องเล่น ๆ นายตั้งใจร้องมากไป มีแต่คนคิดจะเข้าประกวดร้องเพลงเท่านั้นแหละที่ร้องแบบนาย”
หนุ่มชาวทุ่งอึ้งให้กับการวิเคราะห์ลึกซึ้งของแม่สาวแปลกหน้า ชายหนุ่มเหล่มองท่าทีของอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ
“เธอเป็นสายสืบใช่ไหม”
เขาคาดคะเน ถัดบ้านหนองสีเขียดไปคือบ้านใต้ ที่นั่นมีคู่แข่งคนสำคัญซึ่งร้องเพลงแนวเดียวกันกับเขา คนของสองบ้านนี้แย่งกันชิงแชมป์ประกวดร้องเพลงงานนี้ทุกปี
........
The All Write Project 3: มนตร์รักคาราโอเกะทะลุมิติ
เนื่องด้วย คุณลายลิขิต ติดภารกิจจำเป็นสำคัญกะทันหัน
ไม่สามารถลงนิยายได้ และได้ให้ผมมาวางนิยายเรื่องนี้แทน
แฟนคลับคุณลายลิขิตสามารถเข้ามาคุยกับคุณลายลิขิตได้ตามปกติครับ
=====================
มนตร์รักคาราโอเกะทะลุมิติ
=====================
ลายลิขิต ล. วิลิศมาหรา
บนเวทีประกวดร้องเพลงงานลอยกระทงบ้านหนองสีเขียด บัดนี้โฆษกกำลังประกาศผลการแข่งขัน แสงไฟสปอร์ตไล้ทส่องต้องร่างในชุดแบทแมนของนายเมืองลือ แหล่งอุดม ผู้ชนะเลิศการแข่งขันที่ยืนเด่นอยู่กลางเวทีจนสว่างจ้า ชายหนุ่มมีสีหน้าปลื้มปริ่ม รอยยิ้มกระจายเต็มใบหน้า
คุณนายแม่มะลิซ้อนผู้เป็นมารดา พาร่างตุ้ยนุ้ยเดินตุ้บตั้บขึ้นไปบนเวที เธอบรรจงหอมแก้มซ้ายขวาของลูกชาย ก่อนหันมายิ้มตาหยีใส่กล้องถ่ายรูปที่แย่งกันถ่ายวูบวาบ โฆษกชายแต่งตัวเต็มยศด้วยชุดสูทอย่างโก้สีสด ทาแป้งหน้าขาวว่อก ตัดกับเส้นผมที่ถูกย้อมจนดำสนิท เขากำลังยิงคำถามเข้าใส่ผู้ชนะเลิศ
“นอกจากคุณแม่ ท่านนายกเทศมนตรี และท่านผู้ชม ณ เวทีประกวดแห่งนี้แล้ว คุณเมืองลืออยากจะขอบคุณใคร ที่เป็นแรงบันดาลใจให้คุณเป็นพิเศษอีกบ้างไหมครับ”
ชายหนุ่มแบทแมนยืดตัวขึ้น พลางกวาดสายตามองลงมาด้านล่างเวทีเพื่อเสาะหาใครคนหนึ่ง ก่อนตอบชัดถ้อยชัดคำว่า
“เซียวเล้งหิ่นครับ เธอคือคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้ของผมอย่างแท้จริง”
ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน...
