คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
เพื่อนเราไปฟิลิฟินส์แต่เจอผีสเปนมาอำในโรงแรมของฟิลิปินส์ 
Edit เล่าเรื่องเพิ่มเติมค่ะ
อันนี้เป็นเรื่องที่เราเจอผีฝรั่ง(ปญอ.)ที่ประเทศไทยค่ะ เรื่องยาว ขอซ่อนสปอยนิดนะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้"รีสอร์ทผีสิง"
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงที่เราทำงานเขียนคอลัมน์ให้กับนิตยสาร***อยู่ ก็พอดีว่าทางแม็กฯ เขาจะไปถ่ายรูปลงคอลัมน์ บก.ก็เลยชวนพวกคอลัมนิสต์ไปเที่ยวด้วยเพราะว่าได้ลดเปอร์เซ็นต์ค่าที่พักเยอะอยู่ เที่ยวฟรี แบบนี้เราก็ต้องโอเคอยู่แล้วล่ะค่ะ อิ อิ
ตอนนั้นก็ไปกันหลายคนค่ะ นอกจากบก.แล้วก็มีอาร์ตเวิร์ค เขียนคอลัมน์คนอื่นๆ ส่วนก๊วนของเรา...ทีมเขียนคอลันม์เรามีเพื่อนลาร่ากับพี่สาวทำงานด้วยกัน เขียนคอลลัมน์เดียวกันก็เลยไปด้วยกัน แล้วยังมีพี่จุฑารัตน์หรือพี่มาลัย (คนเดียวกัน สองนามปากกา) กับหลานชายของพี่จุอีก 1 คนไปด้วยกัน
รีสอร์ทที่พักนั้นเป็นแบบบ้านแยกเป็นหลังๆ เรากับทีมได้อยู่บ้านเบอร์ 19 บ้านหลังนี้มีห้อง 2 ห้อง และมีที่นั่งเล่นเปิดคาราโอเกะกะร้องเพลงกันอยู่ที่ส่วนกลาง เซเรนกับทีมได้อยู่ห้องทางขวา ทางซ้ายเป็นพี่บก. กับนักเขียนคนอื่น พอเราได้ห้องก็เปิดประตูห้องเข้าไปอย่างเริงร่า แต่เท่านั้นแหล่ะ........
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป... ฉันมองเห็นหญิงสาวร่างเปลือย เลือดโชกอาบไปทั้งตัว ผมยาวปล่อยกระเซิงนั่งรอต้อนรับอยู่ตรงหัวเตียงตัวริมด้านขวา…
คือเตียงในห้องมีสามเตียงค่ะ ด้านขวา ด้านซ้าย ด้านใกล้กับประตูอีกตัว ภาพที่เห็นคือหญิงสาวคนนั้นมาแบบสี่สี Full Color ชัดมาก.... นั่งอยู่ที่หัวเตียงด้านขวา...
พอเห็นอย่างนั้นเราก็หยุดชะงักเลย ไม่ก้าวเดินเข้าห้องต่อไป จนกระทั่งมีเสียงเร่งเร้าทางด้านหลังจากคนที่แบกกระเป๋าจนเมื่อยแขนให้เซเรนรีบเข้าไปสักที.... โดนไล่แล้วมันก็ต้องเดินเข้าไปล่ะ ขอเปลี่ยนห้องก็ไม่น่าจะได้ด้วย เพราะคนร่วมงานส่วนใหญ่เค้ารู้กันว่าเรามองเห็นผีเป็นกิจวัตร ถ้าเปิดประตูเข้าไปแล้ว ชะงัก ถอยออกมา แล้วขอเปลี่ยนห้อง.... รับรองว่าไม่มีใครยอมเปลี่ยนให้แน่ๆ
เอาวะ!! โชกเลือดก็โชกเลือด!!
คิดอย่างตัดสินใจ ว่าแล้วก็เดินเข้าไปยึดเตียงตรงที่ผู้หญิงเลือดโชกนั่งอยู่ แล้วก็หันมาป่าวประกาศกับรูมเมททุกคนว่า
“ ที่ตรงนี้ข้าพเจ้านอนได้คนเดียว ใครที่ยังห่วงสวัสดิภาพของตนอยู่กรุณาอย่าแหยม!”
เป็นอันว่าเข้าใจตรงกันเลยว่าในห้องนั้นมี ‘...’ อยู่อย่างแน่นอน ซึ่งทุกคนก็จะไม่ค่อยกลัว เพราะคิดกันแค่ว่ามีเราไปด้วย เดี๋ยวก็ไล่ผีให้ได้อยู่ดี
ทึกคนพยักหน้ารับกับสิ่งที่เราพูด หยิบกระเป๋าเดินเข้ามาแล้วจัดของกันอยู่อย่างเงียบๆ ปล่อยให้เรานั่งคุยกับผีสาวร่างเปลือยตนนั้นว่าทำไม่ถึงมานั่งโชกเลือดอยู่แถวนี้ ผีสาวจึงเล่าให้เราฟังว่า เธอชื่อสีวิกา มาเที่ยวพักอยู่ที่นี่แล้วถูกฆ่าข่มขืน โดนปาดคอบนตำแหน่งที่นอนที่เรากำลังนั่งคุยกับเธออยู่นี่แหล่ะ สอบถามปัญหสุขภาพกับเรียบร้อยแล้วเราก็เลยบอกกับเธอไปว่าจะขอมาพักอยู่ด้วยสักสองคืน กับเราไม่เป็นไรเพราะไม่กลัว แต่กับคนอื่นอย่าทำให้เขากลัวได้ไหม แล้วถ้าอยากได้อะไรก็ให้บอก กลับบ้านแล้วจะทำบุญส่งไปให้ บอกไปอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร พยักหน้ารับในสิ่งที่เราบอกแล้วก็เดินหายออกไปจากห้องนอน
หลังจากนั้นก็ออกไปทานอาหารเย็นกัน ปรากฏว่ามาเจอคุณสิวิกานั่งอยู่ตรงโต๊ะรวมของห้องนั่งเล่น
ทานอาหารเสร็จก็กลับเข้าที่พัก คนอื่นๆ ที่พักบ้านหลังเดียวกันก็เปิดคาราโอเกะร้องกัน แต่เราเดินทางมาทั้งวันเหนียวตัวเลยจะอาบน้ำก่อน แล้วก็นั่นแหล่ะค่ะ...
