จังหวัดที่ 77 ของไทย มันคือจังหวัดอะไรนะ ก็จังหวัดบึงกาฬไง….ตอนแรกที่จะไป เราก็คิดว่าคงไม่มีอะไรให้เที่ยว ที่ไหนได้ที่จังหวัดนี้มีของดีไม่เบาเลยนะ
สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ เส้นทางของการเดินทางของเราเริ่มต้นที่ สนามบินอุดรธานี - บึงกาฬ - เชียงคาน ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน
หลายคนอาจจะถามว่าเฮ้ยย…ทำไมขับรถวนแบบนี้เนี่ย อันที่จริงเราไปทำกิจพิเศษที่จังหวัดอุดรธานี แล้วก็เลยตัดสินใจเช่ารถค่ายนึงจากสนามบินเป็นเวลา 3 วัน ด้วยเวลาเท่าที่มีแล้วก็เที่ยวไปเรื่อยๆ
สำหรับเส้นทางในการขับรถจากสนามบินอุดรฯ ไปตัวเมือง จ.บึงกาฬ ระยะทางรวมประมาณ 200 กิโลเมตร โดยเส้นทางจะผ่านหนองคาย จะแวะไหว้หลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหนองคายเพื่อเป็นศิริมงคลก่อนก็ดีนะ
ง่ายที่สุดคือการเปิด google maps แล้วหา “บึงกาฬ” ได้เลย พิกัดถูกต้อง ไม่มีทิ้งไว้กลางทาง เส้นทางก็คือขับตรงไปอย่างเดียวเลย จนถึงปั้ม ปตท. แล้วจะเจอแยกใหญ่ เลี้ยวซ้าย ก็คือเข้าตัวเมืองบึงกาฬแล้ว ที่นี่เป็นจังหวัดเล็กๆ ริมฝั่งแม่น้ำโขง อากาศดี แล้วก็ไม่วุ่นวายด้วย
ใช้เวลาขับรถประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ ก่อนฟ้าจะมืด เลยตระเวณหาที่พักไว้ก่อน ขับเลียบแม่น้ำโขงไปเรื่อยๆ ไปเจอที่นึง ลองเข้าไปถาม ราคาไม่แพง ได้วิวแม่น้ำโขงด้วยแฮะ คืนละ 500 บาท นอนได้ 2 คน มีทั้งแอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น ตู้เย็น ทีวี และสะอาดด้วย
ส่วนตอนเย็นที่ริมแม่น้ำโขง เค้าจะมีชายหาด ฝั่งตรงข้ามก็คือประเทศลาว ก็แวะมาดูพระอาทิตย์ตกดิน แล้วก็เดินเล่นแถวๆ นั้น โซนฝั่งริมแม่น้ำโขง ถือว่ามีครบ ทั้งร้านอาหาร ที่พัก หากไปตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์ ก็จะมีถนนคนเดินด้วย หากใครจะไปเที่ยวบึงกาฬ ก็แนะนำ ให้ลองแวะไปโซนนี้ดู
แล้วเดี๋ยว 7 โมงเช้า เราเช็คเอาท์ออก แล้วไปเที่ยวกัน.....แล้วเดี๋ยวเจอกันที่วัดภูทอก
#ห้วยบังบาตร ระหว่างทางไปวัดภูทอก
สวัสดี….วัดภูทอก หรือชื่อเต็มๆ ที่เรียกกันว่า วัดเจติยาคีรีวิหาร อยู่ที่ตำบลนาสะแบง จ.บึงกาฬ ในภาษาอีสานแปลว่า ภูเขาที่โดดเดี่ยว ภูทอกนั้นมีเขา 2 ลูก คือภูทอกใหญ่และภูทอกน้อย
ส่วนที่เราขึ้นไปได้นั้น คือภูทอกน้อย เส้นทางในการขึ้นจะเป็นบันไดไม้ และสะพานไม้รอบเขา วนขึ้นไป 7 ชั้น
เดินขึ้นบันไดไม้ไปเรื่อยๆ แล้วก็ดันมาเจอผู้นำทางซะนี่...
