วิธีนี้อาจจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นฐานในระดับค่อนมาทางปานกลางจนถึงเกือบดีนะครับ แต่สำหรับท่านที่กำลังอยู่ในขั้นพัฒนาฝึกฝนตนเองอยู่ก็ก็นำไปปรับใช้ได้เช่นกันครับผม
ขออนุญาตเล่าภูมิหลังด้านภาษาอังกฤษของผมคร่าว ๆ ก่อนนะครับ อนึ่ง ผมไม่ได้มีเจตนาจะโอ้อวดแต่อย่างใด เพียงแค่อยากให้เพื่อน ๆ เข้าใจปัญหาที่ผมพบเจอครับ
ตั้งแต่เด็กเป็นต้นมา ผมเป็นคนที่สอบภาษาอังกฤษได้เกรด 4 มาโดยตลอดครับ พอเข้ามหาวิทยาลัยตอนปี 1 ก็มีวิชาภาษาอังกฤษให้เรียนเพิ่มเทอมละตัว ก็ได้ A มาทั้ง 2 ตัว หากดูเผิน ๆ อาจจะดูเป็นคนเก่งภาษาอังกฤษใช่ไหมครับ เก่งจริงครับแต่แค่ในตำรานะครับ 55555 แต่จริง ๆ แล้วเชื่อไหมครับ... จนกระทั่งผมอยู่มหาวิทยาลัยระดับปีสาม ผมแทบพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยครับ
คำว่าพูดไม่ได้ของผมนั้น ผมหมายความว่าผมไม่สามารถสื่อสารในระดับที่ควรจะเป็นได้ เช่น ผมยังตะกุกตะกักมีความไม่มั่นใจในการเลือกใช้ Tense อยู่มาก เหมือนเรามีความไม่มั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษเลย บางครั้งก็นึกนานจนคนถามแทบจะลืมไปแล้วว่าถามอะไร ประมาณนี้ครับ คือพอสื่อสารได้ พูดได้เป็นคำ ๆ พอเป็นประโยคจะดูแปลก ๆ ไม่ค่อยสมบูรณ์ คือยังไม่ใช่ในระดับที่ควรจะเป็น ผมเลยคิดว่าผมควรจะหาวิธีการเรียนแบบใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่การเรียน Grammar (จะท่องจำหรือเข้าใจก็ตามแต่) เพื่อไปสอบเพียงอย่างเดียว
วิธีการที่ผมใช้ง่ายมากครับ ไม่ต้องลงทุนเป็นตัวเงินมากมาย แต่อาจจะต้องลงแรงและเวลาบ้างนะครับ
1. ผมใช้ Flashcard เพื่อเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ
ผมกำหนดไว้เลยครับว่าในแต่ละวันผมต้องเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ 10 คำ (บางวันงานเยอะก็ขี้เกียจข้ามไปบ้างก็มี แต่ที่สำคัญคือต้องกลับมาทำให้ได้ในวันถัดไปนะครับ ฮ่าๆ) Flashcard ผมก็ทำเองครับ ซื้อกระดาษมาตัดแล้วเจาะรู แล้วก็ร้อยห่วงเข้าไป ทำเป็นเซ็ต เซ็ตละ 100 คำ ด้านหน้า Flashcard เขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เราไม่เข้าใจเอาไว้ ส่วนด้านหลังผมเขียนคำแปลเป็นอังกฤษพร้อมประโยคตัวอย่าง ทางที่ดีควรแต่งประโยคให้มีเนื้อหาเชื่อมโยงกับชีวิตของเรานะครับ จะได้จำง่าย ๆ
หากถามว่าผมเอาคำศัพท์มาจากไหน ผมจะบอกว่ามันมีอยู่ทุกที่ครับ เช่น เวลาเล่น facebook เห็นใครแชร์อะไรที่น่าสนใจเป็นภาษาอังกฤษ ก็กดเข้าไปอ่านเข้าไปดูบ้างครับ นอกจากนี้ผมยังกดไลค์เพจพวก business insider, tech insider, BBC อะไรทำนองนี้ครับ (หรือใครชอบดารานักร้องต่างประเทศ, กีฬาหรืออะไรก็แล้วแต่ที่โพสต์เนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษ ก็กดไลค์เพจนั้น ๆ ได้ชอบเลยครับ จะได้มีเนื้อหาภาษาอังกฤษให้อ่านบ่อย ๆ) เวลาเจอคำไหนไม่เข้าใจแต่ดูท่าทางแล้วควรจะรู้ ผมก็เอามาทำ Flashcard ครับ (ผมไม่ได้จดทุกคำที่ไม่รู้นะครับ ผมเลือกแค่บางคำที่ดูคุ้น ๆ แต่ผมไม่รู้ความหมาย หรือดูคำที่น่าสนใจ น่าใช้งาน ส่วนเกณฑ์ในการเลือกไม่มีครับ ผมเอาตามความพอใจ ฮ่า ๆ) หรือไม่ผมก็กดเข้าไปอ่านข่าวที่น่าสนใจจาก BBC เลยครับ จากแอพมือถือก็ได้ สมัยนี้คงใช้ smart phone กันแทบทุกคนอยู่แล้ว