พอเปิดประตูห้องน้ำไปก็เจอเลย.....
คือตอนที่เราจะอาบน้ำ ก็เข้าห้องน้ำไป ในส่วนห้องอาบน้ำจะมีม่านพลาสติกกั้นเอาไว้ซึ่งม่านนั้นก็ปิดอยู่ เราไม่ได้เข้าห้องอาบน้ำในทีแรก แต่เปลื้องฝ้าอยู่ในห้องกระจก แต่ระหว่างนั้นกลับรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนอยู่หลังม่าน...
เราหันไปมอง ไม่มีใครปรากฏให้เห็นแม้แต่เงา... ทว่า...
มีคนอยู่... ถึงแม้จะมองไม่เห็นใครแต่ในความรู้สึกมันบอกว่าอย่างนั้น ข้างหลังม่านนั่นต้องมีคนอยู่แน่ๆ คิดอย่างนั้นจึงตัดสินใจเปิดม่านพรึ่บ!!
ภาพที่ปรากฏให้เห็นไม่ใช่พวกโรคจิตถ้ำมองหรืออะไร แต่เป็น....
ผีฝหรั่งหัวทองอร่าม... ห้อยต่องแต่งอยู่เหนืออ่างอาบน้ำ...
เรายืนมองผีอย่างเงิบๆ นี่อะไร..? จะให้ฉันอาบน้ำไปมองภาพฝรั่งห้อยคอไปเนี่ยนะ...? บรรยากาศมันจะดีสยองเกินไปแล้ว!! grumpy emoticon
เจ้าผีตนนี้ตอนแรกไม่รู้ว่าเรามองเห็นเขา แต่เราไม่ด้านพอจะอาบน้ำแช่อ่างโดยมี(ผี)ผู้ชายห้อยต่องแต่งอยู่เหนืออ่างได้ จึงจำเป็นต้องคุยเจรจากับเค้า ก็ได้ความตามผีเล่ามาว่า
คุณผีผมทองตนนี้ชื่อ ‘เคิร์ก’ เค้าบอกนามสกุลมาด้วยค่ะ แต่เราจำไม่ได้ อะไรแรนซ์ๆ สักอย่างนี่แหล่ะมั้ง เป็นชาวแคนนาดา พอเราไปคุยกับเขา เขาก็เขาดีใจมากเลยที่รู้ว่ามีคนมองเห็น คือจากคำให้การของเคิร์ก ตาเคิร์กเล่าว่าตั้งแต่เขาตายนี่เขาทรมานมาก แล้วก็ไม่มีใครมองเห็น ไม่มีใครพูดด้วยเลย ห้อยหัวอยู่อย่างนี้มานานหลายปี
เล่าไปก็ร้องไห้ทำดราม่าใส่เราไปถึงชีวิตอันแสนรันทดสาเหตุของการฆ่าตัวตายว่า เขาทำธุรกิจอยู่ที่แคนดานา แต่ล้มละลาย ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป มาเที่ยวพักผ่อนที่เมืองไทยคิดว่าถ้าสบายใจจะกลับไปสะสางเรื่องทางนั้นต่อ แต่ไม่รู้ว่าพักผ่อนเอาอีท่าไหน อยู่ไปอยู่ไปยิ่งกลุ้มใจหนักกว่าเดิม หาทางออกไม่ได้เลยฆ่าตัวตาย
พูดไปตาเคิร์กแกก็ร้องไห้ไป เพราะพอตายแล้วแทนที่อะไรๆ มันจะจบกลับยิ่งทรมานกว่าเดิม ทั้งหิว ทั้งหนาว คิดถึงบ้านที่แคนนาดา อยากจะกลับก็กลับไม่ได้.... เอาล่ะสิ เคิร์กมาแนวนี้เซเรนเริ่มทำอะไรไม่ถูก แถมอยากอาบน้ำจะแย่อยู่แล้วตาผีนี่ก็พล่ามไม่จบสักที เลยได้แต่ปลอบใจผีว่า เรื่องมันผ่านมาแล้ว จะร้องไห้ไปก็เท่านั้นแหล่ะ ตอนนี้ข้างนอกเขากำลังคาราโอเกะกันอยู่ไปซ่าไปสนุกกับเขาซะไป๊
พอเราบอกไปอย่างนั้นตาเคิร์กกลับถามมาว่า
“แล้วคนข้างนอกเขาจะไม่ว่าเอาเหรอ ”
อะไรเนี่ย นี่คิดจริงเหรอกว่าจะมีใครเขามองเห็นตัวเองนอกจากฉัน คือออกแนวพอได้เพื่อนปรับทุกข์ก็ร้องไห้ดราม่าใหญ่เลย ไม่ยอมออกไปง่ายๆ สุดท้ายเลยบอกว่า เราจะอาบน้ำ ถ้าไม่กล้าไปร้องคาราโอเกะกับเขาก็ออกไปรอนอกห้องน้ำก่อน เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จแล้วจะพาไปร้องคาราโอเกะ...
