กระทู้นี่เขียนขึ้นเพื่อเล่าประสบการณ์การสัมภาษณ์วีซ่า ไว้เป็นตัวอย่างสำหรับผู้ที่ไม่เคยเข้าขอวีซ่าจากทางสถานฑูตอเมริกาและเป็นสิ่งที่ผมสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะเขียนกระทู้เพื่อประโยชน์ในด้านไหนก็ด้านหนึ่งกับผู้อ่านไม่ว่าสุดท้ายจะผ่านหรือไม่ผ่านสัมภาษณ์ // โอเค เริ่มกันเลยดีกว่า
การขอวีซ่าของผมเป็นประเภทท่องเที่ยวก็คือ B2 Visa แต่เลือกแบบประเภท B1/B2 การหาข้อมูลส่วนใหญ่ก็มาจากการอ่านการพันทิปเองนี่ละมีหลายกระทู้ที่มีประโยชน์มาก
เริ่มจากการกรอกข้อมูลในเว็บไซต์ของสถานทูตอเมริกาเอง ขั้นตอนนี้ค่อนข้างกรอกข้อมูลแบบรายละเอียดไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แต่ผมใช่เวลามาในการกรอกข้อมูลเรื่อง ชื่อหัวหน้าที่ทำงานเก่าพร้อมเบอร์โทร และ วันเข้าเรียน/วันจบการศึกษาสมัยมัธยมโน้นเลย
เมื่อกรอกข้อมูลเสร็จเรียบร้อยก็จะได้รับ “Visa Application (DS-160)” เข้ามาทางอีเมลล์(ปริ้นเก็บไว้เลย)......ต่อมาก็โอนตังค์ค่าธรรมเนียบไปสถานทูตอเมริกาหลังจากนั่น2-3วันเราจะสามารถเลือกวันเข้าสัมภาษณ์ได้ซึ่งก้ได้เลือกวันที่อังคารที่ 5 มกราคม 2559 รอบ 7.00 (เช้า)
ระหว่างก่อนวันสัมภาษณ์ก็เตรียมเอกสาร(อ่านเอาในพันทิปล้วนๆ)
1.Visa Application (DS-160)/Appointment Comfirment/ใบเสร็จการจ่ายเงินค่าธรรมเนียม
2.รูปถ่ายวีซ่า 2X2 2 รูป /สำเนาพาสปอร์ต/สำเนาวีซ่าอเมริกาที่เคยมี(ผมมีวีซ่าทำงานอยู่แล้ว)/สำเนาทะเบียนบ้าน/สำเนานบัตรประชาชน
3.ใบรับรองงานปัจจุบันฉบับภาษาอังกฤษ(โชคดีบริษัทที่ทำงาน ออก Apply for B2 visa ใหเด้วย)
4.แบงค์สเตทเม้นท์ สมุดบัญชีเงินเดือน
อีกหลายวันต่อมา วันที่ 5 มกราคม
ณ เวลา 05.15 ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวเส็ด ไปรอลง MRT 6.00กว่าๆ ทั้งตัวมีแค่มือถือ กระเป่ตังค์(มีเงินแค่320 บาท)และแฟ้มที่เก็บเอกสาร (เคยมีประสบการณ์ตอนไปขอวีซ่าทำงาน เอาเป้ใส่เอกสารไปแล้วเข้าสถานทูตไม่ได้ก็ต้องเอาเป้ไปฝากตลาดข้างๆ ตั้ง 100 บาทแพงมาก ครั้งนี้เลยเตรียมตัวดี) ลงMRT สีลมออกมาได้วิ่งมองหาห้องน้ำในสวนลุมพินีก่อนเลย(เกือบไม่ทัน) ต่อด้วยนั่งวินมอเตอร์ไซต์(40บาท)ไปสถานทูตอเมริกา
ลงจากมอเตอร์ไซต์วิ่งไปเข้าแถวหน้าสถานทูตโดยวิ่ง
“อะไรว่ะเนี้ย คนมารอต่อแถวก่อนเราเยอะเลย” ทั้งๆที่เรามาถึงก่อนเวลากว่าครึ่งชั่วโมง แล้วไปคนที่ต่อแถุวอยู่หน้าเราก็เป็นคนที่ได้คิดนัดสัมภาษณ์ 7.30 น.(เห็นจากเอกสารที่เขาถืออยู่--ไม่ได้ตั้งใจน่ะครับ)
ด่านแรก
