ตุ๊ดลายพราง เมื่อตุ๊ดวงการนิตยสารแฟชั่นหัวนอกต้องไปเป็นทหาร ความเก๋และชิคยังคงอยู่ Ep.0:จุดเริ่มต้นของการต้องไปเกณฑ์ทหาร

สวัสดีค่ะชาวพันทิพย์ทุกท่านนี่เป็นกระทู้แรกในชีวิตเลยและฉันสมัครมาเพื่อเหตุนี้โดยเฉพาะ เพราะเห็นว่าตอนนี้เหล่าทหารเกณฑ์กำลังจะเริ่มต้นจับอีกรอบเดือนเมษายนอีกแล้ว ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าขออณุญาตพูดค่ะ!แทนครับ! นะคะ เพราะจะทำให้สะดวกต่อการเล่าเรื่องมากกว่า และถ้ามีตรงไหนพิมพ์ผิดหรือตกหล่นไปบ้างก็สามารถบอกได้เลยนะคะ จะรีบแก้ไขให้หรือถ้าพอจะเดาได้ก็เดาเลยค่ะ เพราะตาลายมากๆ 5555 ขอสรุปเรื่องให้ฟังคร่าวๆก่อน นี่คือเรื่องราวของตุ๊ดคนหนึ่งที่ทำงาน Event Marketing กับแม็กกาซีนแฟชั่นหัวนอก แต่มีอันต้องระหกระเหินไปเป็นทหารเกณฑ์อยู่ 1 ปีค่ะ จริงๆกะว่าจะทำต้นฉบับส่งสำนักพิมพ์ต่างๆแต่คิดไปคิดมา แค่แชร์ประสบการณ์ให้ฟังก็พอ คือกลัวเรื่องไม่ผ่าน 555555 เพราะช่วงนี้ยิ่งมีประเด็นเยอะอยู่ ดิฉันจะแบ่งทั้งหมดเป็นตอนนะคะ คือตอน 0 กับสรุปเดือนทั้ง 12 เดือนที่อยู่ในค่ายทหารและตอนบทสรุปส่งท้ายค่ะ ถ้าทุกคนพร้อมแล้วไปเริ่มปฐบทกันเลยค่ะ
ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นของการต้องไปเกณฑ์ทหาร
ดำ! ดำ! ดำ!  แดง! แดง! แดง! อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่านี่คือการชุมชุมประท้วงใดๆทั้งสิ้นนะคะ
ฉัน ท่ามกลางเหล่าชายฉกรรจ์เกือบพันคนพร้อมญาติอีกประมาณล้านแปดที่โรงเรียนวัดแห่งหนึ่งแถวชานเมืองกรุงเทพมหานครส่งเสียงโห่ร้องเชียร์กันสนั่นหวั่นไหว จำได้แม่นเลยว่าวันนั้นฉันใส่เสื้อยืดลายเสือสุดเก๋กับกางเกงยีส์สกินนี่สีควันบุหรี่บวกกับรองเท้าหนังสุดเท่ทรง Oxford สุดชิค โอ้ยยยยยยยยยยยยย! มั่นซะไม่มี
ใช่แล้วละค่ะ ฉันอยู่ในพิธีเฟ้นหาเด็กวัยรุ่นเข้าสู้ The Hunger game ครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ของเขตๆหนึ่ง! No!!! ค่ะ ไม่ใช่ฉันกำลังจะถูกคัดเลือกทหารนั่นเองและสาเหตุที่ฉันต้องมาจับเพราะว่าตอนมัธยมปลายไม่ได้เรียน รด.มา สารภาพเลยค่ะว่าตอนนั้นคิดว่าตัวเองจะแต่งหญิงไปเป็นผู้หญิงข้ามเพศ แปลงเพศกันให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่างทำให้เราต้องยอมรับความจริง (ว่าไม่สวย+ร่างที่ใหญ่จนเกินจะดูสมส่วนชะนี) 555+ ต้องชิงเล่นกัดตัวเองก่อนที่ใครจะกัดเราค่ะ จะได้ไม่เจ็บหนัก เพราะฉะนั้นเราก็เลยต้องหยุดแต่งหญิงกลับมาแต่งแนวบอยๆเหมือนเดิม