เออ... ก็ว่านอนสอนง่ายอยู่นะ พอบอกไปอย่างนั้นตาเคิร์กก็ออกไปรอที่นอกห้องจริงๆ เราก็อาบน้ำ เสร็จแล้วแต่งตัว เดินออกมาเจอเคิร์กก็พาออกไปร้องคาราโอเกะกัน แล้วก็กำชับด้วยว่าให้มาตามเรานี่ เราจะช่วยปล่อยวิญญาณให้กลับบ้านได้ อย่าไปอยู่ในห้องน้ำเวลาที่คนอื่นเขาจะอาบน้ำ มันไม่มีมารยาท
คือการบอกให้มาตามเรา... อันนี้ต้องบอกว่าเป็นการเสียสละตัวเองให้ผีสิงอย่างหนึ่งเลย เพราะเจ้าเคิร์กเค้าออกแนวเป็นผีติดที่ คือผูกคอตายตรงนั้นก็อยู่ตรงนั้น ไปไหนไม่ได้ เราก็เลยต้องใช้วิชาเล็กน้อยให้เค้าหลุดจากที่เค้ามาติดอยู่กับเราแทน เคิร์กเค้าก็เชื่อค่ะ อารมณ์ผีดีใจจะได้กลับบ้าน เราบอกอะไรก็ทำตามหมด
พอออกมาเจอพวกพี่ๆ ที่ร้องคาราโอเกะกันอยู่ เราเห็นขวดน้ำตั้งวางเอาไว้ก็รี่เข้าไปรินดื่มไม่รู้เรื่องรู้ราว ดื่มเข้าไปอึกเดียวเท่านั้น จุก วิ่งเข้าห้องน้ำ อาเจียนใหญ่เลย ทุกคนก็งงว่าเราเป็นอะไร ตัวคนเป็นเองก็งงค่ะ แต่ก็รอรจนตัวเองหายดี ไม่อาเจียนแล้ว ก็เดินออกจากห้องน้ำมา แล้วถามทุกคนว่าน้ำในขวดนั้นอะไร ปรากฏคือ...
น้ำมนต์... เราเสกเอาไว้แล้วก็ลืมได้เอง -_-'
ปกติเราดื่นน้ำมนต์ได้ ไม่อาเจียน การที่อาเจียนแบบนี้แปลว่าเรามีผีสิงหรือแฝงตัวมาอยู่กับเรา (หรืออาจโดนคุณไสย์ก็อาการใกล้เคียงกัน) ก็เลยชัดเจนว่าตาเคิร์กตามมาแฝงเราแล้ว
เสร็จศึกจากน้ำมนต์ เราก็นั่งร้องรำทำเพลงกับพวกพี่ๆ เค้า มองเป็นเห็นผีเคิร์กไปเต้นๆ แฝงอยู่กับพี่ฝ่ายอาร์ต ร้องคาราโอเกะกันใหญ่... เราแอบงง เฮ้ย ผีตัวเดียวกับที่ร้องไห้ในห้องน้ำเมื่อกี้จริงป่ะเนี่ย
จบจากคาราโอเกะพอดึกๆ ก็มาดูดวงเล่นกัน... นี่แหล่ะ สาเหตุที่คนพวกนี้พกเราไปด้วย เจตนาจะให้ไปดูดวงให้นี่เอง
จังหวะนั้นไหนๆ ก็ไหว้ครูแล้วเราเลยแอบดูดวงให้ผี(?) ด้วยเสียเลย ก็เล็งเห็นว่า อืม… ตาเคิร์กนี่ถึงคราวหมดกรรมจะหลุดได้แล้ว ขาดบุญเสริมแค่นิดหนึ่ง คือผ้าไตรผืนเดียว เลยบอกกับเคิร์กว่าเดี๋ยวถ้ากลับกรุงเทพแล้วจะทำบุญไปให้ ทำสังฆทานผ้าไตรให้แล้วจะได้กลับบ้านได้
พอบอกไปอย่างนั้น เจ้าผีแทนที่จะขอบคุณกลับถามมาได้ว่า ผ้าไตรคืออะไร ด้วยความขี้เกียจอธิบายเราก็เลยตัดบทบอกว่า เอาเถอะๆ จะทำบุญให้ รอรับอานิสงฆ์แล้วกัน จะได้ไปผุดไปเกิดได้สักที (คือคนเริ่มรำคาญผีแล้ว มันพูดมากมากๆ) จังหวะดูดวงอะไรเสร็จก็แยกย้ายกันเข้าห้อง ตาเคิร์กกำลังอารมณ์ดี คึกได้ที่ มากระซิบบอกเราว่า
“จะไปหลอกคนที่อยู่อีกห้อง ล้อเล่นสนุกๆ นะ”
ไอ้ผีเพี้ยนนี่!! จะคึกเกินไปแล้ว พอบอกว่าอย่างนั้นเราก็รีบห้ามเลย บอกว่าไม่ได้ มันบาป ถ้าอยากกลับแคนนาดาก็ต้องทำตัวให้เรียบร้อย ว่าไปอย่างนั้นแล้วเราก็เข้าห้องไปนอน แต่ไอ้เคิร์ก.....
มันเชื่อกันซะที่ไหนล่ะนั่น...!