พนักงานผู้หยิงร่างเล็กก็มาตรวจเอาสารเราเช็คกับรายชื่อที่มีนัดสัมภาษณ์ตามเวลา เขาจะขอดูDS-160พร้อมให้บัตรคิวกับเรา คนที่ต่อแถวก่อนหน้าก้จะเดินผ่านประตูเข้าไปในสถานทูตเรื่อยๆมองจากด้านนอกก็เห็นว่าภายในเป็นที่ฝากของและตรวจอาวุธอะไรประมาณนั้น ตลอดเวลาการรอเข้าประตูนั้นก็จะเห็นคนที่ไม่ผ่านการฝากของออกมาเรื่อยๆ(หมายถึงที่นี่รับฝากแค่มือถือหรือสิ่งของเล็กๆเท่านั้นถ้าใหญ่กว่านั้นอย่างเช่นกระเป่าเป้ก็ต้องออกไปหาที่ฝากของนอกสถานทูตเอาซึ่งแพงและทำให้เสียเวลากลับมาต่อแถวใหม่อีกครั้ง)
“ดีนะ เราเตรียมตัวมาดี ไม่เสียตังค์เสียเวลากับขั้นตอนนี้แน่นอน”คิดในใจ เมื่อถึงคิวผมเข้าประตูไปฝากมือถือเครื่องหนึ่งรอรับบัตรหมายเลขฝากของ “กล่องถ่ายรูปนี่ น้องต้องไปฝากด้านนอกน่ะน้อง”เอาแล้วไงผมเองก็แจงไปว่านี่คือมือถือครับพี่จริงๆน่ะ(samsung Galaxy4Zoom) แต่สุดท้ายก้ไม่มีหนักงานคนไหนเชื่อผม เดินออกจากประตูวิ่งหาที่ฝากของอีก(ตลาดข้างๆ) “บ้าจริงขนานผมเตรียมตัวมาดีแล้วน่ะเนี้ย ยังต้องมาเสียตังค์ค่าฝากมือถืออีกตั้ง 100 บาท” ผมวิ่งกลับเข้ามาต่อแถวใหม่รับคิวใหม่ เดินเข้าเกทตรวจอาวุธก้ไม่มีอะไรมาเหมือนกับด่านตรวจอาวุธตอนเข้า Gate ของสนามบิน
ด่านสอง
เดินเข้าไปบังคับเลี้ยวซ้ายเดินเข้าไปก็มีคนนั่งรอกันอยู่เยอะมากเหมือนนั่งรอเรียกชือซึ่งด้านหน้าเป็นบล็อกที่มีพนักงานสองคนนั่งอยู่หลังกระจกใส ผมเลยนั่งลงรอด้วยได้สักพักสังเกตเห็นเวลานัดคนข้างๆ 8.00 “เห้อผมมาอยู่ถูกที่ป่าวว่ะเราคิวนัด 7.00 น่ะเนีย เราช้าหรือเขามาเร็วไปว่ะ” ตัดสินใจเดินไปถามพนักงานหลังตู้กระจก “ผมมีนัด 7 โมงต้องนั่งรอตรงนั้นด้วยไหมครับ” พร้อมกับพนักงานอีกคนที่นั่งติดกันกับคนที่ผมถามประกาศกับคนที่นั่งรอกันเยอะว่า “ยังมีใครที่มีคิวนัดสัมภาษณ์ 7.00 หรือ 7.30 เหลืออยู่บางไหมค่ะ”ผมเข้าใจทันที่ว่าผมนี่ละคนสุดท้ายรอบทั้งสองรอบนี่เลย เอกสารที่ด่านนี้ของก้แค่ใบ DS-160 และ Pasport เราเท่านั้นเองพนักงานจะเอาสองอย่างใส่แฟ้มใสพร้อมกับสติกเกอร์ที่อยู่ในการรับวีซ่าเรานั้นเอง
ด่านสามจุดหนึ่ง
เดินขึ้นไปยังห้องสัมภาษณ์จริง เราก็ไปต่อแถวคนสุดท้ายที่ยืนอยุ่ซึ่งก็ไม่ได้เป็นแถวยาวมากนัก นี่เป็นแค่การสัมภาษณ์เล็กๆน้อยๆกับคนไทยเพื่อScreenคร้าวๆคำถามก้ไม่มีอะไรมากเริ่มจาก ขอแฟ้มที่ได้มาจากด่านสอง ต่อมาข้นใบรับรองงานปัจจุบัน และสุดท้ายของรูปถ่ายแค่หนึ่งรูป “น้องนี่รูปถ่ายเดียวกับวีว่าทำงานน้องเลยน่ะมันห่างกันปีหนึ่งเลยน่ะ น้องไปถ่ายรูปใหม่มาให้พี่เลยดีกว่าพี่รอน้องตอนนี้ละ ตู้ถ่ายรูปมีอยู่ตรงโน้น” -----เรารีบวิ่งไปที่ตู้ถ่ายรูปเข้าไปนั่งเรียบร้อย 150 บาทค่าถ่ายรูป ผมเปิดกระเป๋าตังค์มาเพื่อจะสอดเงิน”บ้าเออ ตังค์ไม่พอ เรามีอยู่130เอง” เลยถามพนักงานใกล้ๆว่ามีตู้กดเงินในนี้ไหม พี่เค้าแนะนำให้ไปกดด้านนอกสถานทูตเลย ไม่รอช้าวิ่งออกไปนอกสถานทูต วิ่งหาตู้ATMทำไมแถวนี้มันไม่มีเลยเหรอว่ะ โชคดีวิ่งย้อนกลับมาถามร้านที่เราเองฝากมือถือไว้ ก็ได้รู้ตำแหน่ง ATMที่อยู่ใกล้ซึ่งก็อยุ่ที่สุดคือในอาคารพาณีชย์ติดกับสถานทูตนั้นเอง กดเสร็จหาที่แลกใบร้อยให้เป็นใบห้าสิบสองใยเพราะตู้ถ่ายรูปมันไม่มีการทอนเงินต้องสอดเงินไปพอดีจำนวน 150 ใบ เซเว่นทั้งสองเคาวน์เตอร์ในอาคารพาณัชย์นั้นบอกว่าไม่มีอีก โชคดีที่ลูกค้าที่ต่อแถวช่วยไว้แท้ๆแลกใบห้าสิบสองใบมากได้--วิ่งกลับมาต่อแถวหน้าสถานทูตอีกตรวงอาวุธอีกรอบ “น้องเข้ามาแล้วนี่ใช่ไหม ทำไมเข้ามาอีกรอบละ”ผมก้แจงไปตามความจริง--วิ่งผ่านด่านสองคนที่นั่งรออยู่มองตามผมเกือบทุกคน55+----วิ่งเข้าห้องไปที่ตู้ถ่ายรูป Visa อีก สอด150บาทไปเรียบร้อย หน้าตาไม่โอเคเลยหน้าชุ่มไปด้วยเหงือกหยดเป็นเม็ดๆ หอบตลอดเวลา โอเคยิ้มหน่อย ยิ้มไม่ได้นี่หว้า เดียวก้โดยมาถ่ายรูปใหม่อีกเอาหน้าธรรมดานี่ละ โอเคถ่ายรูปเรียบร้อยออกมารอรูปนอกตู้ ทำไมรูปไม่ออกว่ะ ไม่น่ะอยากเพิ่งมาเสียตอนนี้ นั่งทำใจได้เกือย30วิ ในที่สุดรูปก็ค่อยออกมาจากเครื่องปริ้น--หยิบรูปขึ้นมาดูทเ่านั้นละ55+รูปในบัตรประชาชนดูดีกว่าเยอะมาก หน้าในรูปทำไมดูเศร้าขนานั้นเหมือนจะเห็นฟันนิดหูก็เห็นนิดเดียว เหงือกเต็มตาจะผ่านไม่ว่ะ ไม่เป็นไรลองดู เราไปต่อคิวใหม่อีกครั้งรอจนถึงคิวที่ช่องเดิมที่เราเองก้ทิ้งเอกสารไวอยู่
พี่พนักงานถามทันที ไปไหนมาทำไมนานจัง ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมด 55+ พี่แกก็ยิ้มเห็นใจดีน่ะ ยืนรูปถ่ายไปโชคดีแกไม่ได้ทักเรื่องรูปหน้าดศร้าที่เพิ่งถ่ายมา จากนั้นก็แสกนนิ้วมือสี่นิ้วมือซ้าน สี่นิ้วมือขวา นิ้วโป้งทั้งสองมือ
ด่านสามจุดสอง
ติดกับด่านสามจุดกหนึ่งเป็นฝรั่งที่อยู่หลังตู้ เช็คแสกนเหมือนกับด่านสามจุดกหนึ่งก้ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น
ด่านสามจุดสาม
การสัมภาษณ์ของจริงคือที่นี่เราจะผ่านไม่ผ่านขึ้นอยู่กับที่นี่เลย ผมมาต่อแถวรอสัมภาษณ์เห็นกระจกเป็นบล็อกสี่บล็อกคนไทยกำลังยืนสัมภาณ์อยู่ทุกช่อง ทุกคนเป็นฝรั่งหมดที่สัมภาษณ์คนไทย ตอนนี้เป้าหมายผมคือฝรั่งช่องที่ 3 ที่มีร่างอ้วนกว่าใครๆ(อ่านจากพันทิปอีกแล้วนี่ละว่าฝรั่งอ้วนคนนี่ๆละใจดีกันเองผ่านได้สบายๆ) ขอเถอะผมขอละให้ได้สัมภาษณ์กับคุณ คิวเลื่อนเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆตอนนี้ผมยื่นในแถวเป็นคนที่สองคนที่สัมภาษณ์กับพี่ฝรั่งอ้วนเดินออกไปแล้ว