#รูปทั้งหมดนี้ถ่ายจากกล้องโทรศัพท์นะครับ#
#ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็ขออภัยและขอคำชี้แนะด้วยขอบคุณครับ#
ผมมีฝันครับ ฝันที่จะได้ท่องไปในโลกอันกว้างใหญ่ ไปผจญภัยในดินแดนต่างๆด้วยตัวคนเองครับ
ผมเชื่อว่าหลายคนคงมีฝันแบบเดียวกับผม และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของผมครับ
เมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาผมได้จองตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ เมืองคุมาโมโต ประเทศญี่ปุ่นและโรงแรมในราคา 9 พันกว่าบาท !!
(ขอบคุณ
https://www.facebook.com/TidPromo/?fref=ts สำหรับข้อมูลดีๆครับ)ผมจองวันที่ 8-11 มกรา 59
ทั้งหมด 4 วัน มีเวลาเตรียมตัวก่อนไป เดือนกว่าๆผมโดยสารไปกับสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ตลอดการเดินทาง
โดยแวะพักทั้ง 1 ครั้งที่สนามบินนานาชาติฮ่องกงทั้งขาไปและขากลับ ขอตัดรายละเอียดช่วงนี้มาเลยนะครับ
วันที่ 7-8 มกราคม 59 : Pre - 1Day
หลังจากเตรียมตัวเตรียมของเรียบร้อยผมก็ไปสนามบินสุวรรณภูมิในคืนวันที่ 7 เพราะว่าเครื่องออกตอน
02.20 น.ของวันที่ 8 ใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงฮ่องกง ซึ่งตอนนั้นเวลา 05.55 น.เครื่องต่อไปจะออก 12.00 น.
พอลงจากเครื่องผมก็ไปทาง Transfer เพื่อเข้าไปรอเครื่องเลยความจริงสามารถออกไปเที่ยวฮ่องกงได้ แต่ผมกลัวไม่ทัน
บวกกับเงินมีน้อยก็เลยเข้าไปรอเครื่องออกเลย ผมเดินอยู่พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงจ๊อกกกกๆ ดังมาจากในท้องแฮร่
จึงเดินไปแลกเงิน แลกไป 500 บาทไทย ได้เงินมา 98.10 ดอลลาร์ฮ่องกง และผมก็เข้าไปยังศูนย์อาหารของที่นี่
ผมเลือกเมนูนี้มาครับ ชื่อเมนู นู้ดเดิล อะไรเนี่ยหละ ราคา 56 ดอลลาร์ (อันนี้ราคาขั้นต่ำนะครับ)
รสชาติก็ดีกว่าคำว่าบัดซบนิดหน่อย มีดีที่เส้นอย่างเดียวนุ่มอร่อยคล้ายบะหมี่ แต่กระดูหมูนี่มีแต่มันล้วนๆ เอาเข้าปาก
นี่แทบไม่ต้องกลืนเลย ส่วนน้ำซุปนี่รสชาติเหมือนกินน้ำปลาเลย เค็มปิ๊ด ซดทีนี่หิวน้ำกันเลยทีเดียว
ระหว่างรอเครื่องออกผมก็นั่งเล่นอินเทอร์เน็ตไปเรื่อยโดยเข้าโหมดประหยัดพลังงานไว้ ที่นี่ wifi free มีปลั๊กแต่ว่าปลั๊ก
มันคนละแบบกับของไทยเลยเสียบไม่ได้ ยังดีที่มีช่อง USB ซึ่งก็ช่วยได้บ้างนิดหน่อย เพราะว่าสายของผมไม่ค่อยดี
Note : ถ้าใครจะสูบบุหรี่ที่นี่ควรสูบในห้องสูบนะครับ อย่าสูบในห้องน้ำ ไม่งั้นโดนปรับไม่รู้ด้วยนะ
พอเครื่องออกก็เก็บภาพเกาะฮ่องกงไว้สักหน่อย
เที่ยวนี้มีอาหารกลางวันให้ด้วย มี 2 แบบคือ ข้าวกับเนื้อไก่และเนื้อหมู ผมเลือกเนื้อหมูครับ เป็นเซ็ตข้าวโรยงากับหมูบด