“มองหน้าต่าง ข้างบ้าน
เมื่อวาน เขามีงานแต่งกัน
คนรวยแบงค์ โอะโอ้ยยยยย...มาแย่ง แฟนฉัน
หัวใจ มันสั่น เหมือนใครมาหั่นเอาหัวใจ...ไอ...ไอ
ใจจะขาด แล้วเอ๊ย...ใจจะขาด แล้ว...เออ เอยยยย”
เสียงเพลงไพเราะระดับกระชากจิตวิญญาณคนฟังให้เคลิบเคลิ้ม ติดตามฟัง ด้วยโทนเสียงแหลมสูงอันทรงพลัง ดังมาจากไอ้ลือของชาวบ้านหนองสีเขียด หรือนายเมืองลือ แหล่งอุดม ชื่อเสียงเรียงนามตามบัตรประชาชน หมายเลขประจำตัว xxx...พลเมืองแห่งราชอาณาจักรไทย ลูกชายคนเดียวของคุณนายแม่มะลิซ้อน หญิงหม้ายทรงเครื่องหุ่นตุ้ยนุ้ย
นายเมืองลือเป็นหนุ่มหล่อล่ำผู้กำลังย่างเข้าสู่วัยเบญจเพส เขาผ่านการเกณฑ์ทหารและบวชเรียนมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสร้างความภูมิใจให้ตัวเองระดับหนึ่งว่า อย่างน้อย เขาก็ได้ทำหน้าที่ชายไทยได้ครบถ้วนบริบูรณ์ดี
จุดหมายป้ายหน้าของหนุ่มหล่อวัยคะนองก็คือ ต้องการเบียดสาวสักคน ส่วนป้ายต่อไปนั้น เมืองลืออยากเป็นแชมป์ “เดอะโว้ย” รายการประกวดร้องเพลงยอดนิยมของ พ.ศ. นี้ สักครั้งหนึ่งในชีวิต
เสียงเพลงของชายหนุ่มแห่งทุ่งหนองสีเขียดล่องลอยไปตามสายลมที่โชยพัดพลิ้วแผ่ว เย็นระรื่นชื่นหัวใจในยามสนธยา ผ่านทุ่งนาที่มีต้นกล้าเขียวขจี กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เหล่านกกาต่างพากันบินกลับรังเป็นหมู่ ๆ บรรยากาศริมทุ่งยามเย็นเช่นนี้ช่างโรแมนติก น่าประทับใจ
แต่ทว่า...ท่ามกลางธรรมชาติสวยงามและมีมนต์ขลัง หัวใจคนโสดอย่างเมืองลือกลับพลันว้าเหว่ หงอยเหงา อ้างว้างและเคว้งคว้าง ประดุจกำลังลอยคออยู่กลางทะเล ไร้ซึ่งชูชีพหรือแม้กระทั่งลูกมะพร้าวสักใบลอยมาให้เกาะ มีชีวิตอยู่ไปเรื่อย ๆ วันนี้ก็เหมือนเมื่อวาน และเมื่อวานก็คงเหมือนวันพรุ่งนี้ คิด ๆ ดูแล้วชวนให้ละเหี่ยในใจชอบกล
ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาที่ชิงสเปิร์มตัวอื่นมาเกิดได้ก่อน ไอ้หนุ่มลูกทุ่งจึงต้องมีความฝัน...เป็นความใฝ่ฝันเพื่อให้ชีวิตมีความหมาย เมืองลือ ซุ่มฝึกร้องเพลงลูกทุ่งยอดฮิตในอดีต ชื่อเพลง“ใจจะขาด”ทุกวัน เพราะฝันอยากเป็นนักร้องชื่อดังตามรอยนักร้องคนโปรด ศรเพชร ศรสุพรรณ ผู้ที่เขาทึ่งในพลังเสียง นอกเหนือจากใช้เสียงเพลงที่เขาหลงใหล ช่วยคลายความเหงาเมื่อยามต้องอยู่ลำพัง