ให้ตายซิคนที่ต่อคิวหน้าผมได้สัมภาษณ์กับพี่ฝรั่งอ้วนแน่ๆเลย บ้าจริงๆบ้าจริง เราจะโดนสัมภาษณ์เครียคๆกับใครว่ะ แต่คนที่อยู่หน้าหันมาบอกว่า”ไปก่อนเลยครับเมื่อกี้ผมสัมภาษณ์กับคนนั้นยังไม่เสร็จแต่ไปเอาเอกสารเพิ่มจากด้านนอก”(เขาชี้ไปทีฝรั่งร่างเล็กที่ตู้อยู่ติดกันกับฝรั่งอ้วน) ธรรมจัดสรรจริงๆขอบคุณนายมาก ผมเดินทางตรงไปยังฝรั่งอ้อนที่ผมรอคอย “Good morin---”พี่ฝรั่งอ้วนยกโทรศัพท์ขึ้นพร้อมยกมืออีกข้างให้ผมหยุดพูด ผมยืนมองแกคุยโทรศัพท์เกือย40 วินาที (เพิ่งสังเกตว่าตัวเองยังหอบเหงือกหยดเป็นเม็ดๆอยู่จากการวิ่งไปกดตังค์) เมื่อแกวางโทรศัพท์ ผมทักทายต่อ “Good moring,sir สวัสดีครับ” “สวัสดีครับ” ฝรั่งอ้วนอ้วนตอบกลับชัดซะด้วย
การสัมภาษณ์ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
“Where are you plan to go? ”........................................> LA,sir
“What is your purpose for this journey ”..........................>I wanna spend my vacation,sir
“Which place that you want to go?”................................>Hollywood Road, LA Downtown, Universal studio, grand canyon
What do you do for living?..............................................>I'm photographer on cruise ship,Carnival Cruise line
How long have you worked for this company?.................> I’ve working for 1 year already.
You did or you still do?....................................................>I still do ,sir
I’ve been on Carnival Victory............................................>Really,cool
(ฝรั่งอ้วนชี้สองนิ้วยิ้มแล้วเน้น”Victory”อีกครั้ง55+กันเองมาก)
“Okay,You gonna get your Visa 3 day after this,Enjoy your vacation”ฝรั่งยิ้ม
“Thank you,sir Thank you very much ขอบคุณมากครับ”ผมไหว้ขอบคุณฝรั่งอ้วนยิ้มรับ
ไม่ถึง4 นาทีที่สัมภาษณ์เอกสารต่างๆที่เตรียมมากก็ไม่ได้ใช้อะไรมากมาย

“ผ่านแล้วโว้ยยยยยยยยยยย”
หลักการง่ายๆการผ่านสัมภาษณ์วีซ่า คื่อ "จริงเข้าว่า"
1.ข้อมูลที่กรอกใน DS-160ตรงกับที่พูดตอนสัมภาษณ์
2.มีเอกสารการงานมั่งคง
3.เอกสารครบพร้อมที่จะแสดงข้อมูลต่างๆเวลาโดนคำถามต่างๆ ถูกแม้อาจจะไม่ได้ใช้แต่ก็อุ่นใจ
4.ยิ้ม-ตอบด้วยความจริงใจ ตอบด้วยความมั่นใจ
5.พกของไปน้อยชิ้นที่สุดไม่งั้นโดนออกไปฝากของเสียตังค์+เสียเวลา+เดินไป-กัลเหนื่อยด้วย
6.พกเงินไปหน่อย เพราะอาจจะเสียเงินค่าฝาก 100 บาท ของ ค่าถ่ายรูปวีซ่าใหม่ 150 บาท
7.แต่งตัวสุภาพดุดี ปะหนึ่งว่าเรามีธุรกิจเป็นของตัวเองมาติดต่อกับบริษัทใหญ่ยักษ์