         ย้อนหลังกลับไปสักประมาณ 2-3 อาทิตย์ ฉันมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อ เคธี่ นางเป็นชะนีร่างใหญ่หรือพูดง่ายๆคือ “อ้วน”นั่นเอง นางเป็นเพื่อนที่เรียนโรงเรียนมัธยมปลายมาด้วยกัน แต่อยู่คนละห้องและเพิ่งจะมาเริ่มสนิทกันเมื่อตอนเรียนจบมหาวิทยาลัยกันแล้วทั้งคู่ (ได้แต่เฝ้าถามตัวเองว่าแล้วที่ผ่านมาทำไมไม่สนิทกัน) นางเป็นชะนีใจดี มีฐานะและมีลุงเป็นทหารรักษาพระองค์ เราจึงมาขอคำปรึกษาจากลุงที่บ้านเคธี่อยู่บ่อยๆ
            วันหนึ่งขณะที่เราไปนั่งเล่นบ้านเคธี่ ความกังวลใจเรื่องที่จะต้องเกณฑ์ทหารมันก็สุมอยู่ในหัวก็เลยคุยปรับทุกข์กันเรื่องนี้ เคธี่มันก็ไม่รู้จะทำยังไงจึงไปถามลุงให้ นางเลยบอกว่า “เออ  ลุงกูมีพระรอดนะเว่ย สนใจไหม เชื่อกูดิเพราะพี่กับญาติกูอมพระรอดไว้แล้วไปจับทหาร ไม่โดนทั้งคู่เลยนะเว่ย ได้ใบดำทั้งคู่เลย” เราได้ยินดังนั้นรีบตอบกลับทันทีว่า “จริงเหรอ! บอกลุงช่วยกูหน่อยได้ไหม กูไม่รู้จะทำยังไงแล้ว จะใช้อำนาจมืดก็ดูไม่ดี จะให้แต่งหญิงก็คงไม่ไหว”บอกตรงๆมันรู้สึกสว่างเหมือนมีคนมากรวดน้ำให้แล้วได้รับเลยละค่ะ หลังจากนั้นนางจึงรับปากเราว่าจะไปบอกลุงให้ ก่อนหน้านั้นมีเพื่อนหลายคนก็บอกให้ไปบนย่านาคที่วัดพระโขนงสิ แต่ดิฉันไม่ค่ะ! ด้วยความมั่นหน้ามาจากไหนไม่รู้จึงทำให้มั่นหน้าได้ขนาดนี้

วันไปรับหมายเรียกทหาร
            ฉับกับเคที่นั่งรถไปที่สำนักงานเขตแห่งหนึ่งที่ฉันอาศัยอยู่เป็นวันที่ความมั่นใจ ความกล้าของเราดูดร็อปลงเพราะไม่รู้จะไปตอบคำถามสัสดีอย่างไร กล้าๆกลัวๆอยู่นาน ฉันจึงเปลี่ยนแผนไปทำบัตรประชาชนใหม่ก่อนที่จะไปขึ้นทะเบียนทหาร ก็เป็นการยื้อเวลาอยู่พักหนึ่งหลังจากที่ทำบัตรประชาชนเสร็จฉันกับเคธี่จึงเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้น 3 ของอาคารสำนักงานเพื่อไปรับหมายเรียกเกณฑ์ทหารหรือใบ สด.43 และใบ สด.9 ในมือมีแต่เหงื่อของความตื่นเต้นและความกลัว
            เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องที่เขียนว่าฝ่ายสัสดีเราก็ได้รับการต้อนรับจากนายทหารท่านหนึ่ง แก่ๆใส่แว่นทันทีและบทสนาเป็นเช่นนี้
สัสดี: โอ้โห!มาขึ้นทะเบียนทหารเหรอ?
(คือไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องตกใจขนาดนั้นคำทักทายมันควรจะเป็น สวัสดีครับ ไม่ใช่เหรอ? จึงหันไปหาเพื่อนเรา เออ! เพื่อนเรายิ้มแต่งเต็มมาจริงๆว่ะ ทั้งเมคอัพที่พร้อมไปกินเหล้าต่อและชุดเดรสสีดำที่คว้านจนเกือบถึงสะดือ ค่ะ! ยังไงก็ให้เกียรติกูด้วย)

ฉันและเคธี่: ใช่ครับ/ใช่ค่ะ ประสานเสียงกัน

สัสดี: มาๆนั่งลงก่อน เออ ว่าแต่คนไหนละที่จะขึ้น สัสดีมองไปที่นังเคธี่

เคธี่:โอ้ยยยยยยยยย พี่หนูมั้งค่ะ พี่นึกว่าหนูเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายค่ะ

สัสดี: 5555555555555 พี่ก็นึกว่าน้องจะมาขึ้นทะเบียนเอง แล้วเราอ่ะ มาเป็นเพื่อนเหรอ?
(จุดนี้ต้องบอกก่อนว่าไม่รู้เป็นเหมือนกันทุกที่หรือเปล่าแต่ฉันคิดว่าทหารมีอาการ “ตลกร้าย” ทุกคนและฉันกับเคธี่ก็โดนกันไปดอกแรกทันที มีอารมณ์ขันจังเลยนะคะ…)
แล้วเราก็ดำเนินการตามขั้นตอนไปทั้งการเซ็นต์เอกสารต่าง ตรวจเอกสารและการไปชำระค่าปรับ ตรงนี้ต้องบอกเป็นความรู้เลยว่า ชายไทยที่อายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปต้องมารายงานตัวรับหมายเรียกเกณฑ์ทหารทุกคน ถ้าใครยังไม่สามารถรับการคัดเลือกได้ก็สามารถใช้สิทธ์การผ่อนผันตามความเหมาะสม แต่สำหรับฉันซึ่งไม่ได้ไปรับหมายเรียกตามกำหนดและไม่ได้ทำเรื่องผ่อนผันกับทางมหาวิทยาลัย เมื่อมารับหมายเรียกที่ไม่ได้ทำการผ่อนผันจึงต้องไปเสียค่าปรับที่สถานีตำรวจรวมทุกอย่างแล้วเป็นมูลค่า 100 บาทค่ะ บอกก่อนว่าฉันไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนที่หนีทหารนะคะ เพราะตามกฎหมายแล้วถ้าอายุ 29 ปีบริบูรณ์แล้วแต่ยังไม่มารับหมายเรียก(ตรงนี้ถ้าข้อมูลทางกฎหมายผิดพลาดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ แต่ได้ยินมาแบบนี้จริงๆ) นั่นถึงจะถือว่าเข้าข่ายหนีทหารค่ะ แต่แค่ดิฉันมารับหมายเกณฑ์ช้าไปเท่านั้นเองค่ะและการผ่อนผันที่มหาวิทยาลัยในกรณีที่เรากำลังศึกษาอยู่นั้นสามารถทำได้ค่ะ จนกว่าจะจบการศึกษา แต่ต้องมาทำเรื่องผ่อนผันทุกปีซึ่งยุ่งยากมากๆ ดิฉันเคยไปหาสัสดีมาครั้งหนึ่งแล้วค่ะ เลยทำให้รู้ว่าไม่ต้องไปทำเรื่องผ่อนผันกับทางมหาวิทยาลัยก็ได้พร้อมเมื่อไหร่ก็มาเลย เพราะถ้าเราขาดทำเรื่องผ่อนผันกับทางมหาวิทยาลัยไปเพียงปีเดียว นั่นคือคุณต้องได้รับการคัดเลือกทันทีค่ะและนี่คือ My way ที่ฉันเลือก อิอิ