เอาล่ะ...เรากำลังเดินขึ้นวัดภูทอกกัน โปรดสำรวมและไม่ส่งเสียงดัง
ก้าวแรกของการเดินสะพานไม้ มองไปครั้งแรก ก็แอบหวั่นๆ จะมีไม้เงิบๆ มั๊ยนะ..แต่ไม่ต้องห่วง แผ่นไม้บันไดวนที่นี่ แข็งแรงเดินแล้วสบายใจแน่นอน ส่วนวิวที่มองลงไป ก็เป็นป่ายางพารา เกษตรกรรมหลักของจังหวัดนี้
เราไปถึงที่วัดภูทอกประมาณ 9 โมงกว่า แดดตอนสายกำลังร้อนได้ที่ และแสงก็สาดเข้าเต็มๆ
บนสะพานไม้วนรอบเขา แนะนำให้เดินทีละคนจะดีกว่า เว้นระยะห่างกันหน่อยก็ดีนะ เพราะมันค่อนข้างแคบในบางช่วงทางเดิน และใครที่แอบกลัวความสูง มองไปไกลๆ นะ มองลงไปข้างล่างนี่ หน้าท้องนี่วาบเลยจ้า
เห็นไกลๆ นั่นมั๊ยยยย….นั่นภูวัวนะเออ….
ระหว่างทาง จะมีจุดต่างๆ สำหรับพระสงฆ์ นั่งวิปัสสนากรรมฐาน
ชั้นที่ 5 ของวัดภูทอกแห่งนี้ จะมีทางเชื่อมไปยังพุทธวิหาร เข้าไปไหว้สักการะ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ซึ่งเป็นสถานที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุและเป็นที่พระอริยหลายองค์มาพักผ่อนและละสังขารที่นี่
มองจากพุทธวิหารขึ้นไป ก็จะเห็นสะพานไม้ที่เราเดินมารอบเขา
และหากถ้าขึ้นไปที่ชั้น 6 เราจะสามารถชมทิวทัศน์ของธรรมชาติ และมุมความงดงามของพุทธวิหารที่นี่ได้อย่างเต็มที่
สำหรับชั้นบนสุด ชั้นที่ 7 ข้างบนไม่มีบันไดเวียน และเป็นชั้นสูงสุด สามารถขึ้นไปชมทิวทัศน์ได้เหมือนกับชั้นที่ 6 เช่นกัน
การเดินทางมาวัดภูทอกแห่งนี้ ควรมาด้วยจิตใจบริสุทธิ์ ไม่ส่งเสียงดัง รักษาความสะอาด และสำรวม ส่วนใครที่กลัวความสูง อาจจะลำบากใจหน่อยๆ ขนาดว่าเราไม่กลัวแล้ว มองลงไปทีไร หวิวท้องทุกทีเลย
สำหรับคนที่มีเวลาเที่ยวไม่เยอะ ออกจากวัดภูทอกแล้ว แวะไปชมวิวต่อที่ภูสิงห์ ที่มีทั้งลานธรรมะ และหินยักษ์ ระยะทางระหว่าง 2 สถานที่นี้ ห่างกันประมาณ 15 กิโลเมตร ขอเตือนไว้ก่อนว่า ถ้าใช้ google maps แล้วค้นหา ภูสิงห์ อาจจะโดนทิ้งไว้กลางทางแบบเรา ขับเข้าไปในป่า สุดท้ายเจอร้านรับซื้อยางพารา ฮ่า ฮ่าา….