วิธีการนี้อาจดูยุคหินไปสักหน่อยแต่มันทรงพลังเหลือเชื่อนะครับ เพราะเราพก Flashcard ไปกับตัวเราได้ทุกที่ ทบทวนได้ทุกเมื่อที่เราต้องการ อยู่ที่ว่าเราต้องการมันบ่อยแค่ไหนเท่านั้นครับ 55555
2. ฝึกทักษะการฟังจาก BBC 6 minutes English
BBC 6 minutes English เป็นรายการความยาว 6 นาทีที่จะพูดเนื้อหาที่แตกต่างกันไปในแต่ละตอน ด้วยความยาวรายการที่ยาวแค่ 6 นาทีตามชื่อรายการ ทำให้รายการดูไม่น่าเบื่อ อีกทั้งพิธีกรในรายการยังพยายามสอดแทรกมุขตลกเข้าไปบ้างครับ ทำให้รายการดูมีสีสันอยู่บ้างพอควรครับ ข้อดีอีกอย่างของรายการนี้คือการพูดที่ค่อนข้างชัดเจนครับ อีกทั้งยังมีการสอดแทรกความรู้รอบตัวและคำศัพท์อังกฤษใหม่ ๆ เข้าไปบ้าง ผมฟังรายการนี้ตลอดเลยครับเวลารอเพื่อนที่มาสายเวลานัด, รอรถเมล์, รอรถไฟฟ้า, นั่งในรถไฟฟ้า, เวลาที่ต้องนั่งกินข้าวคนเดียว, เวลาเดินกลับบ้าน ฯลฯ เอาเป็นว่าผมฟังแทบทุกเวลาที่มีโอกาสครับ โดยรายการนี้สามารถรับฟังได้ทางแอพ Podcast ของ iPhone ฟรีครับ ส่วนสาวก Android ผมไม่แน่ใจว่ามีเหมือนกันหรือเปล่า
3. ฝึกการพูดโดยการพูดคนเดียวในห้องน้ำ
ใช่ครับ ผมไม่ได้พิมพ์ผิดและผมไม่ได้บ้าด้วย 55555 ตอนแรก ๆ ผมมีอาการที่ผมเรียกว่า ปากแข็ง ครับ คือ พูดภาษาอังกฤษไม่ออกเลย ผมก็เลยลองพูดคนเดียวในห้องน้ำ โดยเนื้อหาที่พูดก็คิดสดตอนนั้นเลยครับ ไม่ได้ตระเตรียมมาก่อน พูดผิดบ้างถูกบ้างก็ช่างมันครับ ผมขอความคล่องไว้ก่อน ผมคิดว่าถ้าใจความหลักที่เราต้องการจะสื่อนั้นโอเค ถ้าหาก Grammar ผิดไปบ้างก็คงไม่เป็นไร เพราะคู่สนทนาเค้าจะพยายามฟังเราอย่างเต็มที่อยู่แล้วครับ ส่วนจะพูดเรื่องอะไรนั้นพอดีช่วงนั้นผมเตรียมสอบ IELTS ด้วยครับ ผมเลยไปดูว่าเค้าชอบถามคำถามอะไรในส่วน Speaking หัวข้อก็ประมาณนี้ครับ
- สถานที่ท่องเที่ยวที่อยากไปมากที่สุด
- ความทรงจำที่ดีในวัยเด็ก
- กีฬาที่ชอบเล่น
- ครอบครัว พี่น้อง
อะไรทำนองนี้ครับ ผมพยายามฝึกพูดอะไรที่ใกล้ ๆ ตัวไว้ก่อน เพราะผมต้องการฝึกความคล่องเป็นหลัก ผมคิดว่าการเอาชนะอาการปากแข็งเป็นเรื่องสำคัญมากครับในการพูดภาษาอังกฤษ หากผ่านช่วงนี้ไปได้แล้ว ช่วงหลัง ๆ เราจะพูดได้แบบไม่ต้องฝืนเลยครับ
หลัก ๆ ผมก็ฝึกประมาณนี้แหละครับผม ทุกวันนี้ผมมาเรียนป.โท ที่เยอรมัน หลักสูตรภาษาอังดฤษ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าภาษานั้นต้องพัฒนาอยู่ตลอดครับ ทุกวันนี้พูดคล่องขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ในระดับที่น่าพอใจ ใครลองนำไปใช้แล้วได้ผลยังไงมาบอกกันบ้างนะครับ
