ฉายาคนลูกหนังไทย 2015 ผมเขียนลงใน นสพ.ฮอตสกอร์ ฉบับปีใหม่ครับ นำมาให้อ่านกัน
เนวิน ชิดชอบ “หมอผีโม่แป้ง”
"บิ๊กเน" ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มักจะบริกรรมคาถาภาษาเขมรก่อนการแข่งขันทุกนัดเป็นภาพที่แฟนบอลเห็นจนชินตา ซึ่งในฤดูกาลนี้สร้างสถิติใหม่มากมายทั้งในและนอกสนาม ไม่ว่าจะเป็นการคว้า 5 แชมป์ทุกรายการในประเทศไทย แชมป์ไทยลีกแบบไร้พ่าย ยิงประตูได้มากที่สุดตลอดกาลเป็นแชมป์สมัยที่ 4, คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ สมัยที่ 4, แชมป์โตโยต้า ลีก คัพ สมัยที่ 4 และเป็นสโมสรแรกของประเทศไทย หรือของเอเชียด้วยซ้ำ ที่คว้าแชมป์ได้ถึง 5 ถ้วยภายในปีเดียว
ส่วนเรื่องรายได้ ทีม "ปราสาทสายฟ้า" ก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ เก็บทั้งรายได้จากสปอนเซอร์, ค่าผ่านประตู, ขายชุดแข่ง ฯลฯ รวมรายได้เป็นตัวเลขสูงถึง 405 ล้านบาท ในฤดูกาลก่อนหน้า และจากการเปิดเผยเบื้องต้น "บิ๊กเน" ยืนยันว่าปี 2015 ตัวเลขพุ่งขึ้นมาถึง 500 กว่าล้านบาทแล้ว ซึ่งหลังจากนี้สโมสรมีเป้าหมายตีตลาดใน AEC ดึงฐานแฟนคลับจากประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เรียกได้ว่าอะไรที่เคยถูกมองว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่ "บิ๊กเน" สามารถ "เนรมิต" ให้เป็นจริงได้
มีสำนวนของจีนคำหนึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า "มีเงินก็ใช้ผีโม่แป้งได้" แต่สำหรับผู้ชายชื่อเนวิน เขานี่แหละที่รับบทโม่แป้งเอง และสร้างผลิตผลเป็นธุรกิจต่างๆ ออกมาเป็นเงินทองที่งอกเงยจนพัฒนาจ.บุรีรัมย์ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกไปเรียบร้อยแล้ว
วรวีร์ มะกูดี “นายกเคาท์ดาวน์”
ในขณะที่คนทั่วโลกพากันนับถอยหลังการเข้าสู่ปี 2016 อย่างมีความสุข แต่ "บังยี" วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย กลับต้องมาเคาท์ดาวน์รอเวลาที่จะถึงวันครบกำหนดการถูกสั่งพักงาน 90 วันจากฟีฟ่า ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา "บังยี" ถูกห้ามยุ่งเกี่ยวกับวงการฟุตบอลทุกระดับทั้งในและต่างประเทศ
ซึ่งถึงแม้จะยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา หรือความผิดใดๆ นั่นหมายความว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่แฟนบอลบางส่วนก็อดมโนไม่ได้ว่าจะมีความเกี่ยวเนื่องหรือไม่กับกรณีของ เซ็ป แบลตเตอร์ และ มิเชล พลาตินี่ อดีตประธานฟีฟ่าและยูฟ่า ที่ถูกแบนยาว 8 ปีข้อหาทุจริต
ซึ่งเรื่องนี้ทางนายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ทีมงานฝ่ายกฏหมายของสมาคมฟุตบอล ยืนกรานมาตลอดว่าไม่เกี่ยวกันเลย และหลังครบกำหนด 90 วัน "บังยี" ก็จะกลับมาลงสมัครชิงตำแหน่งนายกลูกหนังเป็นสมัยที่ 5 อย่างแน่นอน
นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ “ร่างทรงบังยี”
