คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
สวัสดีครับ......พี่กำไรสุทธิ พี่เเมกซ์ ตอบไปหมดละ
เเบบที่ผมทำคือเเบบที่ 1 หรือ 2 ที่พี่เเมกซ์อธิบายครับ
ขอพูดเพิ่มถึงจุดที่ว่าซื้อให้ถูกกว่าขาย ผมก็ยังอยู่ในกฎนี้ตลอดนะครับ
เเต่ก๋อนก็ยึดที่จำนวนหุ้นที่ต้องเท่าเดิม .... ต่อๆมาก็ขยายขอบเขตไปที่มูลค่า
เป็นมูลค่าที่ผมซื้อต้องถูกกว่าขายครับ มันกว้างขึ้นเเละหยืดหยุ่นได้มากกว่า
เช่น ขายที่ 12 1000 หุ้น มูลค่าที่ขาย 12,000 บาท
เเบบเเรกฟิกที่จำนวนหุ้น 1000 หุ้น ดังนั้นถ้าจะซื้อให้ถูกกว่าขาย ราคาหุ้นก็ต้องต่ำกว่า 12
เเบบฟิกมูลค่าที่ 12,000 บาท ก็คือผมจะซื้อหุ้นราคาเท่าไรหรือจำนวนเท่าไรก็ได้ขอให้มูลค่าไม่เกิน 12,000บาท
ก็ยังถือว่าซื้อถูกกว่าขายครับ
เเบบที่ผมทำคือเเบบที่ 1 หรือ 2 ที่พี่เเมกซ์อธิบายครับ
ขอพูดเพิ่มถึงจุดที่ว่าซื้อให้ถูกกว่าขาย ผมก็ยังอยู่ในกฎนี้ตลอดนะครับ
เเต่ก๋อนก็ยึดที่จำนวนหุ้นที่ต้องเท่าเดิม .... ต่อๆมาก็ขยายขอบเขตไปที่มูลค่า
เป็นมูลค่าที่ผมซื้อต้องถูกกว่าขายครับ มันกว้างขึ้นเเละหยืดหยุ่นได้มากกว่า
เช่น ขายที่ 12 1000 หุ้น มูลค่าที่ขาย 12,000 บาท
เเบบเเรกฟิกที่จำนวนหุ้น 1000 หุ้น ดังนั้นถ้าจะซื้อให้ถูกกว่าขาย ราคาหุ้นก็ต้องต่ำกว่า 12
เเบบฟิกมูลค่าที่ 12,000 บาท ก็คือผมจะซื้อหุ้นราคาเท่าไรหรือจำนวนเท่าไรก็ได้ขอให้มูลค่าไม่เกิน 12,000บาท
ก็ยังถือว่าซื้อถูกกว่าขายครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 62
ระบบ dsm ที่ผมวางแผนไว้คือ
เริ่มต้นด้วยหุ้น 100% สมมุติ ที่ราคา 10 บาท
ส่วน 3 หรือกองหลัง จะเริ่มต้น เมื่อ เริ่มหักหัวลง จากจุดไหนก็ได้ 3,4,5 ช่อง แล้วแต่จะเลือก
เช่น ขึ้นไปก่อน ราคา 11 ลงมา 10.7 ขาย ส่วน 3 คือ 10.7
หรือ ซื้อแล้ว ลงเลย ขาย 10% ที่ 9.7 ส่วน 3 คือ 9.7
จะบอกว่า ส่วน 3 ที่หลายคนคิดว่าง่าย แต่สำหรับผม ยากที่สุด
เพราะ แบบที่ทำปกติ คือขายลง แล้วหักหัวขึ้น ซื้อคืนทั้งหมด ในความเป็นจริงที่แสนเศร้าคือ มันเด้งให้ซื้อได้ตลอด สุดท้ายหุ้นลงยาวๆ แต่เก็บ กสงฝ ได้นิดเดียว คิดว่าทุกคนผ่านตรงนี้มาหมดแล้ว (แต่ไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่เห็นคุยเรื่องประเด็นนี้ )
จากที่ผมได้คุยกับบางท่าน ที่เคยเห็นคุณเด่นศรีเทรด เค้าสงสัยว่า คุณเด่นศรีรู้ได้อย่างไร ว่าไม่ต้องรีบซื้อคืน กองหลังตัวบนๆ ซึ่งแปลว่าจริงๆแล้ว กองหลังที่เป็นส่วน 3 ตอนเริ่มระบบ ไม่ควรรีบซื้อคืน ดังนั้น เมื่อเราไม่รีบซื้อ ทำให้เวลาหุ้นตกแรงๆ เราสามารถสร้าง กสงฝ จากส่วน 3 ได้คำใหญ่มากขึ้นได้
ด้วยเหตุผลนี้เอง ระบบส่วน 3 ที่ผมคิดไว้ คือ
ลงขาย 10% เป็นกองหลัง กองหลัง 2- 3 ตัวบน ***จะไม่มีการซื้อคืนเลย***
รูปแบบที่แย่ที่สุด ถ้าเริ่มที่ 10 คือ
กองหลังบนสุด 9.8 9.6 ( 9.4 ) ไม่ซื้อคืน
ที่เหลือ ถ้าลง ก็ขายลงต่อ จำนวนช่องอาจจะห่างขึ้น เช่น 9.1 8.8 8.5 เมื่อหักหัว ขึ้น จะซื้อคืน ที่ 8.7 จับคู่กับ 8.8 9.1 (9.4) ได้ หุ้นคืน 30% +ซื้อเพิ่ม 2% ที่ราคา 8.7 (ส่วนนี้ เอาไว้เล่นส่วน 2 ในโซน 9-10 บาท ด้วยการขึ้นขายลงซื้อ )