ขอให้ทุกคนที่กำลังสัมภาษณ์วีซ่าไม่ว่าจะเป็นวีซ่าใดผ่านไปได้ด้วยดีน่ะครับ
และขอขอบคุณทุกกระทู้เกี่ยวกับการสัมภาษณ์วีซ่าทั้งหมดที่ผมอ่านไปมันเป็นประโยชน์มากๆครับ
วีซ่าอเมริกา B1/B2 ไม่ยากอย่างที่คิด
การขอวีซ่าของผมเป็นประเภทท่องเที่ยวก็คือ B2 Visa แต่เลือกแบบประเภท B1/B2 การหาข้อมูลส่วนใหญ่ก็มาจากการอ่านการพันทิปเองนี่ละมีหลายกระทู้ที่มีประโยชน์มาก
เริ่มจากการกรอกข้อมูลในเว็บไซต์ของสถานทูตอเมริกาเอง ขั้นตอนนี้ค่อนข้างกรอกข้อมูลแบบรายละเอียดไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แต่ผมใช่เวลามาในการกรอกข้อมูลเรื่อง ชื่อหัวหน้าที่ทำงานเก่าพร้อมเบอร์โทร และ วันเข้าเรียน/วันจบการศึกษาสมัยมัธยมโน้นเลย
เมื่อกรอกข้อมูลเสร็จเรียบร้อยก็จะได้รับ “Visa Application (DS-160)” เข้ามาทางอีเมลล์(ปริ้นเก็บไว้เลย)......ต่อมาก็โอนตังค์ค่าธรรมเนียบไปสถานทูตอเมริกาหลังจากนั่น2-3วันเราจะสามารถเลือกวันเข้าสัมภาษณ์ได้ซึ่งก้ได้เลือกวันที่อังคารที่ 5 มกราคม 2559 รอบ 7.00 (เช้า)
ระหว่างก่อนวันสัมภาษณ์ก็เตรียมเอกสาร(อ่านเอาในพันทิปล้วนๆ)
1.Visa Application (DS-160)/Appointment Comfirment/ใบเสร็จการจ่ายเงินค่าธรรมเนียม
2.รูปถ่ายวีซ่า 2X2 2 รูป /สำเนาพาสปอร์ต/สำเนาวีซ่าอเมริกาที่เคยมี(ผมมีวีซ่าทำงานอยู่แล้ว)/สำเนาทะเบียนบ้าน/สำเนานบัตรประชาชน
3.ใบรับรองงานปัจจุบันฉบับภาษาอังกฤษ(โชคดีบริษัทที่ทำงาน ออก Apply for B2 visa ใหเด้วย)
4.แบงค์สเตทเม้นท์ สมุดบัญชีเงินเดือน
อีกหลายวันต่อมา วันที่ 5 มกราคม
ณ เวลา 05.15 ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวเส็ด ไปรอลง MRT 6.00กว่าๆ ทั้งตัวมีแค่มือถือ กระเป่ตังค์(มีเงินแค่320 บาท)และแฟ้มที่เก็บเอกสาร (เคยมีประสบการณ์ตอนไปขอวีซ่าทำงาน เอาเป้ใส่เอกสารไปแล้วเข้าสถานทูตไม่ได้ก็ต้องเอาเป้ไปฝากตลาดข้างๆ ตั้ง 100 บาทแพงมาก ครั้งนี้เลยเตรียมตัวดี) ลงMRT สีลมออกมาได้วิ่งมองหาห้องน้ำในสวนลุมพินีก่อนเลย(เกือบไม่ทัน) ต่อด้วยนั่งวินมอเตอร์ไซต์(40บาท)ไปสถานทูตอเมริกา
ลงจากมอเตอร์ไซต์วิ่งไปเข้าแถวหน้าสถานทูตโดยวิ่ง
“อะไรว่ะเนี้ย คนมารอต่อแถวก่อนเราเยอะเลย” ทั้งๆที่เรามาถึงก่อนเวลากว่าครึ่งชั่วโมง แล้วไปคนที่ต่อแถุวอยู่หน้าเราก็เป็นคนที่ได้คิดนัดสัมภาษณ์ 7.30 น.(เห็นจากเอกสารที่เขาถืออยู่--ไม่ได้ตั้งใจน่ะครับ)
ด่านแรก