ทอดราดซอสใส่มะเขือเทศกับบล็อคโคลี ในกล่องเดียว(รสชาติพอใช้) มีเส้นอะไรสักอย่างพร้อมน้ำซุปแบบฉีก(อันนี้อร่อยมาก
แต่เย็นไปหน่อย) มีขนมปังกับเนยเค็ม มีวุ้นถั่วเหลือง(ผมกินไป 2 คำ แทบอ้วก เลี่ยนมาก) และก็น้ำแร่ 1 แก้ว
วันที่ 8 มกราคม 59 : Day 1
หลังจากนั่งนาน 3 ชั่วโมง ผมก็ไปถึงญี่ปุ่นครับ ตอนนั้นเป็นเวลา 16.10 น. (GMT +9)
เหนือน่านฟ้าญี่ปุ่นครับ ที่ไหนไม่รู้บนเกาะคิวชูนี่แหละ
ลงจากเครื่องมาผมก็รู้สึกได้ถึงความเย็นเลยครับแม้จะยังอยู่ในสนามบิน
ผ่านตม.ไปผมก็ไปรับกระเป๋า จากนั้นก็ไปถามจนท.สนามบินว่าจะไปโรงแรม Suizenji Comfort Hotel ได้อย่างไร
เขาก็เอาแผนที่มาให้และก็บอกว่ารร.อยู่ไหน พร้อมกับบอกว่าให้นั่งรถบัสหน้าสนามบินไป โดยซื้อตั๋วที่ตู้ขายที่นั่นเลย
เมื่อผมไปถึงก็เห็นรถบัสจอดรอแล้ว และก็มีสิ่งประทับใจอย่างหนึ่งคือ ทุกคนยืนเข้าแถวขึ้นอย่างมีระเบียบ ปรบมือ!!
ตรงนั้นมีจนท.ยืนอยู่ผมเข้าไปถามว่าจะซื้อตั๋วอย่างไร เขาก็พาไปที่ตู้และให้เลือดราคา ผมเลือก 650 เยน เพื่อไปลง
ที่สถานี Suizenji ใส่แบงค์หมื่นเข้าไป ปรากฏว่ามีแค่ตั๋วออกมาใบเดียว ไม่มีเงินทอนนน !!!
ยืนรอสักพักก็ยังไม่มีเงินออกมา จนท.ก็พูดอะไรไม่รู้ ฟังไม่ออก จนรถบัสใกล้จะออกก็มีจนท.อีกคนวิ่งเอาเงินทอนมาให้
และขอโทษขอโพยกัน ผมนี่ยิ้มให้อย่างเดียวเลยครับ !!! ตรูฟังไม่อกกกกกก 55555
นั่งรถบัสประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงสถานี Suizenji จากนั้นผมก็เดินตรงไปยังโรงแรมซึ่งห่างไปประมาณ 300 เมตร
Note : พื้นถนนของที่นี่สะอาดมาก ไม่มีขยะไม่มีฝุ่นเลย
นี่คือหน้าตาของโรงแรมครับ (อันนี้ถ่ายวันกลับ วันไปมืดและก็หนาวด้วยเลยไม่ได้ถ่ายไว้)
โรงแรมนี้ตั้งอยู่ติดถนนเส้นหลัก เดินทางสะดวกมีป้ายรถบัสและสถานีรถรางใกล้ๆครับ
ผมพักห้อง Single non-smoking เป็นห้องเดี่ยว มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งทีวี เครื่องทำน้ำอุ่น อ่างอาบน้ำ
เครื่องทำน้ำร้อน ไฟในห้องมี 3-4 ดวง ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ นาฬิกาปลุกและวิทยุ ไดเป่าผม ส้วมแบบญี่ปุ่น(เด็ดมาอันนี้)
และที่สำคัญรูเสียบปลั๊ก(ใช้ได้กับปลั๊กที่ขัวแบนนะ ถ้าเอาโน้ตบุ๊กที่ขั้วกลมมาควรเอาปลั๊กพ่วงมาด้วย) โดยรวมแล้วดีมากครับ
เสียอย่างเดียวห้องแคบมาก ผมเดินชนนู่นนี่บ่อยมาก แฮร่ๆๆ ผมพักที่นี่ 3 คืนเลยครับ ราคาเฉลี่ยก็คืนละพันกว่าบาทครับ
หลังจากจัดการสัมภาระเรียบร้อยก็ประมาณทุ่มครึ่ง ท้องผมก็ร้องออกมาว่าราเมง ราเมงงงงง~!!!