บทสรุป ของระบบส่วน 3
จะมีหุ้นที่ขายเป็นกองหลังตัวบนสุด ที่จุดเริ่มต้น 2 กอง บนสุดที่จุดเริ่มต้น + 1 กอง อยู่ล่างสุด
แล้วจะเกิด ระบบ 1% ในโซนกองหลัง ขึ้นมาเรื่อยๆ ยิ่งลงยิ่งเยอะ ( 1% มาจาก กสงฝ อนาคต จากการไม่ซื้อคืนกองหลังทั้ง 3 ตัว ยิ่งลง กสงฝ ส่วนนี้จะเยอะขึ้น สามารถผลิด 1% ออกมาได้เรื่อยๆ ซึ่งพอขึ้นไปเราก็ขายออก กลายเป็นเงินสด 30% เหมือนเดิม จะเห็นว่า ไม่ผิดหลักคณิตศาสตร์ )
ดังนั้น ขาลง เมื่อเริ่มซื้อหุ้น แล้วราคาลดลง รายได้ มาจาก
1 ระบบ 10% แบบที่ทุกคนรู้
2 ระบบ 1% จากกสงฝ ในอนาคต แบบลงซื้อขึ้นขาย ( เหมือน kzm )
สิ่งที่ได้ คือ กองหลัง ที่ขาย ล่างสุด มีแค่ 10%
อีก 2 กองจะอยู่ที่จุดเริ่มต้น
ส่วน 2
ในความหมายที่ผมคิด คือ ส่วนที่อยู่เหนือ 3 แปลว่าส่วนนี้ คือส่วนที่กำไร (เพราะ ราคาสูงกว่าทุน)
ที่กล่าวไว้ในความเห็นก่อนหน้านี้ ส่วน 2 ในขาขึ้น จะตรงข้ามส่วน 3 แต่เป็นระบบ 1%
จะเริ่มซื้อ เมื่อราคาสูงกว่า กองหลังตัวบนสุด เช่น 10.2 10.5 10.8 ซื้อ
เนื่องจากเป็น ระบบ 1% เราจึงไม่ต้องรีบขาย และอาจยอมติดดอย ได้ 3-5% ก็ยังไหว
การขาย ส่วน 2 ก็คงลักษณะคล้ายส่วน 3 คือ หักหัวลง ... ช่อง ขาย ขายให้แพงกว่าซื้อ
บทสรุปของส่วน 3 และ 2
มีหุ้นขายล่างสุด 10% ตรงกลางบริเวณต้นทุน 20 %
มีหุ้นซื้อยอดดอย 3 %
จะเห็นว่าส่วนต่างของกองหน้า และกองหลัง ลดจำนวน และความห่างของช่วงราคาลงเยอะ ซึ่งมีผลทำให้ผลตอบแทนของระบบน่าจะดีขึ้น
ส่วน 8
ความคิดของผม คือส่วนที่เป็นกำไร
แปลว่า หุ้นขึ้นจากส่วน 3 บนสุด ขึ้นมาได้ ก็จะเป็นส่วน 8 ก็แล้วแต่ว่าจะขาย 1 % ทุกกี่ช่อง
ลองคิดได้เลยว่า หุ้น 70% ขายได้ 70 ช่อง จะแบ่งขายยังไง ก็แล้วแต่
สิ่งที่ต้องคิดของส่วน 8 คือ การซื้อคืน
ตรงนี้ คือสิ่งที่ผม ยังไม่เคยทำ ผมยังไม่รู้ว่า เก็บกำไร กี่ช่อง หรือกี่ % จะให้ผลตอบแทน ดีที่สุด ( ส่วน 8 ก็เหมือน kzm กอง a และ b แต่ ลงบช แบบ ขาย แล้วรอซื้อ เช่น กอง a เก็บกำไร 10% กอง b 30% )
บทสรุป dsm แบบที่ผมคิด
ส่วน 3 คือส่วนที่ ต่ำกว่าทุน มีกองหลังบนสุด 2 กอง ล่างสุด 1 กอง รวม 30%
กสงฝ ได้จากระบบ 10% (sap) และ 1%(kzm) จาก กสงฝ อนาคต ดังนั้น การวัดผล เมื่อหุ้นลงสุดแล้วขึ้นมาที่ราคาทุน
จะเหลือหุ้น 70% + กสงฝ ที่ผลิตได้เรื่อยๆ
ส่วน 2 , 8 คือส่วนที่ สูงกว่าทุน
กสงฝ ได้มาจาก ระบบ 1% จากการซื้อเพื่อขาย ตรงข้าม sap ผมเรียกว่าส่วน 2 ( เงินส่วนนี้ ไม่ต้องกันสำรอง เอาเงินกองหลัง 30% มาใช้ ได้เลย เพราะ ถ้าหักหัวลง เราจะขาย ทำให้เงินสด กลับเข้าไปเป็นเงินรอซื้อคืนเหมือนเดิม จะเหลือติดดอยแค่ 3 % ซึ่งไม่มีผลต่อระบบบัญชี )
และ กสงฝ หลักจากขาขึ้น มาจาก การขายส่วน 8 แล้วรอซื้อคืน แบบ kzm จะเห็นว่า หุ้นจะไม่หมดมือเร็ว เพราะขายทีละ 1% และมีส่วน 2 แบบซื้อเพื่อขาย ซึ่งทั้ง 2 ระบบ ทั้ง 2 และ 8 จะเกื้อหนุนกัน คือ ถ้า เป็น trend ส่วน 2 จะได้คำใหญ่ ถ้าเป็น sideway ส่วน 8 ในรูปแบบซื้อคืนคำเล็ก (บางคนอาจเรียกตรงนี้ว่าส่วน 2) จะทำหน้าที่ได้ดี
