ไขคดีหัวใจ...ใต้มนต์จันทร์ ตอนที่ ๒๐ - ตอนที่ ๒๑

ตอนเก่า



ไขคดีหัวใจ...ใต้มนต์จันทร์


ตอนที่ 20


      ในยามค่ำคืน สะพานแห่งนี้สวยงามเหมือนภาพวาด ด้วยสถาปัตยกรรมโครงสร้างที่สง่าผ่าเผยตระหง่านอยู่เบื้องหน้าท้องฟ้าที่กระเจิงกับแสงจันทร์จนกลายเป็นสีน้ำเงินปนเทา แม่น้ำเจ้าพระยาสีดำสนิทดูลึกลับสะท้อนเงาของตัวสะพานผสมกับแสงไฟสีส้มจนเกิดเป็นเกลียวสีที่สลับซับซ้อนราวกับถูกศิลปินตวัดพู่กันระบาย

    เกวลินยืนอยู่กลางสะพาน ขณะที่นัยน์ตาคมสวยมองลงไปยังสวนสาธารณะเบื้องล่าง บรรยากาศเงียบเชียบและเปียกชื้น ความคิดของนักสืบสาวหมกมุ่นต่อบางสิ่งที่ยังไม่แน่ใจ สมมติฐานเดิมผุดขึ้นมาอีกครั้งในความคิด

    ถ้าหล่อนลองกระโดดลงไปอะไรๆ ในชีวิตจะง่ายขึ้นหรือไม่หนอ

    เหมือนกระทำในสิ่งที่ถูกโปรแกรมเอาไว้เสร็จสรรพ นักสืบสาวปีนขึ้นขอบสะพานอีกครั้งด้วยความมุ่งหมายจะกระโดดลงไป หากคราวนี้หล่อนกลับรู้ตัวเสียก่อนว่ากำลังสวมรองเท้าส้นสูงของชนมนจึงทำให้ปีนได้ไม่ถนัด แม้จะยังไม่แน่ใจอยู่เช่นเดิมว่ารองเท้าแบรนด์เนมราคาแพงคู่นี้มาสวมอยู่บนเท้าของหล่อนได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ มันช่วยชีวิตหล่อนไว้

    เกวลินค่อยๆ ปีนกลับลงมา

    ก่อนที่จากนั้น ร่างสูงโปร่งก็มาปรากฏอยู่เบื้องหลังอีกเช่นเคย ความทรงจำของหญิงสาวคับคล้ายคับคลาว่าคราวก่อนเขาแค่ยืนอยู่ห่างๆ หากคราวนี้กลับเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น

    “คุณลิน” เขาร้องเรียก นัยน์ตาคู่เล็กมองมาด้วยแววจริงใจจนดูน่าหวาดระแวง เกวลินถอยกรูดจนบั้นท้ายแนบชิดกับราวสะพาน

    “ผู้หมวด...” เกวลินเอ่ยเรียกชื่อเขาด้วยเสียงสั่นๆ “คุณมาทำอะไรคะ”     

    “ผมชอบคุณ”

    พูดจบ ร่างสูงก็โผเข้ามาใกล้โดยไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับรวบร่างของหญิงสาวไว้ให้อยู่หมัดในอ้อมกอด เกวลินพยายามดิ้นแต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้ ร่างบางถูกยกสูงขึ้น จากนั้นผู้ที่มีแรงเหนือกว่าจับร่างบางโยนลงมาจากสะพานอย่างง่ายดาย

    เกวลินดิ่งร่วงลงสู่พื้นสวนสาธารณะเบื้องล่าง พยายามจะกรีดร้องแต่ร้องไม่ออก ใจเริ่มสั่นหวีดหวิว มองขึ้นไปเห็นนัยน์ตาคู่เล็กมองลงมาด้วยแววจริงใจเช่นเคย ทั้งที่เขาเพิ่งจะโยนหล่อนลงมาแท้ๆ จากนั้นความคิดของหญิงสาวก็ปั่นป่วนอยู่กับเรื่องเดิมๆ ว่าหล่อนจะตายเมื่อร่างกระแทกพื้น หรือจะหัวใจวายตายกลางอากาศ!


