ช่วงนี้เชาว์มีงานเยอะมากๆเลย แต่ก็พยายามหาเวลาที่จะเขียนบทความใหม่ๆ ที่คนอื่นเค้าไม่เขียนกัน แต่อยากให้ทุกคนได้อ่าน เพราะมันเป็นแนวทางการ สร้างปฎิสัมพันธ์กับเด็กในทางบวก สำหรับตัวเชาว์เอง ก็อาจจะประสบการณ์น้อย ยังไงก็ขอคำแนะนำจากพี่ๆด้วยนะครับ จริงๆแล้ว เชาว์เองก็อยู่กับเด็กมาเยอะ เล่นกับเด็กเยอะมาก เป็นร้อย ด้วยความที่เชาว์เป็นออทิสติกและบกพร่องเรื่องของวุติภาวะ ทำให้เชาว์มีลักษณะเหมือนเด็กวัยประถมทั้งจริงแล้ว อายุ 23 ปีแล้วละ เชาว์ชอบเล่นกับเด็กมากๆ ถึงขั้นติดเลยละ ไม่ได้อยู่กับเด็ก รู้สึกไม่ค่อย
สำหรับในการเล่นของเชาว์นั้น ก็คงไม่ได้เล่นแค่อย่างเดียว เชาว์ได้สังเกตพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในระหว่างทำความรู้จัก และหาวิธีสร้างปฏิสัมพันธ์กับเด็กที่เชาว์อยากทำความรู้จัก ลองมาดูกันว่า เด็กแต่คนที่เชาว์ไปรู้จักจะเป็นอย่างไร(บทความนี้ไม่ได้อ้างอิงหลักวิชาการ เอาหลักการความรู้สึกของเชาว์ล้วนๆ)
1.คู่แฝดตัวน้อยๆ กับความเอาแต่ใจ(จริงหรอ)
มันเป็นเรื่องราวที่เชาว์ได้ไปที่โรงเรียนที่เรียนสมัยประถม และก็ได้เจอกับเด็ก2 คน เค้าเป็นฝาแฝดกัน จริงๆแล้ว เชาว์ก็ไม่ได้สนใจพวกเด็กหรอก แต่ว่าความซนกับผู้อื่นมีมากมาย เชาว์ก็เลยลองไปปฏิสัมพันธ์ดู เด็กฝาแฝด 2 คนนี้ เป็นเด็กอนุบาล วิธีการที่เชาว์เริ่มปฏิสัมพันธ์นะตอนนั้น เด็กคนนึงเค้ากำลังร้องไห้อยู่ เรื่องที่คุณแม่เค้า ไม่ยอมทำตามเด็กเค้า งอแงมากๆเลย เชาว์ก็เริ่มที่จะดูเด็กอยู่ห่างและเข้าไปใกล้ขึ้น และคุณแม่เค้าก็กล่าวถึงเชาว์อย่างคนไม่รู้จัก จุดนี้เชาว์อ่านใจเด็กว่า ความคิดของเด็กลักษณะนี้ คือรู้สึกอึดอัดใจ จริงๆแล้วเด็กที่จะเอาแต่ใจจะมีหลายประเภท บางคนก็เอาแต่ใจเพื่ออยากได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่สำหรับบางคน เค้าไม่อยากได้อะไรหรอก แต่ตอบสนองความรู้สึกตนเองไม่ได้ เช่น ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ก็เลยอยากหาคนมาช่วยตอบสนองสนอง ความรู้สึก เด็กอาจจะพูดทำนองว่า อยากได้นั่น อยากได้นี่ แต่จริงๆ เค้าแค่ไม่อยากรู้สึกอึดอัดใจเท่านั้นเอง ที่นี้เชาว์เองก็เริ่มช่วยเค้า โดยความรู้สึกนั้น เชาว์ลองแก้ปัญหาด้วยการเล่านิทาน ที่จะปรับอารมณ์ น้ำเสียง ลูกเล่นต่างๆ ที่แตกต่างๆออกไป เชาว์ก็เริ่มเล่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นานแสนนาน นานจนจำไม่ได้ (จากมุขแรกนี้ยังไม่สามารถดึงอารมณ์เด็กให้ดีขึ้น แต่พอทำให้เด็กหันมามองได้นิดหน่อย) จากนั้นการใช้การแสดงต่างๆให้เด็กดู เชาว์ก็ลองเล่นคนเดียวให้เด็กดู สมมุติตัวเองยายแก่คนนึ่ง เดินหลังค่อมถือไม้เท้า "โอ๊ย ยายไม่ไหวแล้ว เดินจะไม่ไหวแล้ว โอ๊ย! หักแล้ว " เท่านั้นแหละ เด็กมาทำความรู้จักกับเชาว์เองเลย แน่นอนเชาว์ก็ปฏิสัมพันธ์กับเด็กต่อ "พี่ ช่วยทำอีกครั้งนึงนะ นะนะนะนะนะค่ะ " เชาว์ก็เริ่มที่พูดคุย แล้วเล่นบทบาทสมมุติต่อไป สำหรับเด็ก 2 คนนี้ ยอมรับและเล่นกับเชาว์ต่อเนื่องจนสนิทกัน เชาว์ก็พยายามหาเรื่องราวใหม่ๆเข้ามาให้รู้สึกสนุกละ