เมื่อหุ้นขึ้นสูงมากๆ จะเห็นว่า เราสามารถ ขาย 8 ได้กำไรมากๆ อย่างน้อย 30-40% แต่ขาดทุนจากกองหลัง ล่างสุด แค่ 10% ในทางคณิตศาสตร์ แบบนี้ จึงจะเกิดกำไรอย่างแท้จริง เมื่อถึงตรงนี้ การแปลงร่างกองหลัง จึงสามารถทำได้จริงๆ โดยที่ระบบไม่มีปัญหา
ทั้งหมดนี้ คือ dsm แบบล่าสุด ที่ผมเข้าใจ
หวังว่าอาจเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ได้บ้างครับ
เริ่มต้นด้วยหุ้น 100% สมมุติ ที่ราคา 10 บาท
ส่วน 3 หรือกองหลัง จะเริ่มต้น เมื่อ เริ่มหักหัวลง จากจุดไหนก็ได้ 3,4,5 ช่อง แล้วแต่จะเลือก
เช่น ขึ้นไปก่อน ราคา 11 ลงมา 10.7 ขาย ส่วน 3 คือ 10.7
หรือ ซื้อแล้ว ลงเลย ขาย 10% ที่ 9.7 ส่วน 3 คือ 9.7
จะบอกว่า ส่วน 3 ที่หลายคนคิดว่าง่าย แต่สำหรับผม ยากที่สุด
เพราะ แบบที่ทำปกติ คือขายลง แล้วหักหัวขึ้น ซื้อคืนทั้งหมด ในความเป็นจริงที่แสนเศร้าคือ มันเด้งให้ซื้อได้ตลอด สุดท้ายหุ้นลงยาวๆ แต่เก็บ กสงฝ ได้นิดเดียว คิดว่าทุกคนผ่านตรงนี้มาหมดแล้ว (แต่ไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่เห็นคุยเรื่องประเด็นนี้ )
จากที่ผมได้คุยกับบางท่าน ที่เคยเห็นคุณเด่นศรีเทรด เค้าสงสัยว่า คุณเด่นศรีรู้ได้อย่างไร ว่าไม่ต้องรีบซื้อคืน กองหลังตัวบนๆ ซึ่งแปลว่าจริงๆแล้ว กองหลังที่เป็นส่วน 3 ตอนเริ่มระบบ ไม่ควรรีบซื้อคืน ดังนั้น เมื่อเราไม่รีบซื้อ ทำให้เวลาหุ้นตกแรงๆ เราสามารถสร้าง กสงฝ จากส่วน 3 ได้คำใหญ่มากขึ้นได้
ด้วยเหตุผลนี้เอง ระบบส่วน 3 ที่ผมคิดไว้ คือ
ลงขาย 10% เป็นกองหลัง กองหลัง 2- 3 ตัวบน ***จะไม่มีการซื้อคืนเลย***
รูปแบบที่แย่ที่สุด ถ้าเริ่มที่ 10 คือ
กองหลังบนสุด 9.8 9.6 ( 9.4 ) ไม่ซื้อคืน
ที่เหลือ ถ้าลง ก็ขายลงต่อ จำนวนช่องอาจจะห่างขึ้น เช่น 9.1 8.8 8.5 เมื่อหักหัว ขึ้น จะซื้อคืน ที่ 8.7 จับคู่กับ 8.8 9.1 (9.4) ได้ หุ้นคืน 30% +ซื้อเพิ่ม 2% ที่ราคา 8.7 (ส่วนนี้ เอาไว้เล่นส่วน 2 ในโซน 9-10 บาท ด้วยการขึ้นขายลงซื้อ )
บทสรุป ของระบบส่วน 3
จะมีหุ้นที่ขายเป็นกองหลังตัวบนสุด ที่จุดเริ่มต้น 2 กอง บนสุดที่จุดเริ่มต้น + 1 กอง อยู่ล่างสุด
แล้วจะเกิด ระบบ 1% ในโซนกองหลัง ขึ้นมาเรื่อยๆ ยิ่งลงยิ่งเยอะ ( 1% มาจาก กสงฝ อนาคต จากการไม่ซื้อคืนกองหลังทั้ง 3 ตัว ยิ่งลง กสงฝ ส่วนนี้จะเยอะขึ้น สามารถผลิด 1% ออกมาได้เรื่อยๆ ซึ่งพอขึ้นไปเราก็ขายออก กลายเป็นเงินสด 30% เหมือนเดิม จะเห็นว่า ไม่ผิดหลักคณิตศาสตร์ )
ดังนั้น ขาลง เมื่อเริ่มซื้อหุ้น แล้วราคาลดลง รายได้ มาจาก
1 ระบบ 10% แบบที่ทุกคนรู้
2 ระบบ 1% จากกสงฝ ในอนาคต แบบลงซื้อขึ้นขาย ( เหมือน kzm )
สิ่งที่ได้ คือ กองหลัง ที่ขาย ล่างสุด มีแค่ 10%
อีก 2 กองจะอยู่ที่จุดเริ่มต้น
ส่วน 2
ในความหมายที่ผมคิด คือ ส่วนที่อยู่เหนือ 3 แปลว่าส่วนนี้ คือส่วนที่กำไร (เพราะ ราคาสูงกว่าทุน)
ที่กล่าวไว้ในความเห็นก่อนหน้านี้ ส่วน 2 ในขาขึ้น จะตรงข้ามส่วน 3 แต่เป็นระบบ 1%
จะเริ่มซื้อ เมื่อราคาสูงกว่า กองหลังตัวบนสุด เช่น 10.2 10.5 10.8 ซื้อ
เนื่องจากเป็น ระบบ 1% เราจึงไม่ต้องรีบขาย และอาจยอมติดดอย ได้ 3-5% ก็ยังไหว
การขาย ส่วน 2 ก็คงลักษณะคล้ายส่วน 3 คือ หักหัวลง ... ช่อง ขาย ขายให้แพงกว่าซื้อ