#ภูสิงห์
เส้นทางไปภูสิงห์ จากวัดภูทอก ก็ไม่ยาก กลับมาที่ถนนเส้นหลัก ตรงย้อนกลับขึ้นมา เพราะก่อนไปวัดภูทอก เราผ่านภูสิงห์มาแล้ว ย้อนกลับไป แล้วสังเกตป้ายทางซ้ายมือเอาไว้ จะเขียนไว้ว่า ภูสิงห์
ก่อนเข้าไปภูสิงห์ แวะลงทะเบียน เสียค่าบำรุงกันเพื่อพัฒนาสถานที่กันต่อไป เพียงนิดหน่อยเท่านั้น
เอาล่ะ….เราขับรถขึ้นภูสิงห์กัน สำหรับใครที่เอารถมา ที่นี่เป็นวันเวย์ ทางเดียว ถนนเป็นทราย ถ้ารถสวนมา ก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน ว่าจะทำไงดี ใครเดินหน้า ใครถอยหลัง ไปมองตากันเอาข้างหน้าแล้วกันนะ
ยิ่งขับไปรู้สึกเส้นทางยิ่งไกลมาก เพราะเราก็ยังไม่รู้จุดหมาย แวะถามที่ทำการ ระหว่างทางที่ขับมาแล้วประมาณ 3 กิโล เค้าบอกอีกแค่ 2 โลเอง แต่สำหรับเส้นทางแบบนี้ โอ๊ยยยย…ทำไมมันไกลจัง
# จุดชมวิวถ้ำฤาษี
เส้นทางตอนขึ้นไป เกือบไปแล้ว เพราะไม่มีไม้กั้น โชคดีที่มีป้ายว่า ห้ามรถเข้าอยู่ตรงหน้าผาพอดี ถ้าใครขึ้นไปถึงแล้ว เจอห้องน้ำ หรือศาลาทำการ ให้จอดรถไว้ตรงนั้นเลย!! จุดนี้จะเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ติดหน้าผาสูง มองเห็นวิวป่าภูวัว ภูทอกใหญ่ เห็นแม่น้ำโขง แก่งสะดอก หาดทรายแม่น้ำโขง และภูเขาเมืองปากกระดิ่ง ประเทศลาว
เดินย้อนกลับมาไม่ไกล ไม่ต้องขับรถ ก็จะเจอ หินสามวาฬ
#หินสามวาฬ
พอไปเห็นเท่านั้นแหละ เชื่อเลยว่าสามวาฬจริงๆ ความรู้สึกพอได้เห็น คือเหมือนเราอยู่บนหลังปลาวาฬจริงๆ ตรงนั้นลมค่อนข้างแรง เพราะเป็นหน้าผานิดๆ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ๆ เสียวท้องมากกกกก รีบถ่ายรูป รีบเดินกลัว กลัวตก ฮ่าๆๆๆ
เห็นรึยังเราอยู่บนหลังปลาวาฬแล้ว
เวลาที่ไปภูสิงห์ ช่วงที่เราไปมันคือตอนเที่ยง เลยร้อนมาก เพราะตรงนั้น เป็นหน้าผาหินหมดเลย หากใครอยากฟินๆ แนะนำให้ไปตอนเช้า จะได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นได้ด้วย
ตอนออกจากภูสิงห์ เราก็คิดว่า เดี๋ยวขากลับทางผ่านหนองคาย แล้วจอดรถไว้ที่ด่านไทย แล้วไปนอนเล่นเวียงจันทน์สักคืนดีมั้ยนะ แต่ดันไม่ได้แพลนล่วงหน้า เลยไม่ได้พกพาสปอร์ตกันมา แต่จริงๆ สามารถทำบัตรผ่านได้ที่ด่าน แต่ดั๊นนน…หมดเวลาสำหรับบัตรผ่านตอน 16.30 เราช้าไปแค่ 5 นาทีเท่านั้น