เรามาทราบเรื่องเอาก็ตอนเช้านั่นแหล่ะค่ะ นั่งทานอาหารอยู่กับเพื่อน อยู่ดีๆ พวกรุ่นพี่ที่พักอยู่อีกห้องก็มาเล่าให้ฟังว่า
“เมื่อคืนได้ยินเสียงคนเคาะประตูตั้งสามสี่ที แต่เปิดออกมาแล้วไม่มีใครเลย”
อารมณ์คนเล่าก็กึ่งๆ อยากจะถามอะไรเราทำนองว่าเสียงเคาะประตูเมื่อคืนนี้โดนผีหลอกหรือเปล่า เรากับเพื่อนรูมเมทที่ทราบเรื่องกันมาตั้งแต่ต้น พอฟังแล้วก็มองหน้ากันพร้อมคิดในใจว่า ‘ตาเคิร์กแน่ๆ’
วันนั้นผ่านไปด้วยดี เราไม่เล่าอะไรใครให้ฟังเลยนอกจากเพื่อทีมเดียวกันและพี่จุฑารัตน์ วันรุ่งขึ้นเรารีบนั่งรถกลับบ้านมาก่อน เพราะติดเรียน คนอื่นยังพักกันต่ออีกหนึ่งคืน แต่พอเรากลับมาเท่านั้นแหล่ะ..
พวกรุ่นพี่เขามาเล่าแถมต่อว่าเรา... ว่าคืนหลังจากที่เซเรนกลับ ทีมงานกุลสตรี คนอื่นๆ ยังพักอยู่ที่นั่น พี่จุฑารัตน์ก็พักที่ห้องเดิม แต่ไม่เจออะไร ที่เจอคือคนที่พักอยู่อีกห้อง...
พี่คนนั้นตื่นขึ้นมาเอากลางดึก แล้วก็มองเห็นผู้หญิงผมยาวร่างเปลือยมานั่งอยู่ตรงปลายเตียง เธอไม่ได้ทำอะไรนะคะ แค่นั่งอยู่เฉยๆ แต่เท่านั้นก็มากพอที่จะทำให้พี่เค้ากลัวจนแทบจะชักได้แล้ว...
เช้าขึ้นมาด้วยความกลัวระคนตื่นเต้น ก็รีบมาเล่าโพธนาให้พี่จุฑารัตน์ฟัง พี่จุฟังแล้วก็หัวเราะ แถมมีเล่าเกทับต่อด้วยว่าผู้หญิงคนนั้นออกมาจากห้องที่เราพักเอง อันที่จริงเซเรนทราบมาตั้งแต่ต้น และเป็นคนบอกให้ผู้หญิงคนนั้นหลบออกจากห้อง... ซึ่งเธอก็ไปโผล่เอาห้องตรงข้าม ทำให้พวกรุ่นพี่มาต่อว่าเรากันใหญ่ว่ารู้อยู่ก่อนแล้วทำไมปิดเงียบ!!
แหม... ก็เราคิดไม่ถึงนี่ว่าแม่สีวิกาจะไปปรากฏตัวหลอกคนที่ห้องตรงข้ามแบบนั้นอ่ะ.
กล่าวฝ่ายตาเคิร์ก พอเรากลับถึงกรุงเทพแล้วก็ไปทำสังฆทานผ้าไตรให้ในวันนั้นเลย เจ้าเคิร์กได้อานิสงฆ์บุญก็เป็นอิสระ วิญญาณหลุดจากบ่วงกรรมที่เคยผูกคอตายแล้วไปไหนไม่ได้ พอหลุดแล้วก็หายไปเลย ส่วนสีวิกาเราก็ทำไปให้เค้าค่ะ เค้าก็ได้นะ แต่จะเป็นยังไงอันนี้ก็ไม่ได้กลับไปดูเค้าอีก จากนั้นผ่านไปได้สักอาทิตย์หรือสองอาทิตย์นี่แหล่ะ เจ้าผีเคิร์กโผล่หน้ามาให้เซเรนเห็น เราก็ตกใจ ว่าทำบุญให้แล้วทำไมไม่ไปเกิด เค้าก็บอกว่ายังไม่ถึงเวลาที่เค้าจะไปเกิดเค้าเลยกลับไปหาลูกเมียที่บ้านมา แต่ที่บ้านไม่มีใครเห็นไม่มีใครคุยกับเค้าได้เลย ก็เลยมาหาเราเพื่อที่จะเล่าว่า...
