
มีเวลาหยุดไม่กี่วันไปไหนถึงจะดี ไปไหนถึงจะสนุก ... ถ้าให้ผมตอบก็คงจะตอบว่าที่ไหนมันก็ดีทั้งนั้นแหละ ถ้าเราอยากไปที่แห่งนั้น ที่ไหนก็ดีทั้งนั้นแหละถ้าเราไม่คาดหวังในสิ่งที่จะได้รับและเปิดใจพร้อมที่จะสนุกไปกับทุกๆอย่าง
.
วันหยุด"เกือบ"ยาววันที่9-12ธันวาที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆอีก5คนได้จองตั๋วไปกลับฮ่องกง เมืองแห่งการท่องเที่ยวที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี มลฑลหนึ่งในประเทศจีนที่ไม่ต้องใช้visaก็สามารถเข้าไปเที่ยวได้ เดินทางง่าย เข้าถึงง่าย สถานที่เที่ยวและช๊อปปิ้งมีอยู่มากมาย จึงไม่แปลกที่คนไทยจะไปเที่ยวกันอย่างล้นหลามในทุกๆเทศกาลงานรื่นเริง
.....ทริปในครั้งนี้เกิดขึ้นจากคำถามง่ายๆของเพื่อนผมว่า "ปิด4วันไปไหนดี?" ......จับพลัดจับผลู ไปๆมาๆ ก็จบลงที่ตั๋วเครื่องบินไปกลับฮ่องกงพร้อมใบจองโรงแรมเพียงอาทิตย์กว่าๆก่อนวันเดินทาง
เราเดินทางวันที่10กลางวัน กลับวันที่13ตอนเช้าตรู่ รวมระยะเวลา3วัน3คืน แม้จะเป็นเพียงเวลาช่วงสั้นๆแต่ก็มีเรื่องราวที่น่าจดจำมากมาย
บทที่ 0 : แหล่งท่องเที่ยวที่ทุกคนต้องไป
มีสถานที่อยู่ที่หนึ่งที่นักเดินทางทุกคนต้องไปก่อนจะไปที่อื่นๆ สถานที่ที่มีรอยยิ้มของคนหลากหลายเชื้อชาติ สถานที่ที่มีร้านอาหารมากมายคอยให้บริการ สถานที่ที่ทุกคนเฝ้ามองนาฬิกาเพื่อไม่ให้พลาดช่วงเวลาสำคัญ สถานที่แห่งนั้นคือ "สนามบิน"
บางคนอาจจะมองสนามบินเป็นเพียงทางผ่านของการเดินทางแต่สำหรับผมสนามบินเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งเช่นเดียวกัน เป็นที่ที่ให้จิตใจได้ปรับอารมณ์จากบรรยากาศการทำงานและการเรียนอันเคร่งเครียดเป็นบรรยากาศสบายๆในวันหยุดชิวๆ เป็นที่ที่จิตใจจะได้เฝ้ารอคอยการเดินทางที่กำลังจะมาถึงและคิดว่าจะสิ่งดีๆอะไรจะเข้ามาบ้าง
อาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิมีทั้งหมด9ชั้น แบ่งเป็นชั้นใต้ดิน2ชั้นซึ่งมีรถไฟเข้าเมือง(airport link)ให้บริการ ชั้นบนดิน7ชั้น ซึ่งสำหรับเราผู้โดยสารจะรู้จักเพียง4ชั้นแรก ชั้นที่1มีfood courtและTaxiให้บริการ ชั้นที่2ให้บริการผู้โดยสารขาเข้า ชั้นที่3เต็มไปด้วยร้านอาหารและร้านกาแฟที่พร้อมให้บริการ ชั้นที่4ชั้นของผู้โดยสารขาออก ชั้นนี้อยู่ภายใต้เพดานโดมกระจกอันเป็นเอกลักษณ์ของสุวรรณภูมิ เป็นชั้นที่มีคนเคลื่อนไหวไปมามากที่สุดและเป็นชั้นที่เปิดแอร์หนาวที่สุด