***



      เกวลินเกือบจะร่วงลงจากเก้าอี้โต๊ะทำงานถ้าหากหล่อนสะดุ้งตื่นช้ากว่านี้อีกแค่วินาทีเดียว นักสืบสาวรีบทรงตัวและดึงตัวเองกลับมาอยู่ในโลกความจริง นาฬิกาที่ติดไว้บนผนังออฟฟิศบอกเวลาสิบโมงครึ่ง

    “ริบบิ้น...ขอกาแฟให้พี่อีกแก้วสิ” นักสืบสาวเดินสะโหลสะเหลออกไปสั่งเด็กสาวที่นั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ริบบิ้นทำหน้างงเล็กน้อยเพราะเห็นลูกพี่เพิ่งจะขอกาแฟไปเมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้า เกวลินอึดอัดที่อีกฝ่ายไม่กล้าถาม จึงอธิบายออกไปให้จบๆ “วันนี้พี่ง่วงน่ะ เมื่อคืนไม่ได้นอน”

    “งั้นพี่ลินก็หลับสักงีบดีกว่าไหมคะ”

    นี่แหละริบบิ้น เรื่องที่ควรจะกล้าถามกลับไม่กล้า แต่มักจะชอบออกความเห็นที่ไม่จำเป็นเสมอ

    “กาแฟสองช้อนเลยนะ แก้วนี้ไม่ต้องใส่ครีม” เกวลินตัดบทพร้อมกับเดินเข้ามาในห้องทำงานอีกครั้ง หญิงสาวทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้เอน รู้สึกตึงๆ ที่หัวจนต้องใช้สองมือนวดขมับเบาๆ นอกจากระบบการทำงานของสมองจะแปรปรวนขึ้นมาจากความฝันประหลาดแล้ว ร่างกายก็ยังอ่อนเพลียอย่างบอกไม่ถูกอีกด้วย นักสืบสาวหวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวานซึ่งเป็นต้นตอของความวายป่วงในความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนี้

    ‘คุณลินครับ ผมชอบคุณ’

    เพราะประโยคบ้าๆ ที่หลุดออกมาจากปากของเขานี่เองคือตัวการสำคัญ ในขณะที่ปฏิกิริยาที่หล่อนมีให้เขาก็คือการเดินหนี แม้ว่าตอนนั้นทุกอย่างมันจะอื้ออึงไปหมดในความรู้สึก แต่เกวลินก็พอจะจำได้ว่าเขาพยายามร้องเรียกเพื่อรั้งหล่อนไว้ แต่หล่อนไม่แยแส รีบวิ่งไปที่รถ ก่อนจะมุ่งหน้าขับกลับคอนโดฯ เขาพยายามโทรหาอยู่หลายครั้ง หล่อนก็ตัดสายทิ้งเสีย จากนั้นก็นอนไม่หลับจนถึงเช้า แล้วก็พาตัวเองมาที่ออฟฟิศทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรทำ เปิดหาข้อมูลเกี่ยวกับคดีของชนมนดูไปเรื่อยๆ จนในที่สุดร่างกายก็ประท้วงโดยการเผลอหลับคาโต๊ะ แล้วก็ฝันถึงสะพานวงแหวนอุตสาหกรรมเป็นครั้งที่สาม

    เรื่องราวในฝันคล้ายเดิมเพียงแต่มีรายละเอียดที่เพิ่มเติมขึ้นมา แต่สุดท้ายความฝันจะจบด้วยร่างของหล่อนร่วงลงจากสะพานเช่นเดียวกับทุกครั้ง... คล้ายกับชะตากรรมของชนมน เกียรติวงศ์เทวา

    ขณะที่ใจยังสั่นด้วยภาพความฝันที่ยังสลัดไม่หลุด ประโยคตัวปัญญาที่หลุดออกมาจากปากเขาทั้งในโลกความจริงและความฝันดังซ้ำวนเวียนอยู่ในสมอง เกวลินแทบจะคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แถมเบอร์ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก็ระบุชัดเจนว่าใครโทรมา

    โชคดีที่ริบบิ้นเปิดประตูเข้ามาเพื่อเอากาแฟมาเสิร์ฟให้หล่อนพอดี

    “ริบบิ้น... ช่วยรับสายให้พี่หน่อย บอกผู้หมวดเขาไปว่าพี่กำลังคุยงานกับลูกค้า” เกวลินจึงรีบส่งโทรศัพท์มือถือที่กำลังมีสายเข้าให้เด็กสาวจัดการ ขณะที่ริบบิ้นขมวดคิ้วมองห้องทำงานที่ปราศจากลูกค้าสลับกับมองหน้าของเกวลินอย่างไม่เข้าใจ นักสืบสาวแสร้งทำเป็นไม่สน ลุกขึ้นหยิบแก้วกาแฟจากมือของเด็กสาวพร้อมกับส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายออกไปรับสายข้างนอก จากนั้นก็ปิดประตูห้องทำงาน ล็อคกลอนอย่างแน่นหนา ราวกับประสงค์ซ่อนตัวเอง

    “ค่ะผู้หมวด พี่ลินคุยกับลูกค้าอยู่ไม่ว่างรับสายค่ะ มีอะไรฝากไว้ไหมคะ”

    ในจังหวะที่ได้ยินเสียงริบบิ้นพูดสายกับผู้หมวดตามสคริปต์ที่สั่งการเอาไว้อยู่นั้น สถานการณ์เก่าๆ ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตก็ย้อนวาบเข้ามาในความทรงจำ เพื่อตอบคำถามที่ว่าเหตุใดหล่อนจึงวิ่งหนีเขา และเหตุใดถึงไม่รับสายคุยกับเขาให้รู้เรื่องรู้เรื่องราว ความทรงจำของหญิงสาวขุดเอาเรื่องทำนองนี้ที่เคยเกิดขึ้นมาในชีวิตมาแล้วทั้งสิ้น... สี่ครั้งเป็นอย่างต่ำ

    ครั้งแรก ในวันวาเลนไทน์เมื่อราวๆ สิบปีก่อน หนุ่มน้อยหน้าใสคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนนิสิตร่วมคณะเอาดอกกุหลาบสีขาวมามอบให้หล่อนพร้อมด้วยเรียงความหนึ่งหน้ากระดาษที่บรรยายความรู้สึกพิเศษ เกวลินในวัยย่างสิบเก้าอ่านข้อความเหล่านั้นแล้วก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะตลอดหนึ่งปีที่รู้จักกัน เขาคุยกับหล่อนแบบนับคำได้ แต่ทำไมกลับเขียนอะไรได้ยาวขนาดนั้น เกวลินจึงเอาดอกไม้ไปคืนพร้อมกับปฏิเสธเขาไปด้วยเหตุผลที่ว่าเขาไม่น่าจะใช่เสปกของหล่อน

    ครั้งที่สอง ช่วงเรียนจบใหม่ๆ หลังรับปริญญาได้ไม่กี่เดือน น้ำหวานเพื่อนในกลุ่มแนะนำเพื่อนชายคนหนึ่งให้รู้จัก เขาเป็นครีเอทีฟโฆษณาในเอเจนซี่ชั้นนำ รูปหล่อ แพรวพราว การงานก้าวหน้า และกำลังจะไปหาประสบการณ์ที่นิวยอร์ก เขาน่าจะเป็นคนแรกที่ขโมยหัวใจเกวลินไปได้เยอะที่สุด อย่างไรก็ตาม เขาบอกชอบหล่อนก่อนจะเดินทางไปนิวยอร์กไม่กี่วัน เกวลินในวัยยี่สิบสองไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่งว่าคุยกันมาตั้งนานทำไมเพิ่งมาบอกชอบเอาตอนที่กำลังจะจากไป หญิงสาวจึงยอมกล้ำกลืนปฏิเสธเขาไปด้วยเหตุผลที่ว่า หล่อนคงไม่อาจวางใจคบหากับคนที่อยู่ไกลเกินซีกโลกได้หรอก

    ครั้งที่สาม หลังจากที่หมดตัวจากการทำธุรกิจร้านขายของ เกวลินเดินคอตกเข้ามาเป็นพนักงานในบริษัทรับสืบทวงหนี้ วัยวุฒิของหล่อนย่างเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ฝันเฟื่องน้อยลงและยอมจำนนมากขึ้น เพื่อนของเจ้านายซึ่งเป็นซีอีโอหนุ่มใหญ่พ่อม่ายเรือพ่วงกลับแสดงความสนใจในตัวหล่อนอย่างออกนอกหน้า เขาดูภูมิฐาน ฉลาด และร่ำรวย ด้วยอายุของเขาที่ไม่น้อยแล้ว เขาจึงค่อนข้างเร่งรัดอยู่พอสมควร เขาพยายามจะพูดให้เกวลินเชื่อมั่นอยู่ตลอดว่าถึงแม้หล่อนจะไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกของเขา แต่หล่อนก็อาจเป็นผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดได้ เกวลินในวัยยี่สิบห้าแอบเคลิ้มอยู่ในตอนแรก แต่พอมาคิดสะระตะอีกทีก็ติดขัดอยู่ไม่น้อย หล่อนจะเป็นผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดได้อย่างไร เมื่อตราบใดที่เขายังมีลูกสาวซึ่งเกิดจากภรรยาเก่าอยู่ทั้งคน เกวลินจึงตัดใจปฏิเสธเขาไปด้วยเหตุผลที่ว่า... หล่อนยังไม่พร้อมจะมีครอบครัว