ในช่วงเวลาที่ นายวรวีร์ มะกูดี ถูกฟีฟ่าสั่งพักงาน 90 วัน กอปรกับการที่สภากรรมการบริหารสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยหมดวาระลง ต่อเนื่องด้วยประกาษิตจากฟีฟ่าที่สั่งตั้งคณะกรรมการกลาง ขึ้นมาดูแลการเลือกตั้ง และเกิดการจัดเลือกตั้ง 30 เสียงโหวตในลีกภูมิภาคซึ่งถือเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่สามารถชี้ผลแพ้ชนะได้ขึ้นมาใหม่
สถานการณ์ของ "บังยี" และบอร์ดชุดเดิมดูเหมือนจะตกที่นั่งลำบาก แต่ "ทนายโบ้" ในฐานะประธานฝ่ายกฎหมายสมาคมลูกหนังไทย ยังเป็นคนเดียวที่เปิดหน้าชก และตอบโต้กับทุกๆ ฝ่ายชนิดสู้ตายถอยหลังไม่เป็น และแสดงตัวชัดเจนว่าสงครามครั้งนี้จะเลือกอยู่ข้าง "บังยี" อย่างไม่มีบิดพริ้ว โดยใช้ความรู้และความแพรวพราวในฐานะนักกฎหมายมาเป็นอาวุธเด็ดในการฟาดฟัน เรียกได้ว่าผู้ชายคนนี้ทำทุกอย่างแทน "บังยี" และเพื่อ "บังยี"
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง “โปลิศจับขโมย”
อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ประกาศตัวขอท้าชิงตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย โดยได้รับการแบ็คอัพจาก นายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งถูกประเมินว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับ “บังยี” วรวีร์ มะกูดี ที่สุดแล้ว พร้อมชูนโยบายเน้นความโปร่งใส “5 FAIR” มีแนวทางสำคัญหากได้รับการเลือกตั้งว่า จะปรับปรุงการบริหารงานของสมาคมฯให้เป็นองค์กรธรรมาภิบาล
นอกจากนี้ยังวางแพลนเดินหน้ารื้อพรมหาผู้รับผิดชอบปัญหาเก่าที่เคยเกิดขึ้น โดยกล่าวว่า “ผมบริหารตำรวจมาแล้วเป็นแสนคนทั่วประเทศ กับแค่สมาคมฟุตบอลฯนั้นขนมกรอบ ตอนนี้สมาคมมีปัญหามากมายที่เกิดเสียงครหา สำหรับผมถ้าได้เป็นนายกสมาคมฯแล้วเชิญใครเข้ามาบริหารแล้วไม่ดี ผมก็ต้องรับผิดชอบ ครั้งนี้ผมเป็นตำรวจมาจับโจร ใครขโมยสมบัติของประเทศชาติไป จะไปตามเอาคืนเพื่อรักษาสิทธิ์ของสโมสร ส่วนอะไรที่ดีอยู่แล้วหรือกรรมการคนใดที่ทำหน้าที่ได้ดีก็รักษาไว้ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง”
นวลพรรณ ล่ำซำ “สตรีเหล็ก2015”
กลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงแห่งวงการกีฬาไปแล้ว สำหรับผู้บริหารบริษัทเมืองไทยประกันภัย จำกัด ที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังจากการพาทีมฟุตบอลหญิงไทยไปแข่งขันศีกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประเทศแคนาดา และทีม "น่องนิ่มไทย" ก็ทำผลงานได้ดีเกินคาด หลังจากนั้น "มาดามแป้ง" สร้างความฮือฮาอีกครั้งเมื่อประกาศตัวเข้าเทคโอเวอร์บริหารสโมสรเก่าแก่ของเมืองไทยอย่าง การท่าเรือ เอฟซี ในฤดูกาลนี้
แต่เส้นทางการทำทีมไทยลีกปีแรกไม่ได้สวยหรู สมกับที่คุณเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เคยกล่าวไว้ว่า "ยินดีต้อนรับสู่นรกไทยลีก" ตลอดซีซั่น การท่าเรือกลายเป็นสโมสรที่เปลี่ยนกุนซือเยอะที่สุด และสุดท้ายก็ไม่สามารถอยู่รอดในไทยลีกได้สำเร็จ แต่สิ่งที่ทุกคนชื่นชม "มาดามแป้ง" คือการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของทีม "เจ้าท่า" ให้มีความอ่อนโยนมากขึ้น แต่ตรงกันข้าม "มาดามแป้ง" กลับแสดงออกถึงความแข็งแกร่งทางจิตใจ ในวันที่ทีมตกชั้นแม้จะมีน้ำตา แต่คำประกาศที่ว่าจะไม่มีทางทิ้งสโมสรแห่งนี้ไปไหน และจะอยู่พาทีมกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ผู้ชายอกสามศอกยังต้องยอมซูฮกให้เลยกับความเข้มแข็งของผู้หญิงเก่งคนนี้
ชนาธิป สรงกระสินธ์ “พ่อเจ(ห)ลีก”
ปี 2015 เป็นปีที่เด็กหนุ่มเจ้าของความสูง 159 ซม. ผู้นี้ทั้งมีความสุขและเศร้าที่สุดในชีวิต เพราะความสำเร็จในระดับทีมชาติและสโมสรแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว การช่วยให้ทีมชาติไทยคว้าแชมป์ซีเกมส์, ทีมปรีโอลิมปิกเข้ารอบคัดเลือกรอบสุดท้าย รวมถึงทีมชาติไทยชุดใหญ่กำลังจะเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชีย แต่ต้นสังกัดอย่าง บีอีซี เทโรศาสน กลับโชคร้ายร่วงตกชั้น (จากตารางคะแนนตามฤดูกาลปกติ)
ทำให้เกิดกระแสว่า "เมสซี่เจ" เตรียมย้ายไปร่วมทีมในเจลีกของญี่ปุ่น หลังจากที่เคยตกเป็นข่าวมาตลอดในช่วง 2 ปีหลัง โดยเฉพาะแหล่งข่าวคนใกล้ชิดอย่างคุณพ่อ ก้องภพ สรงกระสินธ์ ที่ยืนยันมาตลอดว่ามีทีมแดนปลาดิบติดต่อมาจริง จนกระทั่งเจ้าตัวต้องออกมาปฏิเสธข่าวย้ายทีมว่าจะขอยกเรื่องอนาคตให้ มร.ไบรอัน แอล มาร์คา ประธานสโมสรตัดสินใจคนเดียวเท่านั้น และไม่ต้องไปฟังข่าวจากใครอีกแล้ว
เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง “กุนซือเทวดา”
กุนซือผู้มีบุคลิกภาพแตกต่างไปจากที่ทีมชาติไทยเคยมีมา แม้ช่วงแรกที่ถูกแต่งตั้งจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่ายังมีประสบการณ์และผลงานด้านโค้ชน้อยเกินไป แต่ "ซิโก้" กลับพิสูจน์ตัวเองได้สำเร็จด้วยความคิดแบบคนรุ่นใหม่ที่ใช้กลยุทธ์การตลาดเข้ามาผสมผสานการทำงานได้เป็นอย่างดี ทั้งสไตล์การเล่นเกมรุกที่เอ็นเตอร์เทนแฟนบอล ระเบียบวินัยของนักเตะที่ใช้วิธีปรับทัศนคติจนความเถื่อนดิบรุนแรงเกินงามที่คุ้นตาเลือนหายไปได้ ด้วยความสามารถและบารมีที่เขาสั่งสมมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะ ทำให้ทุกอย่างไปได้สวย และคงไม่มีใครในประเทศไทยทำได้แบบเขา
แต่ในทางกลับกันด้วยกระแสศรัทธาที่โหมกระหน่ำ ทำให้ใครก็ตามที่บังอาจวิจารณ์หรือตำหนิ "ซิโก้" ก็จะถูกคลื่นมหาชนบุกถล่มทันที แม้กระทั่ง "โค้ชเฮง" วิทยา เลาหกุล ผู้ซึ่งเคยอยู่ในฐานะอาจารย์ของ "ซิโก้" มาก่อนและเป็นผู้อาวุโสที่เหล่านักเตะส่วนใหญ่ให้การยอมรับนับถือ ออกมาติเพื่อก่อหลังเกมเสมอกับ อิรัก 2-2 แฟนคลับของ "ซิโก้" ก็ยังไม่วายกระหน่ำด่า "โค้ชเฮง" ซะแทบไม่เหลือชิ้นดี
โชคทวี พรหมรัตน์ “หัวล้านใจน้อย”