ปัจจุบันก็เล่นกับเด็ก 2 คนนี้อย่างสนุกสนานมากมากเลยละ
แนวทางการปฎิสัมพันธ์เพื่อสอน : จากเคสนี้เราจะเห็นว่าเด็กมีความเอาแต่ใจ ในลักษณะแค่อยากให้คนสนใจ และตอบสนองความรู้สึกเท่านั้นเอง เด็กมีนิสัยที่ชอบรู้จักสิ่งใหม่ๆ ความไม่เป็นจริงและแปลกไปจากเดิม จากตรงนี้ผู้ปกครองสามารถ ใช้วิธีการเล่นบทบาทสมมุติที่แปลกๆ โดยเนื้อหาไม่ต้องมีมาก เช่น สมมุติการโทรศัพท์โดยใช้มือ ใส่เนื้อหาที่เกินความจริงไป เด็กที่รู้จักแยกความจริงกับจินตนาการได้ เด็กจะรู้สึกสนุก และในการสอนเรื่องราวต่างๆ ผู้ปกครองอาจจะต้องทำท่านำ และให้เด็กทำตาม เช่นการเขียน การเรียน โดยจำเป็นที่จะต้องมี ปัญหาอุปสรรค์ให้เด็กฝึกคิด เช่น สมมุติการเขียนกระดาษโดยดินสอหัก เด็กที่เชื่อมโยงได้จะรู้สึกสนุก และแกล้งไม่รู้ เพื่อให้เด็กได้รู้จักการแก้ปัญหา พยายามหาแนวคิดใหม่ๆมานำเสนอเด็ก และการควบคุมเด็กอสำหรับคนนี้ ให้เวลาเค้าปรับอารมณ์ตัวเอง เสริมด้วยการตั้งกติกา พูดจาดีๆ และแสดงความจริงใจและบอกเหตุผลสั้น รับรองเลยว่า ระหว่างเด็กและผู้ปกครองจะมีความสัมพันที่ดีแน่นอน
ขอแท็กที่เกี่ยวข้อง ถึง ครูและหมอด้วยนะ เป็นแนวทางในการรู้จักนักเรียนและเด็ก
แชร์ประสบการณ์ 10 เคส การทำความรู้จักกับเด็ก ที่ทำให้เด็ก หลงรัก ติดงอมแงม โงหัวไม่ขึ้น และทำตามเราทุกอย่าง
สำหรับในการเล่นของเชาว์นั้น ก็คงไม่ได้เล่นแค่อย่างเดียว เชาว์ได้สังเกตพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในระหว่างทำความรู้จัก และหาวิธีสร้างปฏิสัมพันธ์กับเด็กที่เชาว์อยากทำความรู้จัก ลองมาดูกันว่า เด็กแต่คนที่เชาว์ไปรู้จักจะเป็นอย่างไร(บทความนี้ไม่ได้อ้างอิงหลักวิชาการ เอาหลักการความรู้สึกของเชาว์ล้วนๆ)
1.คู่แฝดตัวน้อยๆ กับความเอาแต่ใจ(จริงหรอ)
มันเป็นเรื่องราวที่เชาว์ได้ไปที่โรงเรียนที่เรียนสมัยประถม และก็ได้เจอกับเด็ก2 คน เค้าเป็นฝาแฝดกัน จริงๆแล้ว เชาว์ก็ไม่ได้สนใจพวกเด็กหรอก แต่ว่าความซนกับผู้อื่นมีมากมาย เชาว์ก็เลยลองไปปฏิสัมพันธ์ดู เด็กฝาแฝด 2 คนนี้ เป็นเด็กอนุบาล วิธีการที่เชาว์เริ่มปฏิสัมพันธ์นะตอนนั้น เด็กคนนึงเค้ากำลังร้องไห้อยู่ เรื่องที่คุณแม่เค้า ไม่ยอมทำตามเด็กเค้า งอแงมากๆเลย เชาว์ก็เริ่มที่จะดูเด็กอยู่ห่างและเข้าไปใกล้ขึ้น และคุณแม่เค้าก็กล่าวถึงเชาว์อย่างคนไม่รู้จัก