    และครั้งที่สี่ เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว เกวลินเป็นนักสืบชู้สาวเต็มตัว ชีวิตในวัยก่อนสามสิบกำลังก้าวหน้าและไปได้สวยทั้งในเรื่องการงานและทัศนคติ คราวนี้หนุ่มครีเอทีฟคนเดิมเพิ่งกลับมาจากนิวยอร์ก หล่อนกับเขาได้เจอกันอีกครั้ง เขาหล่อน้อยลง แต่ยังมีความรู้สึกพิเศษที่มอบให้หล่อนอยู่เสมอ เกวลินในวัยยี่สิบเจ็ดมีภูมิต้านทานจนไม่รู้สึกรู้สากับถ้อยคำหวานๆ อีกแล้ว ยิ่งรวมเข้ากับข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเพิ่งอกหักจะเป็นจะตายจากแฟนสาวที่คบกันตอนอยู่ที่โน่น เกวลินก็ยิ่งรู้สึกสมเพชทั้งเขาและตัวเอง เขาเพียงหาที่พักใจ ไม่ใช่ความรู้สึกพิเศษ เกวลินจึงปฏิเสธเขาไปด้วยเหตุผลที่ว่า หล่อนไม่สนใจจะมีความรักอีกแล้ว

      ถ้ารวมเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ก็คงจะนับเป็นครั้งที่ห้า...  อันที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องของการเล่นตัว แต่มันเป็นเรื่องของจุดยืน คนเราสมัยนี้บอกชอบกันง่ายเกินไปอย่างไร้เหตุผล แต่ให้ตายเถอะ นักสืบสาวรู้สึกว่าสี่ครั้งที่ผ่านมาไม่ยากเหมือนครั้งนี้ ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ถ้าร้อยตำรวจโทชงคมเป็นคนหยาบคายและนิสัยแย่กว่านี้สักนิดก็ง่ายขึ้นมาก

    ก๊อกๆๆ

    ริบบิ้นเคาะประตู เมื่อนั้นความคิดของเกวลินจึงสะดุดลง ริบบิ้นเดินเอามือถือมาคืนด้วยสีหน้ากะลิ้มกะเหลี่ย  

    “ผู้หมวดชงคมฝากบอกว่าถ้าพี่ลินว่างแล้ว โทรกลับหาเขาหน่อยนะคะ”

    “โอเค” นักสืบสาวพยายามจะเก็บซ่อนทุกอาการที่อาจจะแสดงออกผ่านสีหน้าไปโดยไม่รู้ตัว แล้ววกเข้ามาถามเรื่องงานที่หล่อนฝากให้ริบบิ้นจัดการในช่วงเช้า “อ่อ...แล้วข้อมูลของคุณรัมภาที่พี่ให้หาเพิ่มน่ะ เรียบร้อยไหม”

    “หนูส่งเข้าอีเมลพี่ลินแล้วค่ะ” ริบบิ้นตอบ “หรือจะให้หนูปริ้นท์ออกมาให้ไหมคะ”

    “ไม่เป็นไร ออกไปได้ละ”

    แต่ก่อนจะออกไปริบบิ้นก็ยังไม่วายยิ้มแล้วเอ่ยแทรกขึ้นมาอีก

    “แต่แหม ดูจากน้ำเสียงของผู้หมวดแล้ว หนูว่าเขาอยากจะให้พี่ลินโทรกลับใจจะขาดเลยนะคะ”

    “ถ้ายังไม่มีอะไรทำงั้นพี่ขอข้อมูลของนายราพณ์และคุณอรอุมาด้วย” เกวลินพูดพลางตวัดสายตาที่สื่อสารเป็นคำพูดได้ว่า อย่าล้ำเส้น! ไปให้ริบบิ้น เด็กสาวจึงหุบยิ้มแล้วรีบก้มหน้าเดินหนีออกจากห้องทันที
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่