ก็เลยเดินออกหาเลยผมเดินไปเรื่อยๆทั้งหนาวทั้งหิว ก็ไปเจอร้านหนึ่งครับอยู่ห่างจากรร.ไม่ไกลมาก
ตอนเข้าไปคนในร้านก็ตะโกนอะไรกันก็ไม่รู้ อะไรเซะๆเนี่ยหละ
บรรยากาศในร้านดีครับอุ่นมาก มีคนอยู่ค่อนข้างเยอะ คงจะเป็นช่วงเวลาที่คนมักออกหาราเมงกินละมั้ง ฮ่าๆ
ผมสั่งราเมงไป เจ้าของร้านก็บอกประมาณว่านั่งรอก่อน จากนั้นก็ร่ายญี่ปุ่นมาเลย ผมก็ทำตาปริบๆ แล้วก็พูดว่า
อิงลิช พลีส เขาก็อาาาา~ แล้วก็ยิ้มๆ วักพักก็ถามว่าผมเป็นคนเกาหลีหรือใต้หวัน ผมก็ตอบว่าคนไทย
แค่นั้นแหละเขาตะโกนเข้าไปข้างในอะไรสักอย่าง ได้ยินแค่มีคำว่าไทยหลายคำเลย รู้สึกชอบแฮะ 555
มีน้ำชาให้กินคู่กับราเมงด้วย เจ๋งสุดๆ
ผมนั่งรอไปประมาณ 5-10 นาที ราเมงก็มา ถือว่าช้านะเพราะคนค่อนข้างเยอะ
เป็นราเมงเนื้อหมู ที่อร่อยมากกกกกกก น้ำซุปนี่สุดจะบรรยาย ซดทีนี่หายหนาวเลย เครื่องเทศก็หอมแบบพอดี
ไม่ฉุนเกิน เส้นราเมงเหนียวนุ่ม เนื้อหมูก็อร่อยเคี้ยวง่าย ต่างกับบะหมี่ไขมันหมูโดยสิ้นเชิง
พอกินเสร็จผมก็คิดเงินเลย เจ้าของร้านบอกว่าราคา 600 เยน ผมก็ควักแบงค์พันให้ เขาก็ทอนมา 3 ร้อยกว่าบาท
เอ๊ะ !! ยังไง เจ้าของร้านเขาก็พูดต่อว่า ถัก ถัก (ถักอะไรฟร่ะ) อีกคนก็เข้ามาทำแขนเป็นรูปบวกแล้วบอกว่า ถักซ์
ผมก็ถึงบางอ้อครับ 555555 ที่ญี่ปุ่นนี่บางร้านจะรวมภาษีไปกับราคาแล้ว แต่บางร้านก็จะมาบวกทีหลัง ภาษีที่นี่ 8%
ดังนั้นราเมงที่ผมกินจึงราคาสุทธิ 648 เยนครับผม เป็นอันเข้าใจผมจึงอาริกาโตะแล้วออกจากร้านครับ
ผมเดินไปต่อ ก็ไปเจอกับเซเว่น จึงเข้าไปหาซื้ออาหารเช้าครับ ก็ได้ราเมงกึ่งสำเร็จมาหนึ่ง กับน้ำอีกหนึ่งขวดใหญ่
ที่รร.มีอาหารเช้านะครับเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ ราคา 7 ร้อยกว่าเยนแต่ผมไม่เอาครับ เพราะเป็นแบบอเมริกันไม่ใช่เจแปน
สไตล์ อีกทั้งประหยัดไว้ก่อนดีกว่า รวมราคาน้ำกับราเมงก็ 400 เยน
Note : แนะนำให้ซื้อน้ำขวดใหญ่นะครับ น้ำที่นี่มีขวดเล็กและขวดใหญ่นะครับ แต่ราคาขวดเล็กจะแพงกว่า
อันนี้ผมไม่เข้าใจว่าทำไม ??