แบ่งปันวิธีฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองที่ผมลองแล้วได้ผลครับ
ขออนุญาตเล่าภูมิหลังด้านภาษาอังกฤษของผมคร่าว ๆ ก่อนนะครับ อนึ่ง ผมไม่ได้มีเจตนาจะโอ้อวดแต่อย่างใด เพียงแค่อยากให้เพื่อน ๆ เข้าใจปัญหาที่ผมพบเจอครับ
ตั้งแต่เด็กเป็นต้นมา ผมเป็นคนที่สอบภาษาอังกฤษได้เกรด 4 มาโดยตลอดครับ พอเข้ามหาวิทยาลัยตอนปี 1 ก็มีวิชาภาษาอังกฤษให้เรียนเพิ่มเทอมละตัว ก็ได้ A มาทั้ง 2 ตัว หากดูเผิน ๆ อาจจะดูเป็นคนเก่งภาษาอังกฤษใช่ไหมครับ เก่งจริงครับแต่แค่ในตำรานะครับ 55555 แต่จริง ๆ แล้วเชื่อไหมครับ... จนกระทั่งผมอยู่มหาวิทยาลัยระดับปีสาม ผมแทบพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยครับ
คำว่าพูดไม่ได้ของผมนั้น ผมหมายความว่าผมไม่สามารถสื่อสารในระดับที่ควรจะเป็นได้ เช่น ผมยังตะกุกตะกักมีความไม่มั่นใจในการเลือกใช้ Tense อยู่มาก เหมือนเรามีความไม่มั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษเลย บางครั้งก็นึกนานจนคนถามแทบจะลืมไปแล้วว่าถามอะไร ประมาณนี้ครับ คือพอสื่อสารได้ พูดได้เป็นคำ ๆ พอเป็นประโยคจะดูแปลก ๆ ไม่ค่อยสมบูรณ์ คือยังไม่ใช่ในระดับที่ควรจะเป็น ผมเลยคิดว่าผมควรจะหาวิธีการเรียนแบบใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่การเรียน Grammar (จะท่องจำหรือเข้าใจก็ตามแต่) เพื่อไปสอบเพียงอย่างเดียว
วิธีการที่ผมใช้ง่ายมากครับ ไม่ต้องลงทุนเป็นตัวเงินมากมาย แต่อาจจะต้องลงแรงและเวลาบ้างนะครับ
1. ผมใช้ Flashcard เพื่อเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ
ผมกำหนดไว้เลยครับว่าในแต่ละวันผมต้องเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ 10 คำ (บางวันงานเยอะก็ขี้เกียจข้ามไปบ้างก็มี แต่ที่สำคัญคือต้องกลับมาทำให้ได้ในวันถัดไปนะครับ ฮ่าๆ) Flashcard ผมก็ทำเองครับ ซื้อกระดาษมาตัดแล้วเจาะรู แล้วก็ร้อยห่วงเข้าไป ทำเป็นเซ็ต เซ็ตละ 100 คำ ด้านหน้า Flashcard เขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เราไม่เข้าใจเอาไว้ ส่วนด้านหลังผมเขียนคำแปลเป็นอังกฤษพร้อมประโยคตัวอย่าง ทางที่ดีควรแต่งประโยคให้มีเนื้อหาเชื่อมโยงกับชีวิตของเรานะครับ จะได้จำง่าย ๆ
หากถามว่าผมเอาคำศัพท์มาจากไหน ผมจะบอกว่ามันมีอยู่ทุกที่ครับ เช่น เวลาเล่น facebook เห็นใครแชร์อะไรที่น่าสนใจเป็นภาษาอังกฤษ ก็กดเข้าไปอ่านเข้าไปดูบ้างครับ นอกจากนี้ผมยังกดไลค์เพจพวก business insider, tech insider, BBC อะไรทำนองนี้ครับ (หรือใครชอบดารานักร้องต่างประเทศ, กีฬาหรืออะไรก็แล้วแต่ที่โพสต์เนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษ ก็กดไลค์เพจนั้น ๆ ได้ชอบเลยครับ จะได้มีเนื้อหาภาษาอังกฤษให้อ่านบ่อย ๆ) เวลาเจอคำไหนไม่เข้าใจแต่ดูท่าทางแล้วควรจะรู้ ผมก็เอามาทำ Flashcard ครับ (ผมไม่ได้จดทุกคำที่ไม่รู้นะครับ ผมเลือกแค่บางคำที่ดูคุ้น ๆ แต่ผมไม่รู้ความหมาย หรือดูคำที่น่าสนใจ น่าใช้งาน ส่วนเกณฑ์ในการเลือกไม่มีครับ ผมเอาตามความพอใจ ฮ่า ๆ) หรือไม่ผมก็กดเข้าไปอ่านข่าวที่น่าสนใจจาก BBC เลยครับ จากแอพมือถือก็ได้ สมัยนี้คงใช้ smart phone กันแทบทุกคนอยู่แล้ว