ไม่เป็นไร…จะให้กลับไปเที่ยวที่เมืองอุดรฯ ก็เป็นครั้งที่ 3 ในรอบปีแล้ว ที่มาอุดรฯ เลยอยากไปที่อื่นบ้าง เลยตัดสินใจอดทนขับรถอีก 200 กิโลเมตร เพื่อไปนอนที่เชียงคาน
ตามเสต็ปเดิม google maps ช่วยด้วย แต่ด้วยความฉลาดของมัน ช่วยย่นระยะทาง แต่เป็นทางภูเขา แล้วมันก็มืดชะมัด ถ้ามืดแล้วไม่ควรมาเส้นทางนี้จริงๆ ความรู้สึกคือ ขับรถเท่าไร ก็ไม่ถึงสักที เชียงคานจ๋า…
หากต้องการไปเชียงคานจากอุดรธานี แนะนำให้ไปทางเส้นหนองบัวลำภูจะดีกว่า ถนนตัดใหม่หมาดๆ พื้นนี่เรียบกริ๊บเลย
ถึงเชียงคาน 3 ทุ่ม เดินหาที่พัก เต็มเกือบหมด ไม่น่าเชื่อว่าคนจะเยอะ ทั้งๆ ไม่ใช่วันหยุดยาว ไม่ใช่เทศกาล เดินหาไปเรื่อยๆ จนได้ที่พัก ในราคาหัวละ 200 บาท มีทีวี พัดลม ห้องน้ำรวม นอนได้แบบชิวๆ อากาศกำลังดี เดี๋ยวตอนเช้าเราค่อยมาเดินเล่นในเมืองเชียงคานกัน
#พิกัดที่พักหัวละ 200 บาท
เชียงคาน จ.เลย เป็นเมืองเล็กๆ อบอุ่นน่ารักๆ ที่ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมๆ ไว้ได้ และเชื่อว่าหลายๆ คนเคยไปสัมผัสความน่ารักของเมืองนี้กันมาบ้างแล้ว
#คนติดกาแฟ แวะนั่งร้านนี้ก่อนก็ได้ แต่งร้านดีงาม ชื่อร้านน่ารัก "สองผัวเมีย"
ต่อด้วยการกินงานบ้านๆ นอกจากนี้ ที่นี่ก็ยังมีอาหารประจำที่มาแล้วต้องโดน "ไข่กระทะ กับ ข้าวเปียก"
#เชียงคานน่ารัก
#เดินเลาะริมฝั่งโขง
พอสายๆ แดดก็เริ่มร้อนแล้ว เดี๋ยวเราไปแก่งคุดคู้กันต่อ ที่นี่เป็นแก่งหินใหญ่ขวางอยู่กลางลำน้ำโขงระยะทางห่างจากเชียงคานประมาณ 3 กิโลเมตร
สำหรับใครถ้าอยากไปดูทะเลหมอกที่ภูทอก เชียงคานในตอนเช้า รีบตื่นโดยไว สำหรับเราการขับรถมา 2 วัน 800 กิโลเมตร ร่างจะหลุดเลยตื่นไม่ไหว
ตอนค่ำวันนี้ต้องขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ เลยมีเวลาประมาณ 6 ชั่วโมง เลยแวะเก็บแถวเชียงคานอีกหน่อย
#ห้วยกระทิง
ห่างจากตัวเมืองเชียงคานประมาณ 60 กิโลเมตร แต่สำหรับเส้นทางกลับไปสนามบินอุดรฯ ก็เป็นทางผ่านกลับอยู่แล้ว
ถ้ามีเวลาจะล่องแพ ชมวิวห้วยกลางหุบเขาก็ยังได้
ลองขับรถเลาะไปถนนริมห้วยกระทิง ก็จะได้อีกมุมของที่แห่งนี้ แล้วก็ต้องขับรถยาวๆ ไปสนามบิน นั่งเครื่องกลับกรุงเทพฯ สู่โลกความจริง ทำงาน!!