“ไปทำโพสต์เตอร์ไกด์ใส่คนที่บ้านมา ทำกรอบรูปตก คนในบ้านตกใจกันใหญ่”
เล่าแล้วมันก็ขำได้เอง ขำเสร็จแล้วมันก็กลับบ้านมันไปใหม่
ล่าสุด เมื่อสองปีก่อน เจ้าเคิร์กมาหาเราอีกครั้ง แล้วก็บอกว่าจะไปเกิดแล้ว ขอบคุณเรามากที่ช่วยเค้าเอาไว้ในหลายๆ เรื่อง ถ้าชาติหน้าได้เจอกันเค้าจะคอยช่วยเหลือเราบ้างไม่ให้เราต้องลำบาก
จริงๆ คือเหตุที่เกิดมันก็นานมากแล้ว เราก็ลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเคยเจอผีฝรั่งป่วนประสาท ก็เออออกรับรู้ไป ขานั้นก็ลาไปเกิด ส่วนเราก็มานั่งนึกๆ ว่าไอ้ผีเมื่อกี้มันใครหว่า ผ่านไปหลังจากนั้นประมาณสองชั่วโมงถึงเพิ่งจะนึกออกว่า ตาเคิร์กนี่น่า!! ผีฝรั่งที่ช่วยเอาไว้ก็มีแค่ตาเคิร์ก เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นเคิร์กแน่ๆ พอรู้ว่าผีฝรั่งป่วนได้ไปเกิดแล้วเราก็ยินดี เลยไปใส่บาตรแล้วก็กรวดน้ำให้เค้าอีกครั้ง จะ

Edit เล่าเรื่องเพิ่มเติมค่ะ

อันนี้เป็นเรื่องที่เราเจอผีฝรั่ง(ปญอ.)ที่ประเทศไทยค่ะ เรื่องยาว ขอซ่อนสปอยนิดนะคะ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้"รีสอร์ทผีสิง"
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงที่เราทำงานเขียนคอลัมน์ให้กับนิตยสาร***อยู่ ก็พอดีว่าทางแม็กฯ เขาจะไปถ่ายรูปลงคอลัมน์ บก.ก็เลยชวนพวกคอลัมนิสต์ไปเที่ยวด้วยเพราะว่าได้ลดเปอร์เซ็นต์ค่าที่พักเยอะอยู่ เที่ยวฟรี แบบนี้เราก็ต้องโอเคอยู่แล้วล่ะค่ะ อิ อิ
ตอนนั้นก็ไปกันหลายคนค่ะ นอกจากบก.แล้วก็มีอาร์ตเวิร์ค เขียนคอลัมน์คนอื่นๆ ส่วนก๊วนของเรา...ทีมเขียนคอลันม์เรามีเพื่อนลาร่ากับพี่สาวทำงานด้วยกัน เขียนคอลลัมน์เดียวกันก็เลยไปด้วยกัน แล้วยังมีพี่จุฑารัตน์หรือพี่มาลัย (คนเดียวกัน สองนามปากกา) กับหลานชายของพี่จุอีก 1 คนไปด้วยกัน
รีสอร์ทที่พักนั้นเป็นแบบบ้านแยกเป็นหลังๆ เรากับทีมได้อยู่บ้านเบอร์ 19 บ้านหลังนี้มีห้อง 2 ห้อง และมีที่นั่งเล่นเปิดคาราโอเกะกะร้องเพลงกันอยู่ที่ส่วนกลาง เซเรนกับทีมได้อยู่ห้องทางขวา ทางซ้ายเป็นพี่บก. กับนักเขียนคนอื่น พอเราได้ห้องก็เปิดประตูห้องเข้าไปอย่างเริงร่า แต่เท่านั้นแหล่ะ........
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป... ฉันมองเห็นหญิงสาวร่างเปลือย เลือดโชกอาบไปทั้งตัว ผมยาวปล่อยกระเซิงนั่งรอต้อนรับอยู่ตรงหัวเตียงตัวริมด้านขวา…
คือเตียงในห้องมีสามเตียงค่ะ ด้านขวา ด้านซ้าย ด้านใกล้กับประตูอีกตัว ภาพที่เห็นคือหญิงสาวคนนั้นมาแบบสี่สี Full Color ชัดมาก.... นั่งอยู่ที่หัวเตียงด้านขวา...
พอเห็นอย่างนั้นเราก็หยุดชะงักเลย ไม่ก้าวเดินเข้าห้องต่อไป จนกระทั่งมีเสียงเร่งเร้าทางด้านหลังจากคนที่แบกกระเป๋าจนเมื่อยแขนให้เซเรนรีบเข้าไปสักที.... โดนไล่แล้วมันก็ต้องเดินเข้าไปล่ะ ขอเปลี่ยนห้องก็ไม่น่าจะได้ด้วย เพราะคนร่วมงานส่วนใหญ่เค้ารู้กันว่าเรามองเห็นผีเป็นกิจวัตร ถ้าเปิดประตูเข้าไปแล้ว ชะงัก ถอยออกมา แล้วขอเปลี่ยนห้อง.... รับรองว่าไม่มีใครยอมเปลี่ยนให้แน่ๆ
เอาวะ!! โชกเลือดก็โชกเลือด!!

คิดอย่างตัดสินใจ ว่าแล้วก็เดินเข้าไปยึดเตียงตรงที่ผู้หญิงเลือดโชกนั่งอยู่ แล้วก็หันมาป่าวประกาศกับรูมเมททุกคนว่า
“ ที่ตรงนี้ข้าพเจ้านอนได้คนเดียว ใครที่ยังห่วงสวัสดิภาพของตนอยู่กรุณาอย่าแหยม!”
เป็นอันว่าเข้าใจตรงกันเลยว่าในห้องนั้นมี ‘...’ อยู่อย่างแน่นอน ซึ่งทุกคนก็จะไม่ค่อยกลัว เพราะคิดกันแค่ว่ามีเราไปด้วย เดี๋ยวก็ไล่ผีให้ได้อยู่ดี
ทึกคนพยักหน้ารับกับสิ่งที่เราพูด หยิบกระเป๋าเดินเข้ามาแล้วจัดของกันอยู่อย่างเงียบๆ ปล่อยให้เรานั่งคุยกับผีสาวร่างเปลือยตนนั้นว่าทำไม่ถึงมานั่งโชกเลือดอยู่แถวนี้ ผีสาวจึงเล่าให้เราฟังว่า เธอชื่อสีวิกา มาเที่ยวพักอยู่ที่นี่แล้วถูกฆ่าข่มขืน โดนปาดคอบนตำแหน่งที่นอนที่เรากำลังนั่งคุยกับเธออยู่นี่แหล่ะ สอบถามปัญหสุขภาพกับเรียบร้อยแล้วเราก็เลยบอกกับเธอไปว่าจะขอมาพักอยู่ด้วยสักสองคืน กับเราไม่เป็นไรเพราะไม่กลัว แต่กับคนอื่นอย่าทำให้เขากลัวได้ไหม แล้วถ้าอยากได้อะไรก็ให้บอก กลับบ้านแล้วจะทำบุญส่งไปให้ บอกไปอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร พยักหน้ารับในสิ่งที่เราบอกแล้วก็เดินหายออกไปจากห้องนอน
หลังจากนั้นก็ออกไปทานอาหารเย็นกัน ปรากฏว่ามาเจอคุณสิวิกานั่งอยู่ตรงโต๊ะรวมของห้องนั่งเล่น
ทานอาหารเสร็จก็กลับเข้าที่พัก คนอื่นๆ ที่พักบ้านหลังเดียวกันก็เปิดคาราโอเกะร้องกัน แต่เราเดินทางมาทั้งวันเหนียวตัวเลยจะอาบน้ำก่อน แล้วก็นั่นแหล่ะค่ะ...