ยามเย็นของวันนี้ หนุ่มทุ่งหนองสีเขียดตั้งหน้าตั้งตาฝึกร้องเพลงอยู่กับโปรแกรมคาราโอเกะในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ซึ่งเขาซิวมาจากหลวงพี่ที่วัดในราคาคนกันเอง เหตุเพราะหลวงพี่ท่านได้คอมพิวเตอร์โน้ตบุคเครื่องใหม่ เวอร์ชั่นล่าสุดจากเศรษฐินีใจบุญ เธอตั้งใจจะส่งเจ้าคอมพิวเตอร์รุ่นนี้ให้แก่ลูกชายคนหัวปี ผู้มักได้ทุกอย่างที่อยากได้ เพียงแค่กระตุกหัวคิ้ว กับแถมนิ่วหน้าอีกเล็กน้อยเข้าใส่บุพการีเท่านั้น
โชคร้าย เผอิญมอเตอร์ไซค์แต่งซิ่งคันเก่งของเจ้าหนู ผู้เสมือนตอนเกิดคาบช้อนเงินช้อนทองออกมาจากท้องแม่ด้วย ดันประสานงากับรถสิบล้อที่ไม่มีเวลารอสิบโมงเข้าอย่างจัง ส่งผลให้เจ้าหนูเด็กแว้นซิ่งหาพญายมเสียก่อน เดือดร้อนคุณแม่ต้องส่งโน้ตบุคไปให้ใช้ในยมโลก โดยผ่านทางหลวงพี่ท่านอีกที
บทเพลงที่เมืองลือกำลังแหกปาก...เอ่อ ตะเบ็งเสียงร้องอยู่ เป็นเพลงโปรดที่เขาตั้งใจใช้เป็นเพลงเด็ด เอาไว้ฆ่านักร้องคู่แข่งบนเวทีให้ตายคาไมค์ ซึ่งงานนี้ท่านนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลหนองสีเขียด อนุมัติงบประมาณให้จัดขึ้นก่อนงานลอยกระทงหนึ่งวัน นัยว่าเพื่อคืนความสุขให้แก่ชาวบ้านที่กระหน่ำกาบัตรเลือกเขาเข้ามารับใช้อะไรทำนองนี้ โดยงบประมาณคืนความสุขเป็นของเทศบาลเอง
เอาละ เรื่องนั้นมันไร้สาระ หาควรค่าแก่การสนใจไม่ เรามาฟังไอ้คุณลือร้องเพลงท่อนต่อไปอย่างมีความสุขกันดีกว่า
“นอนไม่หลับ จับใจ...ใอ..ใอ
เต้นไว เหมือนมีใครเฆี่ยนตี...อีอีอีอี
มองอีกครั้ง เห็นเขานั่ง จู๋จี๋
โอ๊ย...ใครกันนี่ ช้ำอย่างนี้มีบ้างไหม
ใจจะขาด แล้วเอ๊ย ใจจะขาด แล้ว...เออ เอยยยย”
เสียงร้องเพลงของเมืองลือไพเราะจับใจ ใคร ๆ ก็พูดแบบนี้ทั้งนั้น มีใครบ้างงั้นเหรอ ไม่เห็นต้องถาม คุณไม่ได้เป็นคนบ้านหนองสีเขียด คุณจะรู้ไปทำไม ถึงบอกไปก็ไม่รู้จัก
ยิ่งเสียงสูงของหมอนี่ ศรเพชรก็ศรเพชรเถอะ ลองมาประชันกัน เมืองลือกลัวเสียเมื่อไหร่ ว่าแต่ศรเพชรเขาจะว่างมาประชันด้วยหรือเปล่าเท่านั้นแหละ
นอกจากเสียงดีแล้ว เมืองลือยังเป็นคนมีจินตนาการ เวลาร้องเพลงมันต้องใส่อารมณ์ ครูเพลงทั้งหลายใน เดอะโว้ย เคยสอนเอาไว้ เขาตั้งใจฟังและท่องจำในใจอย่างดี เผื่อกรรมการท่านถามเวลาได้ไปยืนต่อหน้าเก้าอี้สี่ตัวนั่น
อย่างท่อนที่บอกว่า เจ็บปวดเหมือนหัวใจถูกเฆี่ยนตี ความจริงใครมันจะเข้าไปทำยังงั้นในหัวใจได้ ถูกไหม แล้วใครจะเคยแหวะหัวใจออกดู