ใครที่อยากสอบถามเพิ่มเติม inbox ส่วนตัวมาได้เสมอค่ะ หรือจะทางนี้ก็ได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/kunbeejourney/
[CR] เที่ยวบึงกาฬ จังหวัดที่ 77 ของไทย แล้วไหลไปนอนเชียงคาน by JOURNEY เจอนี่....
สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ เส้นทางของการเดินทางของเราเริ่มต้นที่ สนามบินอุดรธานี - บึงกาฬ - เชียงคาน ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน
หลายคนอาจจะถามว่าเฮ้ยย…ทำไมขับรถวนแบบนี้เนี่ย อันที่จริงเราไปทำกิจพิเศษที่จังหวัดอุดรธานี แล้วก็เลยตัดสินใจเช่ารถค่ายนึงจากสนามบินเป็นเวลา 3 วัน ด้วยเวลาเท่าที่มีแล้วก็เที่ยวไปเรื่อยๆ
สำหรับเส้นทางในการขับรถจากสนามบินอุดรฯ ไปตัวเมือง จ.บึงกาฬ ระยะทางรวมประมาณ 200 กิโลเมตร โดยเส้นทางจะผ่านหนองคาย จะแวะไหว้หลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหนองคายเพื่อเป็นศิริมงคลก่อนก็ดีนะ
ง่ายที่สุดคือการเปิด google maps แล้วหา “บึงกาฬ” ได้เลย พิกัดถูกต้อง ไม่มีทิ้งไว้กลางทาง เส้นทางก็คือขับตรงไปอย่างเดียวเลย จนถึงปั้ม ปตท. แล้วจะเจอแยกใหญ่ เลี้ยวซ้าย ก็คือเข้าตัวเมืองบึงกาฬแล้ว ที่นี่เป็นจังหวัดเล็กๆ ริมฝั่งแม่น้ำโขง อากาศดี แล้วก็ไม่วุ่นวายด้วย
ใช้เวลาขับรถประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ ก่อนฟ้าจะมืด เลยตระเวณหาที่พักไว้ก่อน ขับเลียบแม่น้ำโขงไปเรื่อยๆ ไปเจอที่นึง ลองเข้าไปถาม ราคาไม่แพง ได้วิวแม่น้ำโขงด้วยแฮะ คืนละ 500 บาท นอนได้ 2 คน มีทั้งแอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น ตู้เย็น ทีวี และสะอาดด้วย
ส่วนตอนเย็นที่ริมแม่น้ำโขง เค้าจะมีชายหาด ฝั่งตรงข้ามก็คือประเทศลาว ก็แวะมาดูพระอาทิตย์ตกดิน แล้วก็เดินเล่นแถวๆ นั้น โซนฝั่งริมแม่น้ำโขง ถือว่ามีครบ ทั้งร้านอาหาร ที่พัก หากไปตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์ ก็จะมีถนนคนเดินด้วย หากใครจะไปเที่ยวบึงกาฬ ก็แนะนำ ให้ลองแวะไปโซนนี้ดู
แล้วเดี๋ยว 7 โมงเช้า เราเช็คเอาท์ออก แล้วไปเที่ยวกัน.....แล้วเดี๋ยวเจอกันที่วัดภูทอก
#ห้วยบังบาตร ระหว่างทางไปวัดภูทอก
สวัสดี….วัดภูทอก หรือชื่อเต็มๆ ที่เรียกกันว่า วัดเจติยาคีรีวิหาร อยู่ที่ตำบลนาสะแบง จ.บึงกาฬ ในภาษาอีสานแปลว่า ภูเขาที่โดดเดี่ยว ภูทอกนั้นมีเขา 2 ลูก คือภูทอกใหญ่และภูทอกน้อย
ส่วนที่เราขึ้นไปได้นั้น คือภูทอกน้อย เส้นทางในการขึ้นจะเป็นบันไดไม้ และสะพานไม้รอบเขา วนขึ้นไป 7 ชั้น
เดินขึ้นบันไดไม้ไปเรื่อยๆ แล้วก็ดันมาเจอผู้นำทางซะนี่...
เอาล่ะ...เรากำลังเดินขึ้นวัดภูทอกกัน โปรดสำรวมและไม่ส่งเสียงดัง
ก้าวแรกของการเดินสะพานไม้ มองไปครั้งแรก ก็แอบหวั่นๆ จะมีไม้เงิบๆ มั๊ยนะ..แต่ไม่ต้องห่วง แผ่นไม้บันไดวนที่นี่ แข็งแรงเดินแล้วสบายใจแน่นอน ส่วนวิวที่มองลงไป ก็เป็นป่ายางพารา เกษตรกรรมหลักของจังหวัดนี้
เราไปถึงที่วัดภูทอกประมาณ 9 โมงกว่า แดดตอนสายกำลังร้อนได้ที่ และแสงก็สาดเข้าเต็มๆ
บนสะพานไม้วนรอบเขา แนะนำให้เดินทีละคนจะดีกว่า เว้นระยะห่างกันหน่อยก็ดีนะ เพราะมันค่อนข้างแคบในบางช่วงทางเดิน และใครที่แอบกลัวความสูง มองไปไกลๆ นะ มองลงไปข้างล่างนี่ หน้าท้องนี่วาบเลยจ้า
เห็นไกลๆ นั่นมั๊ยยยย….นั่นภูวัวนะเออ….
ระหว่างทาง จะมีจุดต่างๆ สำหรับพระสงฆ์ นั่งวิปัสสนากรรมฐาน
ชั้นที่ 5 ของวัดภูทอกแห่งนี้ จะมีทางเชื่อมไปยังพุทธวิหาร เข้าไปไหว้สักการะ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ซึ่งเป็นสถานที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุและเป็นที่พระอริยหลายองค์มาพักผ่อนและละสังขารที่นี่
มองจากพุทธวิหารขึ้นไป ก็จะเห็นสะพานไม้ที่เราเดินมารอบเขา
และหากถ้าขึ้นไปที่ชั้น 6 เราจะสามารถชมทิวทัศน์ของธรรมชาติ และมุมความงดงามของพุทธวิหารที่นี่ได้อย่างเต็มที่
สำหรับชั้นบนสุด ชั้นที่ 7 ข้างบนไม่มีบันไดเวียน และเป็นชั้นสูงสุด สามารถขึ้นไปชมทิวทัศน์ได้เหมือนกับชั้นที่ 6 เช่นกัน
การเดินทางมาวัดภูทอกแห่งนี้ ควรมาด้วยจิตใจบริสุทธิ์ ไม่ส่งเสียงดัง รักษาความสะอาด และสำรวม ส่วนใครที่กลัวความสูง อาจจะลำบากใจหน่อยๆ ขนาดว่าเราไม่กลัวแล้ว มองลงไปทีไร หวิวท้องทุกทีเลย
สำหรับคนที่มีเวลาเที่ยวไม่เยอะ ออกจากวัดภูทอกแล้ว แวะไปชมวิวต่อที่ภูสิงห์ ที่มีทั้งลานธรรมะ และหินยักษ์ ระยะทางระหว่าง 2 สถานที่นี้ ห่างกันประมาณ 15 กิโลเมตร ขอเตือนไว้ก่อนว่า ถ้าใช้ google maps แล้วค้นหา ภูสิงห์ อาจจะโดนทิ้งไว้กลางทางแบบเรา ขับเข้าไปในป่า สุดท้ายเจอร้านรับซื้อยางพารา ฮ่า ฮ่าา….