พอเปิดประตูห้องน้ำไปก็เจอเลย.....
คือตอนที่เราจะอาบน้ำ ก็เข้าห้องน้ำไป ในส่วนห้องอาบน้ำจะมีม่านพลาสติกกั้นเอาไว้ซึ่งม่านนั้นก็ปิดอยู่ เราไม่ได้เข้าห้องอาบน้ำในทีแรก แต่เปลื้องฝ้าอยู่ในห้องกระจก แต่ระหว่างนั้นกลับรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนอยู่หลังม่าน...
เราหันไปมอง ไม่มีใครปรากฏให้เห็นแม้แต่เงา... ทว่า...
มีคนอยู่... ถึงแม้จะมองไม่เห็นใครแต่ในความรู้สึกมันบอกว่าอย่างนั้น ข้างหลังม่านนั่นต้องมีคนอยู่แน่ๆ คิดอย่างนั้นจึงตัดสินใจเปิดม่านพรึ่บ!!
ภาพที่ปรากฏให้เห็นไม่ใช่พวกโรคจิตถ้ำมองหรืออะไร แต่เป็น....
ผีฝหรั่งหัวทองอร่าม... ห้อยต่องแต่งอยู่เหนืออ่างอาบน้ำ...

เรายืนมองผีอย่างเงิบๆ นี่อะไร..? จะให้ฉันอาบน้ำไปมองภาพฝรั่งห้อยคอไปเนี่ยนะ...? บรรยากาศมันจะดีสยองเกินไปแล้ว!! grumpy emoticon
เจ้าผีตนนี้ตอนแรกไม่รู้ว่าเรามองเห็นเขา แต่เราไม่ด้านพอจะอาบน้ำแช่อ่างโดยมี(ผี)ผู้ชายห้อยต่องแต่งอยู่เหนืออ่างได้ จึงจำเป็นต้องคุยเจรจากับเค้า ก็ได้ความตามผีเล่ามาว่า
คุณผีผมทองตนนี้ชื่อ ‘เคิร์ก’ เค้าบอกนามสกุลมาด้วยค่ะ แต่เราจำไม่ได้ อะไรแรนซ์ๆ สักอย่างนี่แหล่ะมั้ง เป็นชาวแคนนาดา พอเราไปคุยกับเขา เขาก็เขาดีใจมากเลยที่รู้ว่ามีคนมองเห็น คือจากคำให้การของเคิร์ก ตาเคิร์กเล่าว่าตั้งแต่เขาตายนี่เขาทรมานมาก แล้วก็ไม่มีใครมองเห็น ไม่มีใครพูดด้วยเลย ห้อยหัวอยู่อย่างนี้มานานหลายปี
เล่าไปก็ร้องไห้ทำดราม่าใส่เราไปถึงชีวิตอันแสนรันทดสาเหตุของการฆ่าตัวตายว่า เขาทำธุรกิจอยู่ที่แคนดานา แต่ล้มละลาย ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป มาเที่ยวพักผ่อนที่เมืองไทยคิดว่าถ้าสบายใจจะกลับไปสะสางเรื่องทางนั้นต่อ แต่ไม่รู้ว่าพักผ่อนเอาอีท่าไหน อยู่ไปอยู่ไปยิ่งกลุ้มใจหนักกว่าเดิม หาทางออกไม่ได้เลยฆ่าตัวตาย
พูดไปตาเคิร์กแกก็ร้องไห้ไป เพราะพอตายแล้วแทนที่อะไรๆ มันจะจบกลับยิ่งทรมานกว่าเดิม ทั้งหิว ทั้งหนาว คิดถึงบ้านที่แคนนาดา อยากจะกลับก็กลับไม่ได้.... เอาล่ะสิ เคิร์กมาแนวนี้เซเรนเริ่มทำอะไรไม่ถูก แถมอยากอาบน้ำจะแย่อยู่แล้วตาผีนี่ก็พล่ามไม่จบสักที เลยได้แต่ปลอบใจผีว่า เรื่องมันผ่านมาแล้ว จะร้องไห้ไปก็เท่านั้นแหล่ะ ตอนนี้ข้างนอกเขากำลังคาราโอเกะกันอยู่ไปซ่าไปสนุกกับเขาซะไป๊
พอเราบอกไปอย่างนั้นตาเคิร์กกลับถามมาว่า
“แล้วคนข้างนอกเขาจะไม่ว่าเอาเหรอ ”
อะไรเนี่ย นี่คิดจริงเหรอกว่าจะมีใครเขามองเห็นตัวเองนอกจากฉัน คือออกแนวพอได้เพื่อนปรับทุกข์ก็ร้องไห้ดราม่าใหญ่เลย ไม่ยอมออกไปง่ายๆ สุดท้ายเลยบอกว่า เราจะอาบน้ำ ถ้าไม่กล้าไปร้องคาราโอเกะกับเขาก็ออกไปรอนอกห้องน้ำก่อน เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จแล้วจะพาไปร้องคาราโอเกะ...