#1 เที่ยวตปท.ครั้งแรก ลุยเดี่ยว 4 วันที่เมืองคุมาโมโต 8/1/2016
เมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาผมได้จองตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ เมืองคุมาโมโต ประเทศญี่ปุ่นและโรงแรมในราคา 9 พันกว่าบาท !!
(ขอบคุณ https://www.facebook.com/TidPromo/?fref=ts สำหรับข้อมูลดีๆครับ)ผมจองวันที่ 8-11 มกรา 59
ทั้งหมด 4 วัน มีเวลาเตรียมตัวก่อนไป เดือนกว่าๆผมโดยสารไปกับสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ตลอดการเดินทาง
โดยแวะพักทั้ง 1 ครั้งที่สนามบินนานาชาติฮ่องกงทั้งขาไปและขากลับ ขอตัดรายละเอียดช่วงนี้มาเลยนะครับ
วันที่ 7-8 มกราคม 59 : Pre - 1Day
หลังจากเตรียมตัวเตรียมของเรียบร้อยผมก็ไปสนามบินสุวรรณภูมิในคืนวันที่ 7 เพราะว่าเครื่องออกตอน
02.20 น.ของวันที่ 8 ใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงฮ่องกง ซึ่งตอนนั้นเวลา 05.55 น.เครื่องต่อไปจะออก 12.00 น.
พอลงจากเครื่องผมก็ไปทาง Transfer เพื่อเข้าไปรอเครื่องเลยความจริงสามารถออกไปเที่ยวฮ่องกงได้ แต่ผมกลัวไม่ทัน
บวกกับเงินมีน้อยก็เลยเข้าไปรอเครื่องออกเลย ผมเดินอยู่พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงจ๊อกกกกๆ ดังมาจากในท้องแฮร่
จึงเดินไปแลกเงิน แลกไป 500 บาทไทย ได้เงินมา 98.10 ดอลลาร์ฮ่องกง และผมก็เข้าไปยังศูนย์อาหารของที่นี่
ผมเลือกเมนูนี้มาครับ ชื่อเมนู นู้ดเดิล อะไรเนี่ยหละ ราคา 56 ดอลลาร์ (อันนี้ราคาขั้นต่ำนะครับ)
รสชาติก็ดีกว่าคำว่าบัดซบนิดหน่อย มีดีที่เส้นอย่างเดียวนุ่มอร่อยคล้ายบะหมี่ แต่กระดูหมูนี่มีแต่มันล้วนๆ เอาเข้าปาก
นี่แทบไม่ต้องกลืนเลย ส่วนน้ำซุปนี่รสชาติเหมือนกินน้ำปลาเลย เค็มปิ๊ด ซดทีนี่หิวน้ำกันเลยทีเดียว
ระหว่างรอเครื่องออกผมก็นั่งเล่นอินเทอร์เน็ตไปเรื่อยโดยเข้าโหมดประหยัดพลังงานไว้ ที่นี่ wifi free มีปลั๊กแต่ว่าปลั๊ก
มันคนละแบบกับของไทยเลยเสียบไม่ได้ ยังดีที่มีช่อง USB ซึ่งก็ช่วยได้บ้างนิดหน่อย เพราะว่าสายของผมไม่ค่อยดี
Note : ถ้าใครจะสูบบุหรี่ที่นี่ควรสูบในห้องสูบนะครับ อย่าสูบในห้องน้ำ ไม่งั้นโดนปรับไม่รู้ด้วยนะ
พอเครื่องออกก็เก็บภาพเกาะฮ่องกงไว้สักหน่อย
เที่ยวนี้มีอาหารกลางวันให้ด้วย มี 2 แบบคือ ข้าวกับเนื้อไก่และเนื้อหมู ผมเลือกเนื้อหมูครับ เป็นเซ็ตข้าวโรยงากับหมูบด
ทอดราดซอสใส่มะเขือเทศกับบล็อคโคลี ในกล่องเดียว(รสชาติพอใช้) มีเส้นอะไรสักอย่างพร้อมน้ำซุปแบบฉีก(อันนี้อร่อยมาก