บทสรุปของส่วน 3 และ 2
มีหุ้นขายล่างสุด 10% ตรงกลางบริเวณต้นทุน 20 %
มีหุ้นซื้อยอดดอย 3 %
จะเห็นว่าส่วนต่างของกองหน้า และกองหลัง ลดจำนวน และความห่างของช่วงราคาลงเยอะ ซึ่งมีผลทำให้ผลตอบแทนของระบบน่าจะดีขึ้น
ส่วน 8
ความคิดของผม คือส่วนที่เป็นกำไร
แปลว่า หุ้นขึ้นจากส่วน 3 บนสุด ขึ้นมาได้ ก็จะเป็นส่วน 8 ก็แล้วแต่ว่าจะขาย 1 % ทุกกี่ช่อง
ลองคิดได้เลยว่า หุ้น 70% ขายได้ 70 ช่อง จะแบ่งขายยังไง ก็แล้วแต่
สิ่งที่ต้องคิดของส่วน 8 คือ การซื้อคืน
ตรงนี้ คือสิ่งที่ผม ยังไม่เคยทำ ผมยังไม่รู้ว่า เก็บกำไร กี่ช่อง หรือกี่ % จะให้ผลตอบแทน ดีที่สุด ( ส่วน 8 ก็เหมือน kzm กอง a และ b แต่ ลงบช แบบ ขาย แล้วรอซื้อ เช่น กอง a เก็บกำไร 10% กอง b 30% )
บทสรุป dsm แบบที่ผมคิด
ส่วน 3 คือส่วนที่ ต่ำกว่าทุน มีกองหลังบนสุด 2 กอง ล่างสุด 1 กอง รวม 30%
กสงฝ ได้จากระบบ 10% (sap) และ 1%(kzm) จาก กสงฝ อนาคต ดังนั้น การวัดผล เมื่อหุ้นลงสุดแล้วขึ้นมาที่ราคาทุน
จะเหลือหุ้น 70% + กสงฝ ที่ผลิตได้เรื่อยๆ
ส่วน 2 , 8 คือส่วนที่ สูงกว่าทุน
กสงฝ ได้มาจาก ระบบ 1% จากการซื้อเพื่อขาย ตรงข้าม sap ผมเรียกว่าส่วน 2 ( เงินส่วนนี้ ไม่ต้องกันสำรอง เอาเงินกองหลัง 30% มาใช้ ได้เลย เพราะ ถ้าหักหัวลง เราจะขาย ทำให้เงินสด กลับเข้าไปเป็นเงินรอซื้อคืนเหมือนเดิม จะเหลือติดดอยแค่ 3 % ซึ่งไม่มีผลต่อระบบบัญชี )
และ กสงฝ หลักจากขาขึ้น มาจาก การขายส่วน 8 แล้วรอซื้อคืน แบบ kzm จะเห็นว่า หุ้นจะไม่หมดมือเร็ว เพราะขายทีละ 1% และมีส่วน 2 แบบซื้อเพื่อขาย ซึ่งทั้ง 2 ระบบ ทั้ง 2 และ 8 จะเกื้อหนุนกัน คือ ถ้า เป็น trend ส่วน 2 จะได้คำใหญ่ ถ้าเป็น sideway ส่วน 8 ในรูปแบบซื้อคืนคำเล็ก (บางคนอาจเรียกตรงนี้ว่าส่วน 2) จะทำหน้าที่ได้ดี
เมื่อหุ้นขึ้นสูงมากๆ จะเห็นว่า เราสามารถ ขาย 8 ได้กำไรมากๆ อย่างน้อย 30-40% แต่ขาดทุนจากกองหลัง ล่างสุด แค่ 10% ในทางคณิตศาสตร์ แบบนี้ จึงจะเกิดกำไรอย่างแท้จริง เมื่อถึงตรงนี้ การแปลงร่างกองหลัง จึงสามารถทำได้จริงๆ โดยที่ระบบไม่มีปัญหา
ทั้งหมดนี้ คือ dsm แบบล่าสุด ที่ผมเข้าใจ
หวังว่าอาจเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ได้บ้างครับ
ความคิดเห็นที่ 61
กสงฝ ขาขึ้น
เท่าที่ผมจำได้ และคิดเอาเอง มีตอบไว้ครั้งแรก รู้สึกจะกระทู้คุณ krit (ไม่ค่อยแน่ใจชื่อนะครับ)
โดยส่วนตัวสมัยที่ยังทำอยู่ ก็คิดว่าหลักการเป็นแบบนั้น
เพียงแต่ในแง่รายละเอียดจะขายตอนไหน กี่ช่อง อันนี้ผมก็ไม่ทราบ
ปัญหานึงที่ผมคิดถึงตอนได้ยินคำว่า
ขาขึ้น ใช้ระบบ 1 %
ผมไม่ได้สงสัยหรือคิดว่าทำไมถึงขาย 1%
แต่ผมสงสัยว่า มันไม่ได้เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น ไม่ได้เป็นมาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่แนวคิด DSM เกิดขึ้น
มันเป็นการปรับหรือเปลี่ยนไปตามประสบการณ์ในการทำ
อีกจุดที่ผมอยากพูด เนื่องจากเคยเห็นแบบนี้มาแล้ว
คืออยากให้เราให้เวลา ให้โอกาส ให้คนที่สนใจแต่ละคนได้คิด ได้ลองทำในสิ่งที่สนใจ
เราหลาย ๆ คนก็เคยผ่านกระบวนการลักษณะนี้มา