เออ... ก็ว่านอนสอนง่ายอยู่นะ พอบอกไปอย่างนั้นตาเคิร์กก็ออกไปรอที่นอกห้องจริงๆ เราก็อาบน้ำ เสร็จแล้วแต่งตัว เดินออกมาเจอเคิร์กก็พาออกไปร้องคาราโอเกะกัน แล้วก็กำชับด้วยว่าให้มาตามเรานี่ เราจะช่วยปล่อยวิญญาณให้กลับบ้านได้ อย่าไปอยู่ในห้องน้ำเวลาที่คนอื่นเขาจะอาบน้ำ มันไม่มีมารยาท
คือการบอกให้มาตามเรา... อันนี้ต้องบอกว่าเป็นการเสียสละตัวเองให้ผีสิงอย่างหนึ่งเลย เพราะเจ้าเคิร์กเค้าออกแนวเป็นผีติดที่ คือผูกคอตายตรงนั้นก็อยู่ตรงนั้น ไปไหนไม่ได้ เราก็เลยต้องใช้วิชาเล็กน้อยให้เค้าหลุดจากที่เค้ามาติดอยู่กับเราแทน เคิร์กเค้าก็เชื่อค่ะ อารมณ์ผีดีใจจะได้กลับบ้าน เราบอกอะไรก็ทำตามหมด
พอออกมาเจอพวกพี่ๆ ที่ร้องคาราโอเกะกันอยู่ เราเห็นขวดน้ำตั้งวางเอาไว้ก็รี่เข้าไปรินดื่มไม่รู้เรื่องรู้ราว ดื่มเข้าไปอึกเดียวเท่านั้น จุก วิ่งเข้าห้องน้ำ อาเจียนใหญ่เลย ทุกคนก็งงว่าเราเป็นอะไร ตัวคนเป็นเองก็งงค่ะ แต่ก็รอรจนตัวเองหายดี ไม่อาเจียนแล้ว ก็เดินออกจากห้องน้ำมา แล้วถามทุกคนว่าน้ำในขวดนั้นอะไร ปรากฏคือ...
น้ำมนต์... เราเสกเอาไว้แล้วก็ลืมได้เอง -_-'
ปกติเราดื่นน้ำมนต์ได้ ไม่อาเจียน การที่อาเจียนแบบนี้แปลว่าเรามีผีสิงหรือแฝงตัวมาอยู่กับเรา (หรืออาจโดนคุณไสย์ก็อาการใกล้เคียงกัน) ก็เลยชัดเจนว่าตาเคิร์กตามมาแฝงเราแล้ว
เสร็จศึกจากน้ำมนต์ เราก็นั่งร้องรำทำเพลงกับพวกพี่ๆ เค้า มองเป็นเห็นผีเคิร์กไปเต้นๆ แฝงอยู่กับพี่ฝ่ายอาร์ต ร้องคาราโอเกะกันใหญ่... เราแอบงง เฮ้ย ผีตัวเดียวกับที่ร้องไห้ในห้องน้ำเมื่อกี้จริงป่ะเนี่ย
จบจากคาราโอเกะพอดึกๆ ก็มาดูดวงเล่นกัน... นี่แหล่ะ สาเหตุที่คนพวกนี้พกเราไปด้วย เจตนาจะให้ไปดูดวงให้นี่เอง

พอบอกไปอย่างนั้น เจ้าผีแทนที่จะขอบคุณกลับถามมาได้ว่า ผ้าไตรคืออะไร ด้วยความขี้เกียจอธิบายเราก็เลยตัดบทบอกว่า เอาเถอะๆ จะทำบุญให้ รอรับอานิสงฆ์แล้วกัน จะได้ไปผุดไปเกิดได้สักที (คือคนเริ่มรำคาญผีแล้ว มันพูดมากมากๆ) จังหวะดูดวงอะไรเสร็จก็แยกย้ายกันเข้าห้อง ตาเคิร์กกำลังอารมณ์ดี คึกได้ที่ มากระซิบบอกเราว่า
“จะไปหลอกคนที่อยู่อีกห้อง ล้อเล่นสนุกๆ นะ”
ไอ้ผีเพี้ยนนี่!! จะคึกเกินไปแล้ว พอบอกว่าอย่างนั้นเราก็รีบห้ามเลย บอกว่าไม่ได้ มันบาป ถ้าอยากกลับแคนนาดาก็ต้องทำตัวให้เรียบร้อย ว่าไปอย่างนั้นแล้วเราก็เข้าห้องไปนอน แต่ไอ้เคิร์ก.....
มันเชื่อกันซะที่ไหนล่ะนั่น...!
เรามาทราบเรื่องเอาก็ตอนเช้านั่นแหล่ะค่ะ นั่งทานอาหารอยู่กับเพื่อน อยู่ดีๆ พวกรุ่นพี่ที่พักอยู่อีกห้องก็มาเล่าให้ฟังว่า
“เมื่อคืนได้ยินเสียงคนเคาะประตูตั้งสามสี่ที แต่เปิดออกมาแล้วไม่มีใครเลย”
อารมณ์คนเล่าก็กึ่งๆ อยากจะถามอะไรเราทำนองว่าเสียงเคาะประตูเมื่อคืนนี้โดนผีหลอกหรือเปล่า เรากับเพื่อนรูมเมทที่ทราบเรื่องกันมาตั้งแต่ต้น พอฟังแล้วก็มองหน้ากันพร้อมคิดในใจว่า ‘ตาเคิร์กแน่ๆ’
วันนั้นผ่านไปด้วยดี เราไม่เล่าอะไรใครให้ฟังเลยนอกจากเพื่อทีมเดียวกันและพี่จุฑารัตน์ วันรุ่งขึ้นเรารีบนั่งรถกลับบ้านมาก่อน เพราะติดเรียน คนอื่นยังพักกันต่ออีกหนึ่งคืน แต่พอเรากลับมาเท่านั้นแหล่ะ..
