พุทธวจน
นักปราชญ์ทำกุศลทีละน้อยๆ ในขณะๆ พึงขจัดมลทินของตนออกได้
โดยลำดับ เหมือนช่างทองขจัดมลทินของทอง ฉะนั้น
ไฟเสมอด้วยราคะไม่มี ผู้จับเสมอด้วยโทสะไม่มี
ข่ายเสมอด้วยโมหะไม่มี แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี โทษ
ของผู้อื่นเห็นได้ง่าย ส่วนโทษของตนเห็นได้ยาก เพราะว่า
บุคคลนั้นย่อมโปรยโทษของคนอื่น ดุจบุคคลโปรยแกลบ
แต่ปกปิดโทษของตนไว้ เหมือนพรานนกปกปิดอัตภาพด้วย
กิ่งไม้ ฉะนั้น อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลผู้ตามเพ่ง
โทษผู้อื่น มีความสำคัญในการยกโทษเป็นนิตย์ บุคคลนั้นเป็น
ผู้ไกลจากความสิ้นอาสวะ
บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิต ด้วยเหตุเพียงที่พูดมาก
บุคคลผู้มีความเกษมไม่มีเวร ไม่มีภัย เราเรียกว่า เป็นบัณฑิต
บุคคลไม่ชื่อว่าทรงธรรมด้วยเหตุเพียงที่พูดมาก
ส่วนผู้ใดฟังธรรมแม้น้อยแล้ว ย่อมพิจารณาเห็นธรรมด้วยนามกายไม่ประมาท
ผู้นั้นแล ชื่อว่าเป็นผู้ทรงธรรม
บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นเถระ เพราะเหตุที่มีผมหงอกบนศีรษะ
วัยของบุคคลนั้นแก่ หง่อมแล้ว บุคคลนั้นเรากล่าวว่า เป็นผู้แก่เปล่า
สัจจะ ธรรมะ อหิงสา สัญญมะและทมะ มีอยู่ในผู้ใด
ผู้นั้นแลมีมลทินอันคายแล้ว เป็นนักปราชญ์ เราเรียกว่าเป็นเถระ
วัยของบุคคลนั้นแก่ หง่อมแล้ว บุคคลนั้นเรากล่าวว่า เป็นผู้แก่เปล่าบุคคลไม่ชื่อว่าเป็นภิกษุด้วยเหตุเพียงที่ขอคนอื่น
นักปราชญ์ทำกุศลทีละน้อยๆ ในขณะๆ พึงขจัดมลทินของตนออกได้
โดยลำดับ เหมือนช่างทองขจัดมลทินของทอง ฉะนั้น
ไฟเสมอด้วยราคะไม่มี ผู้จับเสมอด้วยโทสะไม่มี
ข่ายเสมอด้วยโมหะไม่มี แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี โทษ
ของผู้อื่นเห็นได้ง่าย ส่วนโทษของตนเห็นได้ยาก เพราะว่า
บุคคลนั้นย่อมโปรยโทษของคนอื่น ดุจบุคคลโปรยแกลบ
แต่ปกปิดโทษของตนไว้ เหมือนพรานนกปกปิดอัตภาพด้วย
กิ่งไม้ ฉะนั้น อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลผู้ตามเพ่ง
โทษผู้อื่น มีความสำคัญในการยกโทษเป็นนิตย์ บุคคลนั้นเป็น
ผู้ไกลจากความสิ้นอาสวะ
บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิต ด้วยเหตุเพียงที่พูดมาก
บุคคลผู้มีความเกษมไม่มีเวร ไม่มีภัย เราเรียกว่า เป็นบัณฑิต
บุคคลไม่ชื่อว่าทรงธรรมด้วยเหตุเพียงที่พูดมาก
ส่วนผู้ใดฟังธรรมแม้น้อยแล้ว ย่อมพิจารณาเห็นธรรมด้วยนามกายไม่ประมาท
ผู้นั้นแล ชื่อว่าเป็นผู้ทรงธรรม
บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นเถระ เพราะเหตุที่มีผมหงอกบนศีรษะ
วัยของบุคคลนั้นแก่ หง่อมแล้ว บุคคลนั้นเรากล่าวว่า เป็นผู้แก่เปล่า
สัจจะ ธรรมะ อหิงสา สัญญมะและทมะ มีอยู่ในผู้ใด
ผู้นั้นแลมีมลทินอันคายแล้ว เป็นนักปราชญ์ เราเรียกว่าเป็นเถระ