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง DSM หรือ แนวทางอะไรก็ตาม
เห็นด้วย เห็นต่าง ก็ขอให้เป็นไปด้วยใจที่ให้โอกาส
เท่าที่ผมจำได้ และคิดเอาเอง มีตอบไว้ครั้งแรก รู้สึกจะกระทู้คุณ krit (ไม่ค่อยแน่ใจชื่อนะครับ)
โดยส่วนตัวสมัยที่ยังทำอยู่ ก็คิดว่าหลักการเป็นแบบนั้น
เพียงแต่ในแง่รายละเอียดจะขายตอนไหน กี่ช่อง อันนี้ผมก็ไม่ทราบ
ปัญหานึงที่ผมคิดถึงตอนได้ยินคำว่า
ขาขึ้น ใช้ระบบ 1 %
ผมไม่ได้สงสัยหรือคิดว่าทำไมถึงขาย 1%
แต่ผมสงสัยว่า มันไม่ได้เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น ไม่ได้เป็นมาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่แนวคิด DSM เกิดขึ้น
มันเป็นการปรับหรือเปลี่ยนไปตามประสบการณ์ในการทำ
อีกจุดที่ผมอยากพูด เนื่องจากเคยเห็นแบบนี้มาแล้ว
คืออยากให้เราให้เวลา ให้โอกาส ให้คนที่สนใจแต่ละคนได้คิด ได้ลองทำในสิ่งที่สนใจ
เราหลาย ๆ คนก็เคยผ่านกระบวนการลักษณะนี้มา
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง DSM หรือ แนวทางอะไรก็ตาม
เห็นด้วย เห็นต่าง ก็ขอให้เป็นไปด้วยใจที่ให้โอกาส
ความคิดเห็นที่ 60
สวัสดีครับเพื่อนๆ เพิ่งมีเวลาอ่านอย่างละเอียด เห็นถึงความพยายามของทุกท่าน น่าสนใจดีครับ
ในฐานะคนที่ผ่านกระบวนการเทรดแบบ dsm มาตั้งแต่ยุคแรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน ขอถามคำถามที่อ่านแล้วสงสัยนะครับ
ล่าสุด เห็นโฟกัสที่ระบบส่วน 2 แบบขึ้นซื้อ ลงขายทีละ 1% เห็นผล back test แล้วแย่กว่าอีกแบบ ทำไมถึงสนใจจะเอามาใช้ในระบบล่ะครับ
เพื่อไม่ให้เสียเวลา รอคำตอบ
ผมจะแชร์ สิ่งที่ผมเห็น คิด และเคยเทรดในลักษณะนี้มาแล้ว
รูปแบบนี้ เราเคยเห็นคนเคยเสนอมาแล้วใน การเทรด tfex ถ้าเคยอ่าน mgm จะใช้แนวคิดลักษณะนี้
สุดท้ายก็เงียบหายไป เพราะ
กสงฝ ที่ได้จากการจับคู่ ไม่สามารถ เอาชนะ ข้อมูลที่เหลือ จากการซื้อแพง ที่ยอดดอย และขายถูกที่ล่างสุดได้ โดยเฉพาะ ถ้าเป็นการซื้อขายซ้ำโซนเดิม ขอเตือนว่า ระยะยาว จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีครับ (เป็นการเตือน จากการที่ผ่านการเทรดแบบนี้มาก่อนนะครับ )
แล้วจริงๆ มันใช่มั้ย ควรทำอย่างไร
ตอบแบบคร่าวๆว่า คิดว่าเกือบใช่ แต่ยังไม่ใช่ เพราะ ระบบบัญชี ต้องสามารถเอากำไร ออกมาจาการซื้อขาขึ้นยาวๆได้ ซึ่งจะทำให้รูปแบบการซื้อขายเปลี่ยนไป ไม่ใช่ซื้อขึ้นทีละ 5 ช่อง ลงขาย ด้วยจำนวนเท่าๆกัน การเทรดด้วยจำนวนเท่าๆกัน สุดท้ายจะไม่ได้อะไรเลย
แล้วที่คิดว่าใช่ เป็นอย่างไร
ตอบตามที่คิดอีก คือ ระบบส่วน 3 ขาลง ทำยังไง ส่วน 2 ขาขึ้น ก็ทำตรงกันข้ามกัน เช่น ซื้อขึ้นทุก ... ช่อง พอหักหัวลง ก็ขาย ที่แพงกว่าซื้อมา ก็จะเป็นกสงฝ ขาขึ้น (จะเรียกกำไร ก็คงไม่ผิด)
ส่วน 3 ขาลง ใช้ระบบ 10% ทำไมขาขึ้น จึงต้องใช้ระบบ 1 %
ตอบตามที่คิดอีก คือ เพื่อลดกองหน้าที่ติดดอย ขยายความคือ ระบบส่วน 3 เราทิ้งกองหลังไว้ 30% ถ้าเราทิ้งกองหน้า ด้วยระบบ 10% เหมือนกัน แปลว่า เรามีข้อมูล ซื้อแพง 20-30% ขายถูก 30% ข้อมูลนี้ จะมีผลอย่างมากกับผลตอบแทนของพอร์ตในระยะยาว เพราะมันคือข้อมูลขาดทุน (ที่พวกเราไม่เคยสนใจ) และหลายคนเอาข้อมูลขายถูกล่างสุดไปแปลงร่างเป็นหุ้นตัวอื่น จริงๆ อย่างจะแชร์ความคิดว่า คิดได้ แต่ มันคือการตกแต่งบัญชี ซึ่งดีในแง่ตัวเลข แต่ผิดหลักคณิตศาสตร์ครับ
