อายุ30 จะ 31 แล้ว วันหนึ่งคุณต้องเลือกระหว่าง....

กระทู้สนทนา
สวัสดีครับพี่น้องชาวพันทิพย์ ผมมีเรื่องกวนใจมากๆในชีวิตที่ผมเองคิดไม่ตก
ก่อนอื่นเลยต้องแนะนำตัวว่าตอนนี้ผม อายุ 30 ปีนี้ย่าง 31 แต่ยังไม่มีสมบัติอะไรติดตัวนอกจากคอนโดที่กู้ไว้ตอนทำงานบริษัทเอกชน
ตอนนี้ผมลาออกมาแล้วทำให้คอนโดที่มีเงินผ่อนทุกเดือนตอนนี้ กลายเป็นภาระอย่างแรกที่ผมจนปัญญา และผมตอนนี้ไม่มีเงินติดตัวเพียงแค่ 6 พัน
บาทกับการต้องเลือกระหว่าง การทำงานที่ตัวเองรักแต่ไม่รู้อนาคตมันจะเป็นยังไง     กับงานที่ตัวเองไม่ได้รักแต่แน่นอนทำตัวเองอยู่รอดได้แน่นอน เพี้ยงแต่อาจะต้องทน  ทน ทน ทน ทน ถึงขั้นทำงานให้เป็นหุ่นยนต์เลย

ผมจบสายนิเทศศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งแถวปทุมธานี แต่เนื่องจากพิษเศรษฐกิจทำให้ผมไม่ได้งานที่ตัวเองเรียนจบมาเท่าใดนัก
ผมตกงานนานอยู่สองปี ทำให้เป้าหมายชีวิตที่เคยวาดฝันเอาไว้ก่อนเรียนจบมาพังลง สุดท้ายผมได้งานที่บริษัท internation แห่งหนึ่งเป็นพนักงานขาย
สินค้าเครื่องสำอางและน้ำหอม แน่นอน ภาษาต้องดีมากคนที่จะอยู๋ที่ดีได้ แต่ไม่ใช่ผม ผมมาเรียนรู้ใหม่หมดทั้งภาษาอังกฤษหรือว่า จีน หรือรัชเชีย แน่นอนผมทำงานที่นี้มา สองปี ทำให้ผมสามารถที่จะทำเรื่องกู้ทางบริษัททางการเงินต่างๆได้อย่างสบาย จนกระทั้งผมเริ่มรู้สึกว่าการทำงานหนัก ในขณะที่ผลตอบแทนที่ได้รับน้อย ทำเหนื่อยขนาดนี้ เพื่ออะไร เพื่อตัวเอง เพื่อพ่อ หรือว่าเพื่อบริษัท

ครอบครัวผมเป็นครอบครัวกรรมกรครับ ใช้แรงงานหยาดเหงื่อแลกเงินมา แน่นอนว่ากรรมกรคงไม่มีปัญญาส่งลูกชายตัวเองเรียนจบมหาลัยเอกชนได้แน่นอน กรรมในครอบครัวผมคือเป็นช่างเชื่อม(ช่างที่มีความชำนาญเรื่องเหล็ก การตัดการเชื่อม ตามแต่งานที่ได้รับมอบหมาย) และงานส่วนใหญ่ของพ่อก็คือต่างประเทศไม่ได้ทำงานในประเทศไทยครับ พ่อผมเป็นกรรมกรในต่างแดนแน่นอนว่า ค่าตอบแทนย่อมสมน้ำสมเนื้อแน่นอน

พ่อตอกย้ำเสมอตั้งแต่ผมเลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์ว่า เป็นคณะที่เต้นกินรำกิน เรียนมาตกงานแน่นอน ซึ่งผมตอนนั้นคือคณะที่ใช้และชอบ ผมเรียนมาด้วยความชอบส่วนตัวและความสามารถ ถึงแม้เพื่อนจะมีไม่ค่อยมากเพราะว่าผมเป็นคนค่อนข้างเนิร์ส และคนในสาขามีน้อยทำให้เส้นสายทางด้านนี้ไม่มีเลย แม้กระทั้งรุ่นพี่ เวลาเรียนจบมาก็อย่างที่พ่อว่าตกงานแน่นอน  ก็อย่างที่บอกไปในข้างต้นสองปีครับ กระอักน่าดูกับการหางานเกี่ยวกับสายบันเทิงในบ้านเรา แถวเป็นช่วงกีฬาสีของรัฐบาลไล่ยิงกันกลางเมือง  