ทีนี้เมืองลือจึงต้องมโนเอาสุดฤทธิ์ว่า หัวใจมันคงร้องโอ้ย ๆ เจ็บปวดจนเนื้อในสั่นระริก ต่อมามันก็คงทำหน้าเหยเก น้ำหูน้ำตาไหลพราก ๆ เมืองลือนึกแบบนี้แล้วให้นึกสงสารหัวใจ เลยพานร้องไห้ออกมาจริง ๆ อย่างนี้เขาถึงเรียกว่าร้องมีอินเนอร์ จริงไม่จริง
คงเห็นกันแล้วว่าหนุ่มคนนี้มีจินตมโนระดับสูง มันจึงทำให้เขาถ่ายทอดอารมณ์เพลงได้ดี ก็ในเมื่อมีพรสวรรค์สูงส่ง เมืองลือจึงคู่ควรรางวัลชนะเลิศบนเวทีประกวดงานลอยกระทงนั่น...ลองฟังท่อนนี้ดูสิ
“มองเขาดับไฟนอ..เอาะ..ออน
กอดหมอนนึกแล้วนอนหลับตา
ตรงนั้นนวล ตรงนี้นิ่ม ตรงนั้นขาว
โอ๊ย ใจจะบ้า แล้วต่อมา จะมีอะไร
ใจจะขาด แล้วเอ๊ย ใจจะขาด แล้ว...เออ เอยยยย”
เป็นไงล่ะ ถึงกับอึ้ง ปากอ้าตาค้างกันเลย บอกแล้วว่านี่เป็นสุดยอดนักร้องมากความสามารถ
ที่จริง เวทีประกวดแถวนี้ เมืองลือแค่ใช้เป็นทางผ่าน เขาสมัครประกวดเพื่อฝึกไม่ให้ตื่นเวที เป้าหมายสูงสุดไม่ใช่ถ้วยรางวัลบ้าน ๆ กับเงินใส่ซองไม่กี่ร้อยนั้นหรอกน่า อัจฉริยะอย่างเขามันต้องระดับแชมป์ เดอะโว้ย เท่านั้น
ทีนี้มาดูเป้าหมายแรกเรื่องเบียดสาวกันก่อน เมืองลือจะทำยังไงดีให้มันบรรลุ ความจริงใช่ว่าชายหนุ่มจะสิ้นไร้ไม้ตอก เขารูปหล่อพอตัว สาว ๆ เดินผ่านยังพากันมองจนเหลียวหลัง เสียแต่พวกเธอตาขาว ไม่เข้าใจอารมณ์ศิลปิน อยากถามแม่สาวพวกนั้นเหลือเกินว่า มันน่าอายตรงไหน ถ้าจะควงกับซูเปอร์แมนหรือไอ้แมงมุม บางทีเมืองลือยังเปลี่ยนบรรยากาศ แต่งตัวเป็นโงกุน หรือจะให้เป็นเวอร์ชั่นสยอง เขายังลากเลื่อยไฟฟ้าสิงหาสับที่ใช้ตัดต้นไม้ ไปตามคันนาในท้องทุ่งบ้านหนองสีเขียดอย่างเท่อีกด้วย
คารมอันคมคายอย่างที่คุณนายแม่ท่านสรรเสริญลูกชายบ่อย ๆ ว่าพูดมาก พูดเก่งจนลิงหลับ ไม่ช่วยให้เขาหายโสดได้ บ้านไม้ทรงไทยยกพื้นสูงหลังใหญ่ กลางที่นากว่ายี่สิบไร่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร สาเหตุคงต้องโทษกามเทพที่ขี้เกียจ หรือพระพรหมท่านกลั่นแกล้ง ไม่เกี่ยวกับอาการไม่สมประกอบ อย่างที่คนขี้อิจฉามันชอบสุมหัวนินทาเขากันหรอก พวกนั้นมันหน้าตาเห่ย แถมยังโง้โง่ จะไปเข้าอกเข้าใจอัจฉริยะอย่างเขาได้ยังไง
เรือนไทยหลังใหญ่ ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางทุ่งกว้าง มันเลยยังคงเงียบเหงา มีเพียงเขากับคุณนายแม่อาศัยอยู่กันสองคน มาเนิ่นนาน
เอาละ มาดูเป้าหมายถัดมาเรื่อยการตะกายดาว พอร้องรอบแรกจบ กะจะย้อนกลับไปเริ่มร้องใหม่ พอดีมีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น....เอ๊ะ...แถวนี้มีผู้หญิงมาเพ่นพ่านตั้งแต่เมื่อไหร่