วิธีการนี้อาจดูยุคหินไปสักหน่อยแต่มันทรงพลังเหลือเชื่อนะครับ เพราะเราพก Flashcard ไปกับตัวเราได้ทุกที่ ทบทวนได้ทุกเมื่อที่เราต้องการ อยู่ที่ว่าเราต้องการมันบ่อยแค่ไหนเท่านั้นครับ 55555
2. ฝึกทักษะการฟังจาก BBC 6 minutes English
BBC 6 minutes English เป็นรายการความยาว 6 นาทีที่จะพูดเนื้อหาที่แตกต่างกันไปในแต่ละตอน ด้วยความยาวรายการที่ยาวแค่ 6 นาทีตามชื่อรายการ ทำให้รายการดูไม่น่าเบื่อ อีกทั้งพิธีกรในรายการยังพยายามสอดแทรกมุขตลกเข้าไปบ้างครับ ทำให้รายการดูมีสีสันอยู่บ้างพอควรครับ ข้อดีอีกอย่างของรายการนี้คือการพูดที่ค่อนข้างชัดเจนครับ อีกทั้งยังมีการสอดแทรกความรู้รอบตัวและคำศัพท์อังกฤษใหม่ ๆ เข้าไปบ้าง ผมฟังรายการนี้ตลอดเลยครับเวลารอเพื่อนที่มาสายเวลานัด, รอรถเมล์, รอรถไฟฟ้า, นั่งในรถไฟฟ้า, เวลาที่ต้องนั่งกินข้าวคนเดียว, เวลาเดินกลับบ้าน ฯลฯ เอาเป็นว่าผมฟังแทบทุกเวลาที่มีโอกาสครับ โดยรายการนี้สามารถรับฟังได้ทางแอพ Podcast ของ iPhone ฟรีครับ ส่วนสาวก Android ผมไม่แน่ใจว่ามีเหมือนกันหรือเปล่า
3. ฝึกการพูดโดยการพูดคนเดียวในห้องน้ำ
ใช่ครับ ผมไม่ได้พิมพ์ผิดและผมไม่ได้บ้าด้วย 55555 ตอนแรก ๆ ผมมีอาการที่ผมเรียกว่า ปากแข็ง ครับ คือ พูดภาษาอังกฤษไม่ออกเลย ผมก็เลยลองพูดคนเดียวในห้องน้ำ โดยเนื้อหาที่พูดก็คิดสดตอนนั้นเลยครับ ไม่ได้ตระเตรียมมาก่อน พูดผิดบ้างถูกบ้างก็ช่างมันครับ ผมขอความคล่องไว้ก่อน ผมคิดว่าถ้าใจความหลักที่เราต้องการจะสื่อนั้นโอเค ถ้าหาก Grammar ผิดไปบ้างก็คงไม่เป็นไร เพราะคู่สนทนาเค้าจะพยายามฟังเราอย่างเต็มที่อยู่แล้วครับ ส่วนจะพูดเรื่องอะไรนั้นพอดีช่วงนั้นผมเตรียมสอบ IELTS ด้วยครับ ผมเลยไปดูว่าเค้าชอบถามคำถามอะไรในส่วน Speaking หัวข้อก็ประมาณนี้ครับ
- สถานที่ท่องเที่ยวที่อยากไปมากที่สุด
- ความทรงจำที่ดีในวัยเด็ก
- กีฬาที่ชอบเล่น
- ครอบครัว พี่น้อง
อะไรทำนองนี้ครับ ผมพยายามฝึกพูดอะไรที่ใกล้ ๆ ตัวไว้ก่อน เพราะผมต้องการฝึกความคล่องเป็นหลัก ผมคิดว่าการเอาชนะอาการปากแข็งเป็นเรื่องสำคัญมากครับในการพูดภาษาอังกฤษ หากผ่านช่วงนี้ไปได้แล้ว ช่วงหลัง ๆ เราจะพูดได้แบบไม่ต้องฝืนเลยครับ
หลัก ๆ ผมก็ฝึกประมาณนี้แหละครับผม ทุกวันนี้ผมมาเรียนป.โท ที่เยอรมัน หลักสูตรภาษาอังดฤษ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าภาษานั้นต้องพัฒนาอยู่ตลอดครับ ทุกวันนี้พูดคล่องขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ในระดับที่น่าพอใจ ใครลองนำไปใช้แล้วได้ผลยังไงมาบอกกันบ้างนะครับ