จุดนี้เชาว์อ่านใจเด็กว่า ความคิดของเด็กลักษณะนี้ คือรู้สึกอึดอัดใจ จริงๆแล้วเด็กที่จะเอาแต่ใจจะมีหลายประเภท บางคนก็เอาแต่ใจเพื่ออยากได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่สำหรับบางคน เค้าไม่อยากได้อะไรหรอก แต่ตอบสนองความรู้สึกตนเองไม่ได้ เช่น ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ก็เลยอยากหาคนมาช่วยตอบสนองสนอง ความรู้สึก เด็กอาจจะพูดทำนองว่า อยากได้นั่น อยากได้นี่ แต่จริงๆ เค้าแค่ไม่อยากรู้สึกอึดอัดใจเท่านั้นเอง ที่นี้เชาว์เองก็เริ่มช่วยเค้า โดยความรู้สึกนั้น เชาว์ลองแก้ปัญหาด้วยการเล่านิทาน ที่จะปรับอารมณ์ น้ำเสียง ลูกเล่นต่างๆ ที่แตกต่างๆออกไป เชาว์ก็เริ่มเล่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นานแสนนาน นานจนจำไม่ได้ (จากมุขแรกนี้ยังไม่สามารถดึงอารมณ์เด็กให้ดีขึ้น แต่พอทำให้เด็กหันมามองได้นิดหน่อย) จากนั้นการใช้การแสดงต่างๆให้เด็กดู เชาว์ก็ลองเล่นคนเดียวให้เด็กดู สมมุติตัวเองยายแก่คนนึ่ง เดินหลังค่อมถือไม้เท้า "โอ๊ย ยายไม่ไหวแล้ว เดินจะไม่ไหวแล้ว โอ๊ย! หักแล้ว " เท่านั้นแหละ เด็กมาทำความรู้จักกับเชาว์เองเลย แน่นอนเชาว์ก็ปฏิสัมพันธ์กับเด็กต่อ "พี่ ช่วยทำอีกครั้งนึงนะ นะนะนะนะนะค่ะ " เชาว์ก็เริ่มที่พูดคุย แล้วเล่นบทบาทสมมุติต่อไป สำหรับเด็ก 2 คนนี้ ยอมรับและเล่นกับเชาว์ต่อเนื่องจนสนิทกัน เชาว์ก็พยายามหาเรื่องราวใหม่ๆเข้ามาให้รู้สึกสนุกละ
ปัจจุบันก็เล่นกับเด็ก 2 คนนี้อย่างสนุกสนานมากมากเลยละ
แนวทางการปฎิสัมพันธ์เพื่อสอน : จากเคสนี้เราจะเห็นว่าเด็กมีความเอาแต่ใจ ในลักษณะแค่อยากให้คนสนใจ และตอบสนองความรู้สึกเท่านั้นเอง เด็กมีนิสัยที่ชอบรู้จักสิ่งใหม่ๆ ความไม่เป็นจริงและแปลกไปจากเดิม จากตรงนี้ผู้ปกครองสามารถ ใช้วิธีการเล่นบทบาทสมมุติที่แปลกๆ โดยเนื้อหาไม่ต้องมีมาก เช่น สมมุติการโทรศัพท์โดยใช้มือ ใส่เนื้อหาที่เกินความจริงไป เด็กที่รู้จักแยกความจริงกับจินตนาการได้ เด็กจะรู้สึกสนุก และในการสอนเรื่องราวต่างๆ ผู้ปกครองอาจจะต้องทำท่านำ และให้เด็กทำตาม เช่นการเขียน การเรียน โดยจำเป็นที่จะต้องมี ปัญหาอุปสรรค์ให้เด็กฝึกคิด เช่น สมมุติการเขียนกระดาษโดยดินสอหัก เด็กที่เชื่อมโยงได้จะรู้สึกสนุก และแกล้งไม่รู้ เพื่อให้เด็กได้รู้จักการแก้ปัญหา พยายามหาแนวคิดใหม่ๆมานำเสนอเด็ก และการควบคุมเด็กอสำหรับคนนี้ ให้เวลาเค้าปรับอารมณ์ตัวเอง เสริมด้วยการตั้งกติกา พูดจาดีๆ และแสดงความจริงใจและบอกเหตุผลสั้น รับรองเลยว่า ระหว่างเด็กและผู้ปกครองจะมีความสัมพันที่ดีแน่นอน
ขอแท็กที่เกี่ยวข้อง ถึง ครูและหมอด้วยนะ เป็นแนวทางในการรู้จักนักเรียนและเด็ก