แต่เย็นไปหน่อย) มีขนมปังกับเนยเค็ม มีวุ้นถั่วเหลือง(ผมกินไป 2 คำ แทบอ้วก เลี่ยนมาก) และก็น้ำแร่ 1 แก้ว
วันที่ 8 มกราคม 59 : Day 1
หลังจากนั่งนาน 3 ชั่วโมง ผมก็ไปถึงญี่ปุ่นครับ ตอนนั้นเป็นเวลา 16.10 น. (GMT +9)
เหนือน่านฟ้าญี่ปุ่นครับ ที่ไหนไม่รู้บนเกาะคิวชูนี่แหละ
ลงจากเครื่องมาผมก็รู้สึกได้ถึงความเย็นเลยครับแม้จะยังอยู่ในสนามบิน
ผ่านตม.ไปผมก็ไปรับกระเป๋า จากนั้นก็ไปถามจนท.สนามบินว่าจะไปโรงแรม Suizenji Comfort Hotel ได้อย่างไร
เขาก็เอาแผนที่มาให้และก็บอกว่ารร.อยู่ไหน พร้อมกับบอกว่าให้นั่งรถบัสหน้าสนามบินไป โดยซื้อตั๋วที่ตู้ขายที่นั่นเลย
เมื่อผมไปถึงก็เห็นรถบัสจอดรอแล้ว และก็มีสิ่งประทับใจอย่างหนึ่งคือ ทุกคนยืนเข้าแถวขึ้นอย่างมีระเบียบ ปรบมือ!!
ตรงนั้นมีจนท.ยืนอยู่ผมเข้าไปถามว่าจะซื้อตั๋วอย่างไร เขาก็พาไปที่ตู้และให้เลือดราคา ผมเลือก 650 เยน เพื่อไปลง
ที่สถานี Suizenji ใส่แบงค์หมื่นเข้าไป ปรากฏว่ามีแค่ตั๋วออกมาใบเดียว ไม่มีเงินทอนนน !!!
ยืนรอสักพักก็ยังไม่มีเงินออกมา จนท.ก็พูดอะไรไม่รู้ ฟังไม่ออก จนรถบัสใกล้จะออกก็มีจนท.อีกคนวิ่งเอาเงินทอนมาให้
และขอโทษขอโพยกัน ผมนี่ยิ้มให้อย่างเดียวเลยครับ !!! ตรูฟังไม่อกกกกกก 55555
นั่งรถบัสประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงสถานี Suizenji จากนั้นผมก็เดินตรงไปยังโรงแรมซึ่งห่างไปประมาณ 300 เมตร
Note : พื้นถนนของที่นี่สะอาดมาก ไม่มีขยะไม่มีฝุ่นเลย
นี่คือหน้าตาของโรงแรมครับ (อันนี้ถ่ายวันกลับ วันไปมืดและก็หนาวด้วยเลยไม่ได้ถ่ายไว้)
โรงแรมนี้ตั้งอยู่ติดถนนเส้นหลัก เดินทางสะดวกมีป้ายรถบัสและสถานีรถรางใกล้ๆครับ
ผมพักห้อง Single non-smoking เป็นห้องเดี่ยว มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งทีวี เครื่องทำน้ำอุ่น อ่างอาบน้ำ
เครื่องทำน้ำร้อน ไฟในห้องมี 3-4 ดวง ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ นาฬิกาปลุกและวิทยุ ไดเป่าผม ส้วมแบบญี่ปุ่น(เด็ดมาอันนี้)
และที่สำคัญรูเสียบปลั๊ก(ใช้ได้กับปลั๊กที่ขัวแบนนะ ถ้าเอาโน้ตบุ๊กที่ขั้วกลมมาควรเอาปลั๊กพ่วงมาด้วย) โดยรวมแล้วดีมากครับ
เสียอย่างเดียวห้องแคบมาก ผมเดินชนนู่นนี่บ่อยมาก แฮร่ๆๆ ผมพักที่นี่ 3 คืนเลยครับ ราคาเฉลี่ยก็คืนละพันกว่าบาทครับ
หลังจากจัดการสัมภาระเรียบร้อยก็ประมาณทุ่มครึ่ง ท้องผมก็ร้องออกมาว่าราเมง ราเมงงงงง~!!!