#ภูสิงห์
เส้นทางไปภูสิงห์ จากวัดภูทอก ก็ไม่ยาก กลับมาที่ถนนเส้นหลัก ตรงย้อนกลับขึ้นมา เพราะก่อนไปวัดภูทอก เราผ่านภูสิงห์มาแล้ว ย้อนกลับไป แล้วสังเกตป้ายทางซ้ายมือเอาไว้ จะเขียนไว้ว่า ภูสิงห์
ก่อนเข้าไปภูสิงห์ แวะลงทะเบียน เสียค่าบำรุงกันเพื่อพัฒนาสถานที่กันต่อไป เพียงนิดหน่อยเท่านั้น
เอาล่ะ….เราขับรถขึ้นภูสิงห์กัน สำหรับใครที่เอารถมา ที่นี่เป็นวันเวย์ ทางเดียว ถนนเป็นทราย ถ้ารถสวนมา ก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน ว่าจะทำไงดี ใครเดินหน้า ใครถอยหลัง ไปมองตากันเอาข้างหน้าแล้วกันนะ
ยิ่งขับไปรู้สึกเส้นทางยิ่งไกลมาก เพราะเราก็ยังไม่รู้จุดหมาย แวะถามที่ทำการ ระหว่างทางที่ขับมาแล้วประมาณ 3 กิโล เค้าบอกอีกแค่ 2 โลเอง แต่สำหรับเส้นทางแบบนี้ โอ๊ยยยย…ทำไมมันไกลจัง
# จุดชมวิวถ้ำฤาษี
เส้นทางตอนขึ้นไป เกือบไปแล้ว เพราะไม่มีไม้กั้น โชคดีที่มีป้ายว่า ห้ามรถเข้าอยู่ตรงหน้าผาพอดี ถ้าใครขึ้นไปถึงแล้ว เจอห้องน้ำ หรือศาลาทำการ ให้จอดรถไว้ตรงนั้นเลย!! จุดนี้จะเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ติดหน้าผาสูง มองเห็นวิวป่าภูวัว ภูทอกใหญ่ เห็นแม่น้ำโขง แก่งสะดอก หาดทรายแม่น้ำโขง และภูเขาเมืองปากกระดิ่ง ประเทศลาว
เดินย้อนกลับมาไม่ไกล ไม่ต้องขับรถ ก็จะเจอ หินสามวาฬ
#หินสามวาฬ
พอไปเห็นเท่านั้นแหละ เชื่อเลยว่าสามวาฬจริงๆ ความรู้สึกพอได้เห็น คือเหมือนเราอยู่บนหลังปลาวาฬจริงๆ ตรงนั้นลมค่อนข้างแรง เพราะเป็นหน้าผานิดๆ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ๆ เสียวท้องมากกกกก รีบถ่ายรูป รีบเดินกลัว กลัวตก ฮ่าๆๆๆ
เห็นรึยังเราอยู่บนหลังปลาวาฬแล้ว
เวลาที่ไปภูสิงห์ ช่วงที่เราไปมันคือตอนเที่ยง เลยร้อนมาก เพราะตรงนั้น เป็นหน้าผาหินหมดเลย หากใครอยากฟินๆ แนะนำให้ไปตอนเช้า จะได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นได้ด้วย
ตอนออกจากภูสิงห์ เราก็คิดว่า เดี๋ยวขากลับทางผ่านหนองคาย แล้วจอดรถไว้ที่ด่านไทย แล้วไปนอนเล่นเวียงจันทน์สักคืนดีมั้ยนะ แต่ดันไม่ได้แพลนล่วงหน้า เลยไม่ได้พกพาสปอร์ตกันมา แต่จริงๆ สามารถทำบัตรผ่านได้ที่ด่าน แต่ดั๊นนน…หมดเวลาสำหรับบัตรผ่านตอน 16.30 เราช้าไปแค่ 5 นาทีเท่านั้น
ไม่เป็นไร…จะให้กลับไปเที่ยวที่เมืองอุดรฯ ก็เป็นครั้งที่ 3 ในรอบปีแล้ว ที่มาอุดรฯ เลยอยากไปที่อื่นบ้าง เลยตัดสินใจอดทนขับรถอีก 200 กิโลเมตร เพื่อไปนอนที่เชียงคาน
ตามเสต็ปเดิม google maps ช่วยด้วย แต่ด้วยความฉลาดของมัน ช่วยย่นระยะทาง แต่เป็นทางภูเขา แล้วมันก็มืดชะมัด ถ้ามืดแล้วไม่ควรมาเส้นทางนี้จริงๆ ความรู้สึกคือ ขับรถเท่าไร ก็ไม่ถึงสักที เชียงคานจ๋า…
หากต้องการไปเชียงคานจากอุดรธานี แนะนำให้ไปทางเส้นหนองบัวลำภูจะดีกว่า ถนนตัดใหม่หมาดๆ พื้นนี่เรียบกริ๊บเลย
ถึงเชียงคาน 3 ทุ่ม เดินหาที่พัก เต็มเกือบหมด ไม่น่าเชื่อว่าคนจะเยอะ ทั้งๆ ไม่ใช่วันหยุดยาว ไม่ใช่เทศกาล เดินหาไปเรื่อยๆ จนได้ที่พัก ในราคาหัวละ 200 บาท มีทีวี พัดลม ห้องน้ำรวม นอนได้แบบชิวๆ อากาศกำลังดี เดี๋ยวตอนเช้าเราค่อยมาเดินเล่นในเมืองเชียงคานกัน
#พิกัดที่พักหัวละ 200 บาท
เชียงคาน จ.เลย เป็นเมืองเล็กๆ อบอุ่นน่ารักๆ ที่ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมๆ ไว้ได้ และเชื่อว่าหลายๆ คนเคยไปสัมผัสความน่ารักของเมืองนี้กันมาบ้างแล้ว
#คนติดกาแฟ แวะนั่งร้านนี้ก่อนก็ได้ แต่งร้านดีงาม ชื่อร้านน่ารัก "สองผัวเมีย"
ต่อด้วยการกินงานบ้านๆ นอกจากนี้ ที่นี่ก็ยังมีอาหารประจำที่มาแล้วต้องโดน "ไข่กระทะ กับ ข้าวเปียก"
#เชียงคานน่ารัก
#เดินเลาะริมฝั่งโขง
พอสายๆ แดดก็เริ่มร้อนแล้ว เดี๋ยวเราไปแก่งคุดคู้กันต่อ ที่นี่เป็นแก่งหินใหญ่ขวางอยู่กลางลำน้ำโขงระยะทางห่างจากเชียงคานประมาณ 3 กิโลเมตร
สำหรับใครถ้าอยากไปดูทะเลหมอกที่ภูทอก เชียงคานในตอนเช้า รีบตื่นโดยไว สำหรับเราการขับรถมา 2 วัน 800 กิโลเมตร ร่างจะหลุดเลยตื่นไม่ไหว
ตอนค่ำวันนี้ต้องขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ เลยมีเวลาประมาณ 6 ชั่วโมง เลยแวะเก็บแถวเชียงคานอีกหน่อย
#ห้วยกระทิง
ห่างจากตัวเมืองเชียงคานประมาณ 60 กิโลเมตร แต่สำหรับเส้นทางกลับไปสนามบินอุดรฯ ก็เป็นทางผ่านกลับอยู่แล้ว
ถ้ามีเวลาจะล่องแพ ชมวิวห้วยกลางหุบเขาก็ยังได้
ลองขับรถเลาะไปถนนริมห้วยกระทิง ก็จะได้อีกมุมของที่แห่งนี้ แล้วก็ต้องขับรถยาวๆ ไปสนามบิน นั่งเครื่องกลับกรุงเทพฯ สู่โลกความจริง ทำงาน!!
ใครที่อยากสอบถามเพิ่มเติม inbox ส่วนตัวมาได้เสมอค่ะ หรือจะทางนี้ก็ได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้