ด้วยเหตุผลยาวๆ นี้ จึงเป็นที่มา ว่า ขาลง ระบบส่วน 3 เป็นระบบ 10% ส่วนขาขึ้น ควรเป็นระบบ 1%
แล้วระบบที่ผมคิดเป็นอย่างไร
สิ่งที่ผมคิด แต่ไม่เคยทำ จนเห็นผล เพราะ ได้ทำแค่ back test แล้วทำจริงไม่นาน ก็เลิก แล้วไปเทรด tfex option เพราะคิดว่าดีกว่าและเข้ากับตัวเองได้มากกว่า
ต่ออีก ความเห็นดีกว่า
ในฐานะคนที่ผ่านกระบวนการเทรดแบบ dsm มาตั้งแต่ยุคแรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน ขอถามคำถามที่อ่านแล้วสงสัยนะครับ
ล่าสุด เห็นโฟกัสที่ระบบส่วน 2 แบบขึ้นซื้อ ลงขายทีละ 1% เห็นผล back test แล้วแย่กว่าอีกแบบ ทำไมถึงสนใจจะเอามาใช้ในระบบล่ะครับ
เพื่อไม่ให้เสียเวลา รอคำตอบ
ผมจะแชร์ สิ่งที่ผมเห็น คิด และเคยเทรดในลักษณะนี้มาแล้ว
รูปแบบนี้ เราเคยเห็นคนเคยเสนอมาแล้วใน การเทรด tfex ถ้าเคยอ่าน mgm จะใช้แนวคิดลักษณะนี้
สุดท้ายก็เงียบหายไป เพราะ
กสงฝ ที่ได้จากการจับคู่ ไม่สามารถ เอาชนะ ข้อมูลที่เหลือ จากการซื้อแพง ที่ยอดดอย และขายถูกที่ล่างสุดได้ โดยเฉพาะ ถ้าเป็นการซื้อขายซ้ำโซนเดิม ขอเตือนว่า ระยะยาว จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีครับ (เป็นการเตือน จากการที่ผ่านการเทรดแบบนี้มาก่อนนะครับ )
แล้วจริงๆ มันใช่มั้ย ควรทำอย่างไร
ตอบแบบคร่าวๆว่า คิดว่าเกือบใช่ แต่ยังไม่ใช่ เพราะ ระบบบัญชี ต้องสามารถเอากำไร ออกมาจาการซื้อขาขึ้นยาวๆได้ ซึ่งจะทำให้รูปแบบการซื้อขายเปลี่ยนไป ไม่ใช่ซื้อขึ้นทีละ 5 ช่อง ลงขาย ด้วยจำนวนเท่าๆกัน การเทรดด้วยจำนวนเท่าๆกัน สุดท้ายจะไม่ได้อะไรเลย
แล้วที่คิดว่าใช่ เป็นอย่างไร
ตอบตามที่คิดอีก คือ ระบบส่วน 3 ขาลง ทำยังไง ส่วน 2 ขาขึ้น ก็ทำตรงกันข้ามกัน เช่น ซื้อขึ้นทุก ... ช่อง พอหักหัวลง ก็ขาย ที่แพงกว่าซื้อมา ก็จะเป็นกสงฝ ขาขึ้น (จะเรียกกำไร ก็คงไม่ผิด)
ส่วน 3 ขาลง ใช้ระบบ 10% ทำไมขาขึ้น จึงต้องใช้ระบบ 1 %
ตอบตามที่คิดอีก คือ เพื่อลดกองหน้าที่ติดดอย ขยายความคือ ระบบส่วน 3 เราทิ้งกองหลังไว้ 30% ถ้าเราทิ้งกองหน้า ด้วยระบบ 10% เหมือนกัน แปลว่า เรามีข้อมูล ซื้อแพง 20-30% ขายถูก 30% ข้อมูลนี้ จะมีผลอย่างมากกับผลตอบแทนของพอร์ตในระยะยาว เพราะมันคือข้อมูลขาดทุน (ที่พวกเราไม่เคยสนใจ) และหลายคนเอาข้อมูลขายถูกล่างสุดไปแปลงร่างเป็นหุ้นตัวอื่น จริงๆ อย่างจะแชร์ความคิดว่า คิดได้ แต่ มันคือการตกแต่งบัญชี ซึ่งดีในแง่ตัวเลข แต่ผิดหลักคณิตศาสตร์ครับ
ด้วยเหตุผลยาวๆ นี้ จึงเป็นที่มา ว่า ขาลง ระบบส่วน 3 เป็นระบบ 10% ส่วนขาขึ้น ควรเป็นระบบ 1%
แล้วระบบที่ผมคิดเป็นอย่างไร
สิ่งที่ผมคิด แต่ไม่เคยทำ จนเห็นผล เพราะ ได้ทำแค่ back test แล้วทำจริงไม่นาน ก็เลิก แล้วไปเทรด tfex option เพราะคิดว่าดีกว่าและเข้ากับตัวเองได้มากกว่า
ต่ออีก ความเห็นดีกว่า
ความคิดเห็นที่ 1
ขอตอบตามความเข้าใจของผมนะครับ
14.00
13.80
13.60
.
.
.
.
.
.