พวกรุ่นพี่เขามาเล่าแถมต่อว่าเรา... ว่าคืนหลังจากที่เซเรนกลับ ทีมงานกุลสตรี คนอื่นๆ ยังพักอยู่ที่นั่น พี่จุฑารัตน์ก็พักที่ห้องเดิม แต่ไม่เจออะไร ที่เจอคือคนที่พักอยู่อีกห้อง...
พี่คนนั้นตื่นขึ้นมาเอากลางดึก แล้วก็มองเห็นผู้หญิงผมยาวร่างเปลือยมานั่งอยู่ตรงปลายเตียง เธอไม่ได้ทำอะไรนะคะ แค่นั่งอยู่เฉยๆ แต่เท่านั้นก็มากพอที่จะทำให้พี่เค้ากลัวจนแทบจะชักได้แล้ว...
เช้าขึ้นมาด้วยความกลัวระคนตื่นเต้น ก็รีบมาเล่าโพธนาให้พี่จุฑารัตน์ฟัง พี่จุฟังแล้วก็หัวเราะ แถมมีเล่าเกทับต่อด้วยว่าผู้หญิงคนนั้นออกมาจากห้องที่เราพักเอง อันที่จริงเซเรนทราบมาตั้งแต่ต้น และเป็นคนบอกให้ผู้หญิงคนนั้นหลบออกจากห้อง... ซึ่งเธอก็ไปโผล่เอาห้องตรงข้าม ทำให้พวกรุ่นพี่มาต่อว่าเรากันใหญ่ว่ารู้อยู่ก่อนแล้วทำไมปิดเงียบ!!
แหม... ก็เราคิดไม่ถึงนี่ว่าแม่สีวิกาจะไปปรากฏตัวหลอกคนที่ห้องตรงข้ามแบบนั้นอ่ะ.
กล่าวฝ่ายตาเคิร์ก พอเรากลับถึงกรุงเทพแล้วก็ไปทำสังฆทานผ้าไตรให้ในวันนั้นเลย เจ้าเคิร์กได้อานิสงฆ์บุญก็เป็นอิสระ วิญญาณหลุดจากบ่วงกรรมที่เคยผูกคอตายแล้วไปไหนไม่ได้ พอหลุดแล้วก็หายไปเลย ส่วนสีวิกาเราก็ทำไปให้เค้าค่ะ เค้าก็ได้นะ แต่จะเป็นยังไงอันนี้ก็ไม่ได้กลับไปดูเค้าอีก จากนั้นผ่านไปได้สักอาทิตย์หรือสองอาทิตย์นี่แหล่ะ เจ้าผีเคิร์กโผล่หน้ามาให้เซเรนเห็น เราก็ตกใจ ว่าทำบุญให้แล้วทำไมไม่ไปเกิด เค้าก็บอกว่ายังไม่ถึงเวลาที่เค้าจะไปเกิดเค้าเลยกลับไปหาลูกเมียที่บ้านมา แต่ที่บ้านไม่มีใครเห็นไม่มีใครคุยกับเค้าได้เลย ก็เลยมาหาเราเพื่อที่จะเล่าว่า...
“ไปทำโพสต์เตอร์ไกด์ใส่คนที่บ้านมา ทำกรอบรูปตก คนในบ้านตกใจกันใหญ่”
เล่าแล้วมันก็ขำได้เอง ขำเสร็จแล้วมันก็กลับบ้านมันไปใหม่

ล่าสุด เมื่อสองปีก่อน เจ้าเคิร์กมาหาเราอีกครั้ง แล้วก็บอกว่าจะไปเกิดแล้ว ขอบคุณเรามากที่ช่วยเค้าเอาไว้ในหลายๆ เรื่อง ถ้าชาติหน้าได้เจอกันเค้าจะคอยช่วยเหลือเราบ้างไม่ให้เราต้องลำบาก
จริงๆ คือเหตุที่เกิดมันก็นานมากแล้ว เราก็ลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเคยเจอผีฝรั่งป่วนประสาท ก็เออออกรับรู้ไป ขานั้นก็ลาไปเกิด ส่วนเราก็มานั่งนึกๆ ว่าไอ้ผีเมื่อกี้มันใครหว่า ผ่านไปหลังจากนั้นประมาณสองชั่วโมงถึงเพิ่งจะนึกออกว่า ตาเคิร์กนี่น่า!! ผีฝรั่งที่ช่วยเอาไว้ก็มีแค่ตาเคิร์ก เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นเคิร์กแน่ๆ พอรู้ว่าผีฝรั่งป่วนได้ไปเกิดแล้วเราก็ยินดี เลยไปใส่บาตรแล้วก็กรวดน้ำให้เค้าอีกครั้ง จะ
MooDaRangSit ทึ่ง, ความเหงาคือความกล้าหาญ ทึ่ง, ปอแป้ง กะ ตอตั้ม ซึ้ง, สวยจนชินตา ถูกใจ, Bowie_Qz ถูกใจ, Nichychang ถูกใจ, hysteresis ทึ่ง, Dezebell ทึ่ง
▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
อยากรู้ว่าถ้าเราไปต่างประเทศแล้วเจอผี ผีจะเหมือนผีไทยมั้ย หรือเป็นผีของประเทศนั้นๆ ?