เราเข้ามาภายในอาคารผู้โดยสารDตั้งแต่บ่ายสอง 2ชั่วโมงก่อนการเดินทาง ในช่วงเวลาระหว่างนี้เราเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าขนาดย่อยที่ถูกย่อส่วนมาอยู่ในอาณาเขตของอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ สินค้ามากมายถูกวางจัดจำหน่ายอยู่ทั่วไป เสื้อผ้าแบรนเนม ร้านอาหารไฮโซ ขนมอิมพอร์ต และ สารพัดของกุ๊กกิ๊ก
แอร์เย็นๆและความเงียบงันเป็นของคู่กันกับสนามบิน เหตุผลที่สนามบินต้องเปิดแอร์ให้หนาวๆอาจจะเป็นเพราะ "สนามบินเป็นสถานที่แห่งการปรับตัว" มิใช่เพียงแต่คนไทยที่จะไปต่างประเทศจะต้องปรับตัว แต่คนจากต่างประเทศที่มาเยือนประเทศไทยก็ต้องปรับตัวเช่นกัน. (จะให้เจอพายุฤดูร้อนสี่สิบองศาทันทีทันใดก็คงจะกระไรอยู่)
เวลาสี่โมงเศษเราขึ้นเครื่องบินไปยังที่นั่งของตน.... Cathey Pacific สายการบินสัญชาติฮ่องกงได้ให้บริการเราในครั้งนี้ โดยรวมแล้วการพบปะกันระหว่างเราทั้ง2ก็น่าประทับใจไม่น้อย ถ้าจะมีข้อติก็คงเป็นขนาดBMIของพนักงานที่อาจจะมากไปนิด
เดินทางอีกเพียง3ชั่วโมงก็จะไปถึง แล้วเจอกันเมืองฮ่องกง....
บทที่1 : Love at First Sight
สิ่งแรกที่รู้สึกได้ว่าแตกต่างจากประเทศไทยเมื่อมาถึงฮ่องกงไม่ใช่ความหนาว ไม่ใช่ความแพงของค่าครองชีพ แต่เป็นภาษาจีนที่ออกมาจากปากคนที่คนไทยเราเรียกว่า"แขก" เห้ยยยยแขกพูดจีนได้...... พอคิดๆดูแล้วแขกพูดไทยได้ก็มี แขกพูดฝรั่งเศษเยอรมันได้ก็มี(เจอตอนที่ไปเที่ยวยุโรป)
ในยุคที่ตั๋วเดินทางข้ามทวีปมีราคาถูกกว่าจักรยานดีๆหนึ่งคัน เมืองที่เจริญอย่างฮ่องกงจึงมีคนอพยพเข้ามาหลากหลายเชื้อชาติ จึงไม่แปลกที่จะพบคนฝรั่ง คนจีนและคนแขกได้อย่างกระจัดกระจายในเมืองฮ่องกง
จากสนามบินเราเดินทางด้วยรถบัสในราคา100เหรียญ(HKD)สำหรับ3คนตกคนละ 33 เหรียญ ซึ่งเป็นช่องทางการเดินทางที่ถูกที่สุด ไม่นานเพียง50นาที เราก็มาถึงย่านซิมชาซุ่ย(Tsim Sha tsui)บริเวณที่เป็นที่พักของเรา // ย่านแห่งนี้ติดกับ Victoria Habourและจุดชมวิวของฮ่องกง
Ps.(1) : 1 เหรียญ HKD มีค่าประมาณ 4.5 บาท หรือ คำนวณง่ายๆ ก็ตีซะว่า1เหรียญเท่ากับ5บาท
นอกจากจะมีดีเรื่องจุดชมวิวอันงดงามแล้ว Tsim sha tsui ยังมีดีเรื่องร้านอาหารรสเลิศและที่พักราคาถูกซึ่งอยู่รวมๆกันเป็นกลุ่มก้อนในอาคารเดียวกันที่เรียกว่า"แมนชั่น"
1แมนชั่นมี4โซน || 1โซนมี 15 เกสเฮ้าราคาถูก) || ดังนั้น1แมนชั่นจึงมีประมาณ60เกสเฮ้า
ห้องพักของเราตกราคาคืนละ600บาทต่อคนซึ่งถือว่าถูกมากๆในฮ่องกง ขนาดและสภาพภายในห้องก็เป็นไปตามราคาของมัน ถึงแม้จะเล็กแต่ก็จิ๋วแต่แจ่วเพียบพร้อมด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกที่ครบครัน
.