12.00
11.80
11.60
จะเห็นว่าเมื่อขึ้นไปถึง 20 ช่อง ถ้าเราลบข้อมูล ที่ 12.00 -- 11.80 -- 11.60 เพื่อไปวาง ที่ 14.00 -- 13.80 -- 13.60
สามารถทำได้ครับ เพราะ เอาข้อมูล 3ชุดล่าง รวมเป็นเงิน แล้วไปวาง ไว้ที่ 14.00 -- 13.80 -- 13.60
จะใช้เงินไม่มาก เมื่อเทียบกับซื้อหุ้นใหม่ อันนี้เค้าเรียก การซื้อหุ้นคืนโดยใช้ กสงสฝ(ที่ใช้สำหรับซื้อคืน) ครับ
ที่นี้มาดูกันว่า มันดีใหม ส่วนตัวผมก็ใช้แบบนี้เหมือนกันครับ แต่ถามว่ามีเงินพอใหม ก็ต้องตอบว่าพอครับถ้าไม่เอา
เงิน กสงสฝ สำหรับซื้อคืน ไปใช้อย่างอื่น เพราะฉนั้นถึงบอกว่า วินัยต้องเข้มครับถ้าไม่งั้นเสียกระบวน
อีกอย่าง หุ้นทุกตัวมันไม่ได้ขึ้นเหมือนกันหมด มีขึ้นมีลง เราก็เติมตัวที่ขึ้นส่วนตัวที่ลง ก็ไม่ต้องอะทำไร
กสงสฝ ที่ดึงออกมา
50% ซื้อหุ้นคืน
50% ดึงทุนออก
มันพออยู่แล้วครับสำหรับซื้อหุ้นคืน เพราะหุ้นมันขึ้นลงไม่เหมือนกันแต่ละตัวครับ
แต่ถ้าเหลือมากๆก็อาจแบ่งไปซื้อหุ้นเพิ่มได้ แต่บัญชีต้องชัดเจนนะครับ
ย้ำ จะทำแบบนี้ได้ วินัยต้องดี ส่วนใหน คือส่วนนั้น ค่อยๆเป็นค่อยๆไป แล้วทำทุกอย่าง ซ้ำๆไปเรื่อยๆ ทบต้นไปเรื่อยๆ
ดึงเงินออกมาเรื่อยๆ ครับ...........
ส่วนคนที่ทำไม่ได้อาจเนื่องจาก
-เบื่อการทำซ้ำๆย้ำไปย้ำมา
-ไม่มีความอดทนรอราคา เลยแหกบัญชีปรับบัญชีไม่ตรงจุด สุดท้ายบัญชีรวน เพราะเราไปแก้บัญชีเพื่อตามใจเราไม่ตามวินัย
-ช่วงขาขึ้น ธาตุไฟจะแตก เพราะเวลาขึ้น มูลค่ามันขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง แล้วทำใจไม่ได้ที่จะเสียตรงนั้นไป กลายเป็นเก็งกำไรไปเลย
ที่เขียนมา ผมทั้งนั้นครับ.... แฮ่ๆ
14.00
13.80
13.60
.
.
.
.
.
.
12.00
11.80
11.60
จะเห็นว่าเมื่อขึ้นไปถึง 20 ช่อง ถ้าเราลบข้อมูล ที่ 12.00 -- 11.80 -- 11.60 เพื่อไปวาง ที่ 14.00 -- 13.80 -- 13.60
สามารถทำได้ครับ เพราะ เอาข้อมูล 3ชุดล่าง รวมเป็นเงิน แล้วไปวาง ไว้ที่ 14.00 -- 13.80 -- 13.60
จะใช้เงินไม่มาก เมื่อเทียบกับซื้อหุ้นใหม่ อันนี้เค้าเรียก การซื้อหุ้นคืนโดยใช้ กสงสฝ(ที่ใช้สำหรับซื้อคืน) ครับ
ที่นี้มาดูกันว่า มันดีใหม ส่วนตัวผมก็ใช้แบบนี้เหมือนกันครับ แต่ถามว่ามีเงินพอใหม ก็ต้องตอบว่าพอครับถ้าไม่เอา
เงิน กสงสฝ สำหรับซื้อคืน ไปใช้อย่างอื่น เพราะฉนั้นถึงบอกว่า วินัยต้องเข้มครับถ้าไม่งั้นเสียกระบวน
อีกอย่าง หุ้นทุกตัวมันไม่ได้ขึ้นเหมือนกันหมด มีขึ้นมีลง เราก็เติมตัวที่ขึ้นส่วนตัวที่ลง ก็ไม่ต้องอะทำไร
กสงสฝ ที่ดึงออกมา
50% ซื้อหุ้นคืน
50% ดึงทุนออก
มันพออยู่แล้วครับสำหรับซื้อหุ้นคืน เพราะหุ้นมันขึ้นลงไม่เหมือนกันแต่ละตัวครับ
แต่ถ้าเหลือมากๆก็อาจแบ่งไปซื้อหุ้นเพิ่มได้ แต่บัญชีต้องชัดเจนนะครับ
ย้ำ จะทำแบบนี้ได้ วินัยต้องดี ส่วนใหน คือส่วนนั้น ค่อยๆเป็นค่อยๆไป แล้วทำทุกอย่าง ซ้ำๆไปเรื่อยๆ ทบต้นไปเรื่อยๆ
ดึงเงินออกมาเรื่อยๆ ครับ...........