“ร้องได้ห่วยมากเลยนะจ๊ะ”
แน่ะ แถมด้วยเสียงทักทายแบบไม่สร้างสรรค์เสียด้วย
“เธอเป็นใคร”
ไอ้หนุ่มลูกทุ่งหันขวับมามอง พอเห็นเรือนร่างสั้นเตี้ยกับใบหน้ากลมบ๊อก ล้อมกรอบด้วยผมหน้าม้าสั้นเต่อครึ่งหน้าผากของแม่สาวลึกลับ ผู้ปรากฏกายขึ้นท่ามกลางลำแสงสุดท้ายของสุริยาพอดี เมืองลือก็ทำหน้าเหม็นเบื่อ เธอผู้นี้บังอาจขึ้นเรือนมายืนอยู่ข้างหลังแบบไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“โธ่! นึกว่าจะสวย หน้ายังกะหนูหิ่น”
“นี่นายเมืองลือ แทนที่จะสงสัยในความสวย นายไม่แปลกใจว่าฉันเป็นใครบ้างรึไง”
สาวหน้าม้าเรียกชื่อเขาชัดเจนราวกับรู้จักมานาน แถมทำตาขวางใส่
“ฉันอุตส่าห์เป็นหนูหิ่นมาให้ตกใจเชียวนะ”
เธอย้ำถึงความประหลาดของการปรากฏกาย
“จะตกใจอยู่หรอกถ้าเธอหน้าเหมือนญาญ่า”
“ญาญ่าเหรอ อืม เมื่อกี้ฉันเดินผ่านหน้าร้านเสริมสวยกลางตลาด เลยแวะเข้าไปใช้บริการ”
สาวหน้าม้าทำท่าคิด ก่อนพูดด้วยเสียงจริงจัง
“ฉันคิดว่าคนแถวนี้เขาไม่เห่อสวยแบบญาญ่านะ ฉันเห็นคนรอคิวทำผมในร้าน พากันนั่งอ่านหนังสือที่มีรูปผู้หญิงหน้าม้าคนนี้ขึ้นหน้าปกกัน ทุกคน แสดงว่าเธอเป็นดารายอดนิยม”
“อ๋อ ร้านเสริมสวยป้าติ๊ก...เอ้วววว จะบ้าเรอะ นั่นมันหนังสือการ์ตูน ป้าแกคลั่งหนูหิ่น ในร้านแกเลยมีแต่การ์ตูนเรื่องนี้”
“นั่นไง แสดงว่าคนที่นี่ชอบดาราคนนี้ ฉันเลยทำตัวให้เหมือนคนดัง บอกช่างให้ทำผมทรงนี้ให้ เหมือนมากใช่ไหมล่ะ แต่ช่างมันเหอะ อย่ามาเรื่องมากกับหน้าตาและทรงผมฉันหน่อยเลย นายกำลังหัดร้องเพลงประกวดอยู่ไม่ใช่เรอะ”
จู่ ๆ สาวหน้าตาแปลกเหมือนเดินออกมาจากหนังสือการ์ตูนก็ขยับเข้ามาใกล้ แล้วถือวิสาสะลากเก้าอี้พลาสติกตัวหนึ่งมานั่งข้าง ๆ หนุ่มหล่อแห่งทุ่งหนองสีเขียดสาดสายตาเข้มเข้าใส่ นัยว่าอย่ามาตีสนิท
“เธอรู้ได้ไง”
“คาราโอเกะเค้าเอาไว้ร้องเล่น ๆ นายตั้งใจร้องมากไป มีแต่คนคิดจะเข้าประกวดร้องเพลงเท่านั้นแหละที่ร้องแบบนาย”
หนุ่มชาวทุ่งอึ้งให้กับการวิเคราะห์ลึกซึ้งของแม่สาวแปลกหน้า ชายหนุ่มเหล่มองท่าทีของอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ
“เธอเป็นสายสืบใช่ไหม”
เขาคาดคะเน ถัดบ้านหนองสีเขียดไปคือบ้านใต้ ที่นั่นมีคู่แข่งคนสำคัญซึ่งร้องเพลงแนวเดียวกันกับเขา คนของสองบ้านนี้แย่งกันชิงแชมป์ประกวดร้องเพลงงานนี้ทุกปี
........