.
ภาพที่ทุกคนมักจะนึกถึงเมื่อพูดถึงฮ่องกงก็คือภาพของตึกระฟ้าที่เรียงรายริมอ่าววิคตอเรีย ตึกทุกตึกถูกประดับประดาไปด้วยแสงไฟอย่างสวยงาม แสงและเงาของตึกที่สะท้อนบนผืนน้ำช่วยให้เวิ่งน้ำไม่ดูเงียบเหงาซะทีเดียว
ภาพของวิวราคาร้อนล้านเช่นนี้ชวนให้รู้สึกห่างไกลเหมือนฝัน แต่ตอนนี้ทิวทัศน์นั้นมันอยู่ห่างจากเราไปเพียงไม่กี่ร้อยก้าวแล้ว
สายลมที่พัดเอื่อยๆค่อยๆกระทบชายฝั่งมาพร้อมกับอุณหภูมิ15องศาเซลเซียสและเบียร์เย็นๆ1กระป๋อง.......พวกเรามาถึงฮ่องกงแล้วสิน่ะ........ ภาพที่อยู่ตรงหน้ามันบอกกับผมอย่างนั้น มันบอกให้รู้ว่าช่วงเวลาเพียง3วันนี้จะมีค่าได้แค่ไหน
[CR] HongKongFoot : "สัมผัสสีสัน3วัน3คืนในเมืองฮ่องกง"
มีเวลาหยุดไม่กี่วันไปไหนถึงจะดี ไปไหนถึงจะสนุก ... ถ้าให้ผมตอบก็คงจะตอบว่าที่ไหนมันก็ดีทั้งนั้นแหละ ถ้าเราอยากไปที่แห่งนั้น ที่ไหนก็ดีทั้งนั้นแหละถ้าเราไม่คาดหวังในสิ่งที่จะได้รับและเปิดใจพร้อมที่จะสนุกไปกับทุกๆอย่าง
.
วันหยุด"เกือบ"ยาววันที่9-12ธันวาที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆอีก5คนได้จองตั๋วไปกลับฮ่องกง เมืองแห่งการท่องเที่ยวที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี มลฑลหนึ่งในประเทศจีนที่ไม่ต้องใช้visaก็สามารถเข้าไปเที่ยวได้ เดินทางง่าย เข้าถึงง่าย สถานที่เที่ยวและช๊อปปิ้งมีอยู่มากมาย จึงไม่แปลกที่คนไทยจะไปเที่ยวกันอย่างล้นหลามในทุกๆเทศกาลงานรื่นเริง
.....ทริปในครั้งนี้เกิดขึ้นจากคำถามง่ายๆของเพื่อนผมว่า "ปิด4วันไปไหนดี?" ......จับพลัดจับผลู ไปๆมาๆ ก็จบลงที่ตั๋วเครื่องบินไปกลับฮ่องกงพร้อมใบจองโรงแรมเพียงอาทิตย์กว่าๆก่อนวันเดินทาง
เราเดินทางวันที่10กลางวัน กลับวันที่13ตอนเช้าตรู่ รวมระยะเวลา3วัน3คืน แม้จะเป็นเพียงเวลาช่วงสั้นๆแต่ก็มีเรื่องราวที่น่าจดจำมากมาย
บทที่ 0 : แหล่งท่องเที่ยวที่ทุกคนต้องไป
มีสถานที่อยู่ที่หนึ่งที่นักเดินทางทุกคนต้องไปก่อนจะไปที่อื่นๆ สถานที่ที่มีรอยยิ้มของคนหลากหลายเชื้อชาติ สถานที่ที่มีร้านอาหารมากมายคอยให้บริการ สถานที่ที่ทุกคนเฝ้ามองนาฬิกาเพื่อไม่ให้พลาดช่วงเวลาสำคัญ สถานที่แห่งนั้นคือ "สนามบิน"
บางคนอาจจะมองสนามบินเป็นเพียงทางผ่านของการเดินทางแต่สำหรับผมสนามบินเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งเช่นเดียวกัน เป็นที่ที่ให้จิตใจได้ปรับอารมณ์จากบรรยากาศการทำงานและการเรียนอันเคร่งเครียดเป็นบรรยากาศสบายๆในวันหยุดชิวๆ เป็นที่ที่จิตใจจะได้เฝ้ารอคอยการเดินทางที่กำลังจะมาถึงและคิดว่าจะสิ่งดีๆอะไรจะเข้ามาบ้าง
อาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิมีทั้งหมด9ชั้น แบ่งเป็นชั้นใต้ดิน2ชั้นซึ่งมีรถไฟเข้าเมือง(airport link)ให้บริการ ชั้นบนดิน7ชั้น ซึ่งสำหรับเราผู้โดยสารจะรู้จักเพียง4ชั้นแรก ชั้นที่1มีfood courtและTaxiให้บริการ ชั้นที่2ให้บริการผู้โดยสารขาเข้า ชั้นที่3เต็มไปด้วยร้านอาหารและร้านกาแฟที่พร้อมให้บริการ ชั้นที่4ชั้นของผู้โดยสารขาออก ชั้นนี้อยู่ภายใต้เพดานโดมกระจกอันเป็นเอกลักษณ์ของสุวรรณภูมิ เป็นชั้นที่มีคนเคลื่อนไหวไปมามากที่สุดและเป็นชั้นที่เปิดแอร์หนาวที่สุด
เราเข้ามาภายในอาคารผู้โดยสารDตั้งแต่บ่ายสอง 2ชั่วโมงก่อนการเดินทาง ในช่วงเวลาระหว่างนี้เราเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าขนาดย่อยที่ถูกย่อส่วนมาอยู่ในอาณาเขตของอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ สินค้ามากมายถูกวางจัดจำหน่ายอยู่ทั่วไป เสื้อผ้าแบรนเนม ร้านอาหารไฮโซ ขนมอิมพอร์ต และ สารพัดของกุ๊กกิ๊ก
แอร์เย็นๆและความเงียบงันเป็นของคู่กันกับสนามบิน เหตุผลที่สนามบินต้องเปิดแอร์ให้หนาวๆอาจจะเป็นเพราะ "สนามบินเป็นสถานที่แห่งการปรับตัว" มิใช่เพียงแต่คนไทยที่จะไปต่างประเทศจะต้องปรับตัว แต่คนจากต่างประเทศที่มาเยือนประเทศไทยก็ต้องปรับตัวเช่นกัน. (จะให้เจอพายุฤดูร้อนสี่สิบองศาทันทีทันใดก็คงจะกระไรอยู่)
เวลาสี่โมงเศษเราขึ้นเครื่องบินไปยังที่นั่งของตน.... Cathey Pacific สายการบินสัญชาติฮ่องกงได้ให้บริการเราในครั้งนี้ โดยรวมแล้วการพบปะกันระหว่างเราทั้ง2ก็น่าประทับใจไม่น้อย ถ้าจะมีข้อติก็คงเป็นขนาดBMIของพนักงานที่อาจจะมากไปนิด
เดินทางอีกเพียง3ชั่วโมงก็จะไปถึง แล้วเจอกันเมืองฮ่องกง....
บทที่1 : Love at First Sight
สิ่งแรกที่รู้สึกได้ว่าแตกต่างจากประเทศไทยเมื่อมาถึงฮ่องกงไม่ใช่ความหนาว ไม่ใช่ความแพงของค่าครองชีพ แต่เป็นภาษาจีนที่ออกมาจากปากคนที่คนไทยเราเรียกว่า"แขก" เห้ยยยยแขกพูดจีนได้...... พอคิดๆดูแล้วแขกพูดไทยได้ก็มี แขกพูดฝรั่งเศษเยอรมันได้ก็มี(เจอตอนที่ไปเที่ยวยุโรป)
ในยุคที่ตั๋วเดินทางข้ามทวีปมีราคาถูกกว่าจักรยานดีๆหนึ่งคัน เมืองที่เจริญอย่างฮ่องกงจึงมีคนอพยพเข้ามาหลากหลายเชื้อชาติ จึงไม่แปลกที่จะพบคนฝรั่ง คนจีนและคนแขกได้อย่างกระจัดกระจายในเมืองฮ่องกง
จากสนามบินเราเดินทางด้วยรถบัสในราคา100เหรียญ(HKD)สำหรับ3คนตกคนละ 33 เหรียญ ซึ่งเป็นช่องทางการเดินทางที่ถูกที่สุด ไม่นานเพียง50นาที เราก็มาถึงย่านซิมชาซุ่ย(Tsim Sha tsui)บริเวณที่เป็นที่พักของเรา // ย่านแห่งนี้ติดกับ Victoria Habourและจุดชมวิวของฮ่องกง
Ps.(1) : 1 เหรียญ HKD มีค่าประมาณ 4.5 บาท หรือ คำนวณง่ายๆ ก็ตีซะว่า1เหรียญเท่ากับ5บาท
นอกจากจะมีดีเรื่องจุดชมวิวอันงดงามแล้ว Tsim sha tsui ยังมีดีเรื่องร้านอาหารรสเลิศและที่พักราคาถูกซึ่งอยู่รวมๆกันเป็นกลุ่มก้อนในอาคารเดียวกันที่เรียกว่า"แมนชั่น"
1แมนชั่นมี4โซน || 1โซนมี 15 เกสเฮ้าราคาถูก) || ดังนั้น1แมนชั่นจึงมีประมาณ60เกสเฮ้า
ห้องพักของเราตกราคาคืนละ600บาทต่อคนซึ่งถือว่าถูกมากๆในฮ่องกง ขนาดและสภาพภายในห้องก็เป็นไปตามราคาของมัน ถึงแม้จะเล็กแต่ก็จิ๋วแต่แจ่วเพียบพร้อมด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกที่ครบครัน
.
.
ภาพที่ทุกคนมักจะนึกถึงเมื่อพูดถึงฮ่องกงก็คือภาพของตึกระฟ้าที่เรียงรายริมอ่าววิคตอเรีย ตึกทุกตึกถูกประดับประดาไปด้วยแสงไฟอย่างสวยงาม แสงและเงาของตึกที่สะท้อนบนผืนน้ำช่วยให้เวิ่งน้ำไม่ดูเงียบเหงาซะทีเดียว
ภาพของวิวราคาร้อนล้านเช่นนี้ชวนให้รู้สึกห่างไกลเหมือนฝัน แต่ตอนนี้ทิวทัศน์นั้นมันอยู่ห่างจากเราไปเพียงไม่กี่ร้อยก้าวแล้ว
สายลมที่พัดเอื่อยๆค่อยๆกระทบชายฝั่งมาพร้อมกับอุณหภูมิ15องศาเซลเซียสและเบียร์เย็นๆ1กระป๋อง.......พวกเรามาถึงฮ่องกงแล้วสิน่ะ........ ภาพที่อยู่ตรงหน้ามันบอกกับผมอย่างนั้น มันบอกให้รู้ว่าช่วงเวลาเพียง3วันนี้จะมีค่าได้แค่ไหน