พระรอดช่วยลูกด้วย
            และแล้วก็ถึงวันที่จะตัดสินชะตาชีวิตของฉัน วันนั้นวันที่ 5 เมษายน 2014  เช้ามืดวันนั้นฉันตื่นตั้งแต่ตี 5 พร้อมชุดที่เคยบรรยายความเป็นแฟชั่นนิสต้าปลอมๆไว้แล้ว รีบไปที่บ้านเคธี่ทันทีเพื่อไปรับ “พระรอด!” และหวังว่าจะรอด
            ลุงของเคธี่ให้ฉันจุธูปบูชาและท่องคาถาอะไรสักอย่างซึ่งจำไม่ได้แล้ว บอกตรงๆเลยว่าตอนนั้นในใจเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่งกับเรื่องนี้เลย แต่ยังดีกว่าที่เราไม่ได้ทำอะไร (ถึงตอนนี้คุณผู้อ่านต้องใช้วิจราณญาณมากๆนะคะ) เรารับพระรอดมาจากลุงแล้วใส่ไว้ในกระเป๋า ก่อนออกจากบ้านลุงกำชับว่า “เอ็งห้ามพูดกับใครเด็ดขาด เดินไปเลยจนกว่าจะจับเสร็จ” เราก็ได้แต่บอกว่า “จ๊ะๆลุง” และด้วยความที่เช้ามากๆ เคธี่นางตื่นไม่ไหวและบอกว่าจะตามไปอีกทีตอนเย็น
            ฉันมุ่งหน้าเดินออกไปเต็มที่ในใจคิดอยู่อย่างเดียวว่าฉันต้องไม่โดน ฉันต้องรอด! ฉันต้องรอด! ไม่ถึง 5 นาทีขณะที่ยืนรอรถ “อีบอยยยยยย!!! ไปด้วยกันไหม กูจะไปผ่อนผันทหารเหมือนกัน” เสียงอีเกี้ยมอี๋ ตุ๊ดร่างกรรมกรตัวดำ หน้าเหลี่ยม สิวเยอะๆ แต่มีความเก๋ที่หน้าเหมือนโอปอล์ ใครนึกไม่ออกก็ประมานพี่ จอนนี่ โอปอล์อ่ะค่ะ นางตะโกนทักมาอย่างดังสนั่นกลางถนนและด้วยปฏิกิริยาการตอบสนองเร็วของตุ๊ดไทยอันรวดเร็วของฉัน จึงตอบไปทันทีว่า “ไป E dog miss u so much”…ค่ะ ทำผิดกฎข้อแรกของพระรอดเลยว่าห้ามพูดกับใคร แฮ่ๆ ในที่สุดบนรถคันนั้น ตุ๊ด 2 นาง กะเทยแต่งหญิงรุ่นน้อง 1 นาง เกย์เพื่อนสาวรุ่นน้องที่เป็นคนขับรถอีก 1 นางไปด้วยกัน ระหว่างทางหัวข้อสนทนาที่พูดกันก็ไม่พ้นเรื่องการเกณฑ์ทหารนี่แหละ แล้วถ้าไม่คุยเรื่องนี้จะคุยเรื่องอะไรละจ๊ะ