พ่อเสนอให้ไปทำงานต่างประเทศแบบพ่อ ซึ่งพ่อมีเพื่อนเป็นเจ้าของบริษัทส่งคนออกไปต่างประเทศได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย ขี้หมูขี้หมา เงินเดือน helper คือผู้ช่วยชั้นต่ำสุดอยู่ที่ราวๆ เป็นเงินไทยได้ 28000-32000 ตำแหน่งช่างประกอบ fitter ตัด ประกอบ ร่างแบบ อยู่ที่ราวๆๆ 9 หมื่นถึง แสนนิดๆ
ตำแหน่ง ที่สามคือ welder หรือช่างเชื่อม มีหน้าที่เชื่อมอย่างเดี่ยวเชื่อมเหล็กให้ติดกัน แน่นอนกว่าเงินเดือนสูงมาก คือ 150k-180k เลยทีเดียว
ตำแหน่งสุดท้าย คือ Forman ตำแหน่งนี้ได้มาแบบ ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย 1 ภาษาอังกฤษต้องสื่อสารรู้เรื่องเพื่อที่จะได้สั่งงานให้ลูกน้องทำตามแบบ ที่ทางชาวต่างชาติมอบหมายมาให้ 1 ต้องเป็นคนที่มีความรู้คือ ต้องผ่านงาน ที่ผ่านมาทั้งสามอย่าง helper welder fitter แล้วจึงค่อยมาเป็นโฟร์แมน

แน่นอน อยู่เมืองนอก อยู่ฟรีกินฟรีทำแต่งานไม่มีวันหยุด วันหยุดคือวันที่พายุเข้า คือเก็บเงินเต็มๆ
ซึ่งผมก็เชื่อพ่อเพราะว่าคิดว่าอยู่นี้ก็คงทำงานหนักเช่นกัน แต่เงินเดือนเท่ากัน แต่ที่สำคัญเราไม่มีเงินเก็บ พ่อบอกว่าอย่างผมเป็นโฟร์แมนได้แน่นอนเพราะว่าได้ภาษาถึงไม่เก่งมากแต่ก็พอฟังออกรู้เรื่อง สุดท้ายผมลาออกจากบริษัทที่มีความมั่นคงสูงออกมา ไปทำงานตำแหน่ง helper ที่ประเทศอิหร่าน มันไม่เหมือนที่คิดเลยครับ เหนื่อย เหนื่อย เหนื่อยมาก โครตเหนื่อย เหนื่อย ยิ้มๆ ทำงานกลางแดดตั้งแต่ 11 โมงเช้าถึง เที่ยงคืน เวลาพักคือเวลากินข้าวคือ ต้องผลัดกันไปกินข้าวถ้างานยังไม่เสร็จ  สิ่งแวดล้อมเต็มไปด้วยกรรมกรคนไทยที่ไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ แบบเถื่อนๆ ดิบ เหมือนรังโจร แน่นอน เหนื่อยแล้วก็อึดอัดมาก

ผมอยู่ที่นั้นทนทำงานความคิดตลอดเวลาว่ากลับมาเมืองไทยจะทำอะไรดี จะเอาเงินตรงนี้ไปต่อยอดยังไงดี แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง กลับมาผมมีเงินติดตัวมา 120k ทำงาน สี่เดือนในต่ำแหน่งที่เงินเดือนน้อยสุด ผมมาถึงเมืองไทยผมเริ่มหาข้อมูลเรือสำราญเป็นอันดับแรก เพราะผมคิดว่าน่าจะเป็นงานที่เหนื่อยเช่นกัน แต่ทำงานในห้องแอร์และที่สำคัญงานเรือคือ เก็บเงินอย่างเดียว

แต่ด้วยที่ระหว่างที่หางานทำนั้นผมก็ต้องหางานอื่นรองรับเพื่อให้มีเงินใช้ในแต่ละวัน ผมเลือกเป็นช่างแต่งหน้าอิสระ เพราะความรู้ที่ได้รับมาสมัยเรียนหนังสือ เงินทั้งหมดผมหมดไปกับการลงทุนเรื่องเรือสำราญและช่างแต่งหน้า เหมือนเหยียบเรือสองแคม
แน่นอนมันไม่ได้อะไรมาง่ายๆ ผมไม่ประสบความสำเร็จตอนสัมภาษณ์งานเรือสำราญ ส่วนเรื่องช่างแต่งหน้างานไม่มีเลย เนื่องจากเราไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน เงินต่อยอดก็หมดไม่เหลือเลย สุดท้ายผมเครียดมากถึงขึ้นอยากจะฆ่าตัวตาย  "พ่อบอกว่า งั้นก็กลับมาเป็นช่าง" งานที่ผมไม่ชอบเลย งานที่ผมไม่อยากกลับไปมันอีกแล้ว