ผู้ได้รับมอบหมายจาก "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ให้ทำหน้าที่กุมบังเหียนทีมชาติไทยไปสู้ศึกซีเกมส์ที่ประเทศสิงคโปร์ ก่อนไปมีแต่คนปรามาสว่าฝีมือยังไม่ถึง และอาจจะเป็นต้นเหตุให้ทีม "ช้างศึก" ไปไม่ถึงฝั่งฝัน แต่ปลายทางกลับสร้างผลงานสุดยอดพาทีมชาติไทยคว้าแชมป์แบบชนะรวดทุกนัดเสียประตูเดียวถล่มคู่แข่งเละเทะเกือบทุกทีม ทว่าความสำเร็จกลับทำให้เกิดปัญหาตามมา เมื่อ "ซิโก้" ในฐานะลูกพี่ยืนยันว่าเป็นความสำเร็จจากระบบโครงสร้าง ขณะที่ "โค้ชโชค" มองว่าตนเองสมควรได้รับเครดิตมากกว่านี้
และด้วยพื้นฐานของ "โค้ชโชค" เป็นคนอ่อนไหวง่าย ขณะที่ "ซิโก้" ถูกมองว่าปฏิบัติตัวต่อพี่น้องในรุ่นดรีมทีมเปลี่ยนไป กลายเป็นลักษณะเจ้านายลูกน้องภายใต้บริษัทสปอร์ตฮีโร่ ยิ่งมากคนก็ยิ่งมากความ คนรอบตัวมีทั้งบ่างช่างยุและคนไกล่เกลี่ย จนทั้งคู่เกือบจะต่อกันไม่ติด
ในวันที่ "โค้ชโชค" นัดสื่อมวลชนเพื่อเตรียมลาออกพร้อมกับขู่แฉเรื่องลับๆ ก็มาได้ "บังยี" วรวีร์ มะกูดี เข้ามาอาสาเป็นกาวใจ และในที่สุด พี่น้องดรีมทีมคู่นี้ก็ยอมจับมือกันทำงานต่อ แม้หลายๆ คนจะยังแคลงใจว่าดีกันแล้วจริงหรือ แล้วต่อไปจะมีเหตุอะไรมาสะกิดให้ "โค้ชโชค" น้อยใจใครอีกหรือเปล่า
เทิดศักดิ์ ใจมั่น “ป๊อบ กวาร์ดิโอล่า”
บอกตรงๆ เลยว่ายังนึกภาพ เทิดศักดิ์ ใจมั่น ในมาดกุนซือผู้เคร่งขรึมไม่ออกจริงๆ หลังจากถูกแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ผู้จัดการทีมคนใหม่ของสโมสร ชลบุรี เอฟซี ที่เจ้าตัวอยู่ค้าแข้งมาตั้งแต่ปี 2010 เพราะเจ้าตัวเลือกมาทางตลกโปกฮา อำคนอื่นไปทั่วซะมากกว่า แม้จะดูขี้เล่น แต่คงไม่มีใครสงสัยเรื่องฝีเท้าของเขาแน่นอน ด้วยดีกรีอดีตรองนักเตะทรงคุณค่าแห่งปีของทวีปเอเชีย สมัยพาทีม บีอีซี เทโรศาสน คว้ารองแชมป์ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก และไม่ว่าจะไปเล่นให้สโมสรใดเขาก็กลายเป็นผู้เล่นระดับตำนานทั้งสิ้ฯ
หลังจากเปลี่ยนบทบาทมาเป็นโค้ชแล้ว ถึงตอนนี้เจ้าตัวยังไม่ยืนยันว่าจะพ่วงบทเพลเยอร์ด้วยหรือเปล่า แม้วัยจะล่วงเข้าสู่ตัวเลข 43 แล้วในปีหน้าแต่ดูท่ายังไม่หมดไฟง่ายๆ ส่วนเรื่องแนวทางการทำทีม "โค้ชเทิด" (เดี๋ยวก็ชิน) จะเน้นบอลภาคพื้นดินเป็นหลัก โดยมีปรัชญาเดียวกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่เคยสร้างระบบ "ติกิ ตาก้า" ให้กับ บาร์เซโลน่า พอดีแกชื่อเล่นว่า "ป๊อบ" ดังนั้นเราจึงขอตั้งฉายาให้ "น้าเทิด" ว่า "ป๊อบ กวาร์ดิโอล่า" ให้คล้ายกับยอดกุนซือขวัญใจแกก็แล้วกัน
ไพโรจน์ บวรวัฒนดิลก “ขุนศึกตัวจริง”
การเข้ามาของ "โค้ชเบ๊" นับว่าถูกที่ถูกเวลาจริงๆ สำหรับการที่ทีม "ขุนศึก" สระบุรี เอฟซี ตัดสินใจขอยืมตัวจากโอสถสภา ให้ไปช่วยกอบกู้วิกฤตในช่วงท้ายฤดูกาล และ "โค้ชเบ๊" ก็สามารถเขียนเทพนิยาย "ขุนศึก" ขึ้นมาได้สำเร็จ จากสโมสรที่ถูกยกให้เป็นเต็ง 1 ที่จะร่วงตกชั้น เคยมีปัญหาถูกสปอนเซอร์ถอนระหว่างซีซั่น ประธานสโมสรอย่างคุณวีระพล อดิเรกสาร เกือบถอดใจทิ้งทีมมาแล้วหลายครั้ง
แต่ใครจะเชื่อ ทีมที่แทบไม่มีซูเปอร์สตาร์ กลับสามารถสร้างสถิติไม่แพ้ใคร 10 นัดติดต่อกันในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างเป็นหรือตาย และยิ่งไปกว่านั้น สระบุรี คือทีมที่โปรแกรม 