        จุดพีคสำหรับเช้านี้มันอยู่ที่อีรุ่นน้องเกย์คนขับนี่แหละ นางขอแวะไปหาเพื่อนนางก่อนซึ่งซอยบ้านเพื่อนาง ทั้งแคบ ทั้งขรุขระเต็มไปด้วยพี่น้องชาวก่อสร้างแต่กระนั้นนา'ก็ยังจะขับรถเร็วอีก ทันใดนั้นก็มีเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งสัก 4-5 คนกำลังวิ่งเล่นกันอยู่ วิ่งตัดหน้ารถ! ดีออกกกกกกกกกก เบรคแทบไม่ทัน! ขณะเดียวกันทางซ้ายมือค่ะ แม่นางออกมายืนจ้องเขม็งพร้อมเรียกผู้เป็นพ่อออกมา ตอนนั้นเราเสร็จธุระพอดี เพราะเพื่อนนางไม่อยู่บ้าน ค่ะ! ออกดีจริงๆ จากนั้นเราก็กำลังถอยรถด้วยความลำบากเพื่อไปจากที่นี่กัน ยังไม่ทันจะเหยียบรถออกไป พ่อของเด็กผู้หญิงกลุ่มนั้นก็ออกมายื่นขางหน้ารถพร้อมถือขวดเหล้าในมือทำเหมือนจะตีกระจกหน้ารถให้แตก พร้อมตะโดกนด่าอะไรก็ไม่รู้อีกหลายคำ เราไม่รู้จะทำยังไงกันดี จึงได้แต่กรี๊ดๆแล้วขับหนี คือแบบหนูงงอ่ะค่ะ ยังไม่ได้ชนอะไรเลย ในใจภาวนาว่าอย่าให้เป็นอะไรเลยนะ พระรอดช่วยด้วย มีพระอยู่นี่ อืมมมมมม!....ขอให้พระรอดช่วยไปแล้วทีนึง…หลังจากนั้นเราจึงมุ่งหน้าไปโรงเรียน ไม่ได้ไปเรียนนะคะ เขาใช้เป็นสถานที่ในการจับใบดำใบแดงเฉยๆ เฮ้อออออ นี่ขนาดยังไม่ไปไม่ถึงที่นะเนี่ยชีวิตยังลำไยได้ขนาดนี้แล้วอีกหน่อยแมร่งจะขนาดไหน?
            ถึงแล้วววววววววววววววววว คนเยอะมากๆเป็นสิ่งเดียวที่คิดได้เมื่อมาถึงทั้งชายหนุ่มวัยรุ่นนับพันคนที่มาคัดเลือกทหารเทียบสัดส่วนประมาณ มาคัดเลือกทหาร 1 คน มีญาติมาอีก 5 คน ได้ บวกลบคูณหารแล้วก็ประมาณ 5 พันคนไปแล้ว จริงๆการมาคัดเลือกทหารก็เหมือนงานคืนสู่เหย้าดีๆนี่เอง เพราะเราจะได้เจอเพื่อนนอนกินนมสมัยอนุบาล เพื่อนกระโดดยางสมัยประถม เพื่อนเล่นจับนมสมัยมัธยม และเพื่อนที่เคย…สมัยมหาวิทยาลัย 555+ เติมกันเอาเองนะคะ เราทักทายกับทุกคนแบบชนิดที่ต้องถามว่าเจ็บคอป่ะ? เพราะตะโกนเสียงใส่กันไม่หยุดหย่อนเลย เสียงแหบไปตามๆกัน จากนั้นเราก็รอเวลาสำหรับคนที่จะจับใบดำใบแดงซึ่งจะเริ่มในช่วงบ่าย ส่วนตอนเช้าเป็นของคนที่มาผ่อนผัน
ฉันเหลือบมองดูนาฬิกา เอิ่มมมมม เพิ่ง 7 โมง 43 นาทีเอง แล้วเวลาที่เหลือจะทำอะไรดีละนิ เราก็เลยเรียกรวมเพื่อนสมัยมัธยมมานั่งรวมกลุ่มเม้ามอยท์กันถึงเรื่องอดีตเก่าๆที่ผ่านมาและเรื่องงานในอนาคตมันทั้งสนุกและอบอุ่นจริงๆจนลืมไปเลยว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงจะมีบางสิ่งกำลังรอตัดสินชะตาชีวิตเธออยู่
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่