สุดท้ายผมรู้จักกับพี่ช่างแต่งหน้าคนหนึ่งเขาก็ไม่ได้มีงานเยอะแยะอะไรนักแต่สิ่งที่เขาให้ผมมาก็คือ "เวลา" มีเวลา ทิ้งเวลาที่เสียไปโดย ไปวิ่งหาอะไร  นั้นสิ ผมวิ่งหาอะไร ผมวิ่งหาเงิน เงินทำให้ผมมีชีวิตต่อไปได้
แต่ผมมองย้อนกลับมาอีกว่า ถ้าวิ่งหาเงิน งานช่างก็เป็นทางเลือกที่ดีได้เงินดี เหนื่อย เงินเยอะ แฟร์ๆ แน่ทรมาร ถึงขั้นนอนร้องไห้ (แต่ในใจก็คิดว่าพ่อคงลำบากมากกว่าจะมีบ้านมีทุกวันนี้)

ผมเลยต้องเลือก  ทางเลือกผมมีแค่สองทาง ทำยังไงดี ผมสับสนไปหมด ตอนนี้ผมสัมพาษณ์งานเรือผ่านแล้ว เหลือแค่รอเขาเรียกตัวอีกรอบ เพราะว่าผม ผ่านการตรวจร่างกายรอบแรก เนื่องจากประสบอุบัติเหตุแขนหัก(ซึ่งจริงๆถ้าไม่มีอะไรผิดผ่านผมควรจะได้บินตั้งแต่ 17 ตุลาคม 2558) แต่เนื่องจากพลาดการเรียกตัวรอบนี้ทำให้ต้องรอทางบริษัทเรียกตัวอีกครั้งซึ่งไม่รู้เมื่อไหร่และอีกนานไหม

ทางเลือกที่สองตอนนี้ ขอเรียกว่าคุณแม่(ช่างแต่งหน้า)  เขาได้ชักชวนให้มาอยู่ด้วยกัน โดยตั้งกฤว่าอยู่ด้วยได้ มีงานให้(แต่ไม่ทุกวัน) และเราก็ต้องดิ้นร้นเอาเองด้วย ถ้าอยากจะมาสายนี้ ซึ่งผมเลือกที่จะไปอยู่กับคุณแม่และตัดสิ้นใจจะไปประมาณ วันที่ 10-1-2559 แต่ ถ้าผมอยากทำงานที่ตัวเองรักอยู่กับคุณแม่ผมก็จะต้องนับจาก 0 ไม่มีเงิน ไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ติดตัว กะคอนโดหนึ่งหลัง

แต่ถ้าผมตอ้งเลือกทำงานต่างประเทศ มีให้เลือกสองทาง งานที่พ่อผมเป็น กับงานที่ผมเลือก เรือสำราญ งานสองอย่างนี้ก็ไม่รุ้ว่าจะได้ไปเมื่อไหร่ ไปแล้วจะทนทำได้นานไหม หรือว่าจะกลับมาอีรอบเดิมอีก แต่เรื่องเงิน จะไม่ใช่ประเด๋นกวนใจเราแน่นอน แล้วถ้าเรามีเงินแล้ว เราอาจจะมาเดินตามควมมฝัน เป็นช่างแต่งหน้าฟรีแลนด์ โอกาสแบบนี้มันจะมีอีกไหม หรือว่าผม จะเสียสิ่งที่เขาหยิบยืนมาให้ นั้นคือเวลา ผมเครียดมาก ถ้าพวกๆพี่ๆเป็นผม ผมควรทำยังไง

ผมรักพ่อนะ อยากให้พ่อสบาย อยากให้เงินพ่อใช้ อยากเป็นลูกกตัญญูแต่ผมก็  ไม่รู้สิ เคยไหมทำงานที่ตัวเองไม่ชอบอยู่กับมันพยายามทำแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ ผมควรทำไงดี  ผมมีภาวะกดดันเรื่องเงิน มากในตอนนี้ มีคนแนะนำให้ผมไปพบจิตแพทย์ด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่