พนักงานผู้หยิงร่างเล็กก็มาตรวจเอาสารเราเช็คกับรายชื่อที่มีนัดสัมภาษณ์ตามเวลา เขาจะขอดูDS-160พร้อมให้บัตรคิวกับเรา คนที่ต่อแถวก่อนหน้าก้จะเดินผ่านประตูเข้าไปในสถานทูตเรื่อยๆมองจากด้านนอกก็เห็นว่าภายในเป็นที่ฝากของและตรวจอาวุธอะไรประมาณนั้น ตลอดเวลาการรอเข้าประตูนั้นก็จะเห็นคนที่ไม่ผ่านการฝากของออกมาเรื่อยๆ(หมายถึงที่นี่รับฝากแค่มือถือหรือสิ่งของเล็กๆเท่านั้นถ้าใหญ่กว่านั้นอย่างเช่นกระเป่าเป้ก็ต้องออกไปหาที่ฝากของนอกสถานทูตเอาซึ่งแพงและทำให้เสียเวลากลับมาต่อแถวใหม่อีกครั้ง)
“ดีนะ เราเตรียมตัวมาดี ไม่เสียตังค์เสียเวลากับขั้นตอนนี้แน่นอน”คิดในใจ เมื่อถึงคิวผมเข้าประตูไปฝากมือถือเครื่องหนึ่งรอรับบัตรหมายเลขฝากของ “กล่องถ่ายรูปนี่ น้องต้องไปฝากด้านนอกน่ะน้อง”เอาแล้วไงผมเองก็แจงไปว่านี่คือมือถือครับพี่จริงๆน่ะ(samsung Galaxy4Zoom) แต่สุดท้ายก้ไม่มีหนักงานคนไหนเชื่อผม เดินออกจากประตูวิ่งหาที่ฝากของอีก(ตลาดข้างๆ) “บ้าจริงขนานผมเตรียมตัวมาดีแล้วน่ะเนี้ย ยังต้องมาเสียตังค์ค่าฝากมือถืออีกตั้ง 100 บาท” ผมวิ่งกลับเข้ามาต่อแถวใหม่รับคิวใหม่ เดินเข้าเกทตรวจอาวุธก้ไม่มีอะไรมาเหมือนกับด่านตรวจอาวุธตอนเข้า Gate ของสนามบิน
ด่านสอง
เดินเข้าไปบังคับเลี้ยวซ้ายเดินเข้าไปก็มีคนนั่งรอกันอยู่เยอะมากเหมือนนั่งรอเรียกชือซึ่งด้านหน้าเป็นบล็อกที่มีพนักงานสองคนนั่งอยู่หลังกระจกใส ผมเลยนั่งลงรอด้วยได้สักพักสังเกตเห็นเวลานัดคนข้างๆ 8.00 “เห้อผมมาอยู่ถูกที่ป่าวว่ะเราคิวนัด 7.00 น่ะเนีย เราช้าหรือเขามาเร็วไปว่ะ” ตัดสินใจเดินไปถามพนักงานหลังตู้กระจก “ผมมีนัด 7 โมงต้องนั่งรอตรงนั้นด้วยไหมครับ” พร้อมกับพนักงานอีกคนที่นั่งติดกันกับคนที่ผมถามประกาศกับคนที่นั่งรอกันเยอะว่า “ยังมีใครที่มีคิวนัดสัมภาษณ์ 7.00 หรือ 7.30 เหลืออยู่บางไหมค่ะ”ผมเข้าใจทันที่ว่าผมนี่ละคนสุดท้ายรอบทั้งสองรอบนี่เลย เอกสารที่ด่านนี้ของก้แค่ใบ DS-160 และ Pasport เราเท่านั้นเองพนักงานจะเอาสองอย่างใส่แฟ้มใสพร้อมกับสติกเกอร์ที่อยู่ในการรับวีซ่าเรานั้นเอง
ด่านสามจุดหนึ่ง
เดินขึ้นไปยังห้องสัมภาษณ์จริง เราก็ไปต่อแถวคนสุดท้ายที่ยืนอยุ่ซึ่งก็ไม่ได้เป็นแถวยาวมากนัก นี่เป็นแค่การสัมภาษณ์เล็กๆน้อยๆกับคนไทยเพื่อScreenคร้าวๆคำถามก้ไม่มีอะไรมากเริ่มจาก ขอแฟ้มที่ได้มาจากด่านสอง ต่อมาข้นใบรับรองงานปัจจุบัน และสุดท้ายของรูปถ่ายแค่หนึ่งรูป “น้องนี่รูปถ่ายเดียวกับวีว่าทำงานน้องเลยน่ะมันห่างกันปีหนึ่งเลยน่ะ น้องไปถ่ายรูปใหม่มาให้พี่เลยดีกว่าพี่รอน้องตอนนี้ละ ตู้ถ่ายรูปมีอยู่ตรงโน้น” -----เรารีบวิ่งไปที่ตู้ถ่ายรูปเข้าไปนั่งเรียบร้อย 150 บาทค่าถ่ายรูป ผมเปิดกระเป๋าตังค์มาเพื่อจะสอดเงิน”บ้าเออ ตังค์ไม่พอ เรามีอยู่130เอง” เลยถามพนักงานใกล้ๆว่ามีตู้กดเงินในนี้ไหม