ก็เลยเดินออกหาเลยผมเดินไปเรื่อยๆทั้งหนาวทั้งหิว ก็ไปเจอร้านหนึ่งครับอยู่ห่างจากรร.ไม่ไกลมาก
ตอนเข้าไปคนในร้านก็ตะโกนอะไรกันก็ไม่รู้ อะไรเซะๆเนี่ยหละ
บรรยากาศในร้านดีครับอุ่นมาก มีคนอยู่ค่อนข้างเยอะ คงจะเป็นช่วงเวลาที่คนมักออกหาราเมงกินละมั้ง ฮ่าๆ
ผมสั่งราเมงไป เจ้าของร้านก็บอกประมาณว่านั่งรอก่อน จากนั้นก็ร่ายญี่ปุ่นมาเลย ผมก็ทำตาปริบๆ แล้วก็พูดว่า
อิงลิช พลีส เขาก็อาาาา~ แล้วก็ยิ้มๆ วักพักก็ถามว่าผมเป็นคนเกาหลีหรือใต้หวัน ผมก็ตอบว่าคนไทย
แค่นั้นแหละเขาตะโกนเข้าไปข้างในอะไรสักอย่าง ได้ยินแค่มีคำว่าไทยหลายคำเลย รู้สึกชอบแฮะ 555
มีน้ำชาให้กินคู่กับราเมงด้วย เจ๋งสุดๆ
ผมนั่งรอไปประมาณ 5-10 นาที ราเมงก็มา ถือว่าช้านะเพราะคนค่อนข้างเยอะ
เป็นราเมงเนื้อหมู ที่อร่อยมากกกกกกก น้ำซุปนี่สุดจะบรรยาย ซดทีนี่หายหนาวเลย เครื่องเทศก็หอมแบบพอดี
ไม่ฉุนเกิน เส้นราเมงเหนียวนุ่ม เนื้อหมูก็อร่อยเคี้ยวง่าย ต่างกับบะหมี่ไขมันหมูโดยสิ้นเชิง
พอกินเสร็จผมก็คิดเงินเลย เจ้าของร้านบอกว่าราคา 600 เยน ผมก็ควักแบงค์พันให้ เขาก็ทอนมา 3 ร้อยกว่าบาท
เอ๊ะ !! ยังไง เจ้าของร้านเขาก็พูดต่อว่า ถัก ถัก (ถักอะไรฟร่ะ) อีกคนก็เข้ามาทำแขนเป็นรูปบวกแล้วบอกว่า ถักซ์
ผมก็ถึงบางอ้อครับ 555555 ที่ญี่ปุ่นนี่บางร้านจะรวมภาษีไปกับราคาแล้ว แต่บางร้านก็จะมาบวกทีหลัง ภาษีที่นี่ 8%
ดังนั้นราเมงที่ผมกินจึงราคาสุทธิ 648 เยนครับผม เป็นอันเข้าใจผมจึงอาริกาโตะแล้วออกจากร้านครับ
ผมเดินไปต่อ ก็ไปเจอกับเซเว่น จึงเข้าไปหาซื้ออาหารเช้าครับ ก็ได้ราเมงกึ่งสำเร็จมาหนึ่ง กับน้ำอีกหนึ่งขวดใหญ่
ที่รร.มีอาหารเช้านะครับเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ ราคา 7 ร้อยกว่าเยนแต่ผมไม่เอาครับ เพราะเป็นแบบอเมริกันไม่ใช่เจแปน
สไตล์ อีกทั้งประหยัดไว้ก่อนดีกว่า รวมราคาน้ำกับราเมงก็ 400 เยน
Note : แนะนำให้ซื้อน้ำขวดใหญ่นะครับ น้ำที่นี่มีขวดเล็กและขวดใหญ่นะครับ แต่ราคาขวดเล็กจะแพงกว่า
อันนี้ผมไม่เข้าใจว่าทำไม ??