ส่วนคนที่ทำไม่ได้อาจเนื่องจาก
-เบื่อการทำซ้ำๆย้ำไปย้ำมา
-ไม่มีความอดทนรอราคา เลยแหกบัญชีปรับบัญชีไม่ตรงจุด สุดท้ายบัญชีรวน เพราะเราไปแก้บัญชีเพื่อตามใจเราไม่ตามวินัย
-ช่วงขาขึ้น ธาตุไฟจะแตก เพราะเวลาขึ้น มูลค่ามันขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง แล้วทำใจไม่ได้ที่จะเสียตรงนั้นไป กลายเป็นเก็งกำไรไปเลย
ที่เขียนมา ผมทั้งนั้นครับ.... แฮ่ๆ

ความคิดเห็นที่ 46
ประเด็นการเทรด 1% แบบ fix Unit
ข้างล่าง เทสต์ แบบ fix Unit
ซ้ายมือ แบบ ซื้อ - ขาย 1% ทุก ๆ 5 ช่อง (ไม่สนใจข้อมูลซ้ำ)
ขวามือ คือการเทรด แบบเดิม ขึ้นขาย ลง ซื้อคืนเท่าที่เคยขาย 1% ทุก 5 ช่องเหมือนกัน
ลองดูข้อสังเกตุ สรุป ท้ายตารางนะครับ....
**** กสงสฝ ที่แท้จริง จะเป็นส่วนต่าง ของ Net Sell- Net Buy ครับ (ถ้าไม่เอาค่าคอมมาคิด) แต่ต้องใช้เวลาเก็บข้อมูลนานหน่อย
ถึงจะได้ค่า ที่ใกล้เคียงความจริง ****

ข้อมูลที่ค้างอยู่ ทั้งสองแบบ (ตัวเลขท้ายตาราง สีเขียว ไม่ตรงกับ สรุปในช่องสีส้ม มีเพี้ยนตรงไหนสักที่ ขี้เกียจไล่หาแระ )
ดูแบบคร่าว ๆ นะครับ

เดี๋ยวจะลองทำ แบบ fix value ครับ... อาจได้ผลต่างออกไป

ได้ผล ออกมาแล้วครับ แบบ fix value
*** ท้ังนี้ ขอออกตัวก่อนว่า ผลทดสอบแบบง่าย ๆ คร่าว ๆ แค่ไม่กีบรรทัด อาจไม่ครอบคลุม ผลที่เกิดจริงตอนเทรดนะครับ
แค่ ให้มองเห็น ภาพรวม กว้าง ๆ ครับ .... ถ้าจะนำไปใช้จริง ต้องทดสอบกับราคา ที่เกิดขึ้นจริง แบบ ละเอียด ๆ ครับผม....
ผลสรุป ประมาณ ท้ายตาราง...

วันนี้ว่าง ทั้งวัน ...................... มาทดสอบระบบ แบบง่าย ๆ กันเถอะ
ข้างล่าง เทสต์ แบบ fix Unit
ซ้ายมือ แบบ ซื้อ - ขาย 1% ทุก ๆ 5 ช่อง (ไม่สนใจข้อมูลซ้ำ)
ขวามือ คือการเทรด แบบเดิม ขึ้นขาย ลง ซื้อคืนเท่าที่เคยขาย 1% ทุก 5 ช่องเหมือนกัน
ลองดูข้อสังเกตุ สรุป ท้ายตารางนะครับ....
**** กสงสฝ ที่แท้จริง จะเป็นส่วนต่าง ของ Net Sell- Net Buy ครับ (ถ้าไม่เอาค่าคอมมาคิด) แต่ต้องใช้เวลาเก็บข้อมูลนานหน่อย
ถึงจะได้ค่า ที่ใกล้เคียงความจริง ****

ข้อมูลที่ค้างอยู่ ทั้งสองแบบ (ตัวเลขท้ายตาราง สีเขียว ไม่ตรงกับ สรุปในช่องสีส้ม มีเพี้ยนตรงไหนสักที่ ขี้เกียจไล่หาแระ )
ดูแบบคร่าว ๆ นะครับ

เดี๋ยวจะลองทำ แบบ fix value ครับ... อาจได้ผลต่างออกไป

ได้ผล ออกมาแล้วครับ แบบ fix value
*** ท้ังนี้ ขอออกตัวก่อนว่า ผลทดสอบแบบง่าย ๆ คร่าว ๆ แค่ไม่กีบรรทัด อาจไม่ครอบคลุม ผลที่เกิดจริงตอนเทรดนะครับ
แค่ ให้มองเห็น ภาพรวม กว้าง ๆ ครับ .... ถ้าจะนำไปใช้จริง ต้องทดสอบกับราคา ที่เกิดขึ้นจริง แบบ ละเอียด ๆ ครับผม....
ผลสรุป ประมาณ ท้ายตาราง...

วันนี้ว่าง ทั้งวัน ...................... มาทดสอบระบบ แบบง่าย ๆ กันเถอะ

แสดงความคิดเห็น
รบกวนสอบถามคุณหมอ GF เกี่ยวกับการเลื่อนกองหลังครับ
สืบเนื่องจาก comment นี้ที่คุณหมอ GF ได้อธิบายใว้
http://pantip.com/topic/34610024/comment82
Quote ของคุณหมอ
---------------------------------------------------------
"ที่พี่ดอกไม้บอกว่า ตามไม่ทัน ไม่ได้มีอะไรเลยครับ
ก็เหมือนเเปลงร่างเเต่ไม่ได้วื้อ เเต่เป็นขายครับ
เเบบเเรกซื้อตรง 14
เเบบปัจจุบัน เเปลงข้อมูลที่ขายข้างล่าง มาเป็นข้อมูลที่ขายตรง 14 13.8 13.6 ครับ "
-----------------------------------------------------------
สงสัยเรื่อง "เเปลงข้อมูลที่ขายข้างล่าง มาเป็นข้อมูลที่ขายตรง 14 13.8 13.6"
หากไม่เป็นการรบกวน คุณหมอ พอจะอธิบายวิธีการ "แปลงข้อมูล" ที่กล่าวไป ว่าทำอย่างไร ได้ไหมครับ
ขอบพระคุณอย่างสูงครับ
จาก
แมวมือใหม่ DSM