พี่เค้าแนะนำให้ไปกดด้านนอกสถานทูตเลย ไม่รอช้าวิ่งออกไปนอกสถานทูต วิ่งหาตู้ATMทำไมแถวนี้มันไม่มีเลยเหรอว่ะ โชคดีวิ่งย้อนกลับมาถามร้านที่เราเองฝากมือถือไว้ ก็ได้รู้ตำแหน่ง ATMที่อยู่ใกล้ซึ่งก็อยุ่ที่สุดคือในอาคารพาณีชย์ติดกับสถานทูตนั้นเอง กดเสร็จหาที่แลกใบร้อยให้เป็นใบห้าสิบสองใยเพราะตู้ถ่ายรูปมันไม่มีการทอนเงินต้องสอดเงินไปพอดีจำนวน 150 ใบ เซเว่นทั้งสองเคาวน์เตอร์ในอาคารพาณัชย์นั้นบอกว่าไม่มีอีก โชคดีที่ลูกค้าที่ต่อแถวช่วยไว้แท้ๆแลกใบห้าสิบสองใบมากได้--วิ่งกลับมาต่อแถวหน้าสถานทูตอีกตรวงอาวุธอีกรอบ “น้องเข้ามาแล้วนี่ใช่ไหม ทำไมเข้ามาอีกรอบละ”ผมก้แจงไปตามความจริง--วิ่งผ่านด่านสองคนที่นั่งรออยู่มองตามผมเกือบทุกคน55+----วิ่งเข้าห้องไปที่ตู้ถ่ายรูป Visa อีก สอด150บาทไปเรียบร้อย หน้าตาไม่โอเคเลยหน้าชุ่มไปด้วยเหงือกหยดเป็นเม็ดๆ หอบตลอดเวลา โอเคยิ้มหน่อย ยิ้มไม่ได้นี่หว้า เดียวก้โดยมาถ่ายรูปใหม่อีกเอาหน้าธรรมดานี่ละ โอเคถ่ายรูปเรียบร้อยออกมารอรูปนอกตู้ ทำไมรูปไม่ออกว่ะ ไม่น่ะอยากเพิ่งมาเสียตอนนี้ นั่งทำใจได้เกือย30วิ ในที่สุดรูปก็ค่อยออกมาจากเครื่องปริ้น--หยิบรูปขึ้นมาดูทเ่านั้นละ55+รูปในบัตรประชาชนดูดีกว่าเยอะมาก หน้าในรูปทำไมดูเศร้าขนานั้นเหมือนจะเห็นฟันนิดหูก็เห็นนิดเดียว เหงือกเต็มตาจะผ่านไม่ว่ะ ไม่เป็นไรลองดู เราไปต่อคิวใหม่อีกครั้งรอจนถึงคิวที่ช่องเดิมที่เราเองก้ทิ้งเอกสารไวอยู่
พี่พนักงานถามทันที ไปไหนมาทำไมนานจัง ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมด 55+ พี่แกก็ยิ้มเห็นใจดีน่ะ ยืนรูปถ่ายไปโชคดีแกไม่ได้ทักเรื่องรูปหน้าดศร้าที่เพิ่งถ่ายมา จากนั้นก็แสกนนิ้วมือสี่นิ้วมือซ้าน สี่นิ้วมือขวา นิ้วโป้งทั้งสองมือ
ด่านสามจุดสอง
ติดกับด่านสามจุดกหนึ่งเป็นฝรั่งที่อยู่หลังตู้ เช็คแสกนเหมือนกับด่านสามจุดกหนึ่งก้ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น
ด่านสามจุดสาม
การสัมภาษณ์ของจริงคือที่นี่เราจะผ่านไม่ผ่านขึ้นอยู่กับที่นี่เลย ผมมาต่อแถวรอสัมภาษณ์เห็นกระจกเป็นบล็อกสี่บล็อกคนไทยกำลังยืนสัมภาณ์อยู่ทุกช่อง ทุกคนเป็นฝรั่งหมดที่สัมภาษณ์คนไทย ตอนนี้เป้าหมายผมคือฝรั่งช่องที่ 3 ที่มีร่างอ้วนกว่าใครๆ(อ่านจากพันทิปอีกแล้วนี่ละว่าฝรั่งอ้วนคนนี่ๆละใจดีกันเองผ่านได้สบายๆ) ขอเถอะผมขอละให้ได้สัมภาษณ์กับคุณ คิวเลื่อนเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆตอนนี้ผมยื่นในแถวเป็นคนที่สองคนที่สัมภาษณ์กับพี่ฝรั่งอ้วนเดินออกไปแล้ว ให้ตายซิคนที่ต่อคิวหน้าผมได้สัมภาษณ์กับพี่ฝรั่งอ้วนแน่ๆเลย บ้าจริงๆบ้าจริง เราจะโดนสัมภาษณ์เครียคๆกับใครว่ะ แต่คนที่อยู่หน้าหันมาบอกว่า”ไปก่อนเลยครับเมื่อกี้ผมสัมภาษณ์กับคนนั้นยังไม่เสร็จแต่ไปเอาเอกสารเพิ่มจากด้านนอก”(เขาชี้ไปทีฝรั่งร่างเล็กที่ตู้อยู่ติดกันกับฝรั่งอ้วน) ธรรมจัดสรรจริงๆขอบคุณนายมาก ผมเดินทางตรงไปยังฝรั่งอ้อนที่ผมรอคอย “Good morin---”พี่ฝรั่งอ้วนยกโทรศัพท์ขึ้นพร้อมยกมืออีกข้างให้ผมหยุดพูด ผมยืนมองแกคุยโทรศัพท์เกือย40 วินาที (เพิ่งสังเกตว่าตัวเองยังหอบเหงือกหยดเป็นเม็ดๆอยู่จากการวิ่งไปกดตังค์) เมื่อแกวางโทรศัพท์ ผมทักทายต่อ “Good moring,sir สวัสดีครับ” “สวัสดีครับ” ฝรั่งอ้วนอ้วนตอบกลับชัดซะด้วย
การสัมภาษณ์ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
“Where are you plan to go? ”........................................> LA,sir
“What is your purpose for this journey ”..........................>I wanna spend my vacation,sir
“Which place that you want to go?”................................>Hollywood Road, LA Downtown, Universal studio, grand canyon
What do you do for living?..............................................>I'm photographer on cruise ship,Carnival Cruise line
How long have you worked for this company?.................> I’ve working for 1 year already.
You did or you still do?....................................................>I still do ,sir
I’ve been on Carnival Victory............................................>Really,cool
(ฝรั่งอ้วนชี้สองนิ้วยิ้มแล้วเน้น”Victory”อีกครั้ง55+กันเองมาก)
“Okay,You gonna get your Visa 3 day after this,Enjoy your vacation”ฝรั่งยิ้ม
“Thank you,sir Thank you very much ขอบคุณมากครับ”ผมไหว้ขอบคุณฝรั่งอ้วนยิ้มรับ
ไม่ถึง4 นาทีที่สัมภาษณ์เอกสารต่างๆที่เตรียมมากก็ไม่ได้ใช้อะไรมากมาย
หลักการง่ายๆการผ่านสัมภาษณ์วีซ่า คื่อ "จริงเข้าว่า"
1.ข้อมูลที่กรอกใน DS-160ตรงกับที่พูดตอนสัมภาษณ์
2.มีเอกสารการงานมั่งคง
3.เอกสารครบพร้อมที่จะแสดงข้อมูลต่างๆเวลาโดนคำถามต่างๆ ถูกแม้อาจจะไม่ได้ใช้แต่ก็อุ่นใจ
4.ยิ้ม-ตอบด้วยความจริงใจ ตอบด้วยความมั่นใจ
5.พกของไปน้อยชิ้นที่สุดไม่งั้นโดนออกไปฝากของเสียตังค์+เสียเวลา+เดินไป-กัลเหนื่อยด้วย
6.พกเงินไปหน่อย เพราะอาจจะเสียเงินค่าฝาก 100 บาท ของ ค่าถ่ายรูปวีซ่าใหม่ 150 บาท
7.แต่งตัวสุภาพดุดี ปะหนึ่งว่าเรามีธุรกิจเป็นของตัวเองมาติดต่อกับบริษัทใหญ่ยักษ์
และขอขอบคุณทุกกระทู้เกี่ยวกับการสัมภาษณ์วีซ่าทั้งหมดที่ผมอ่านไปมันเป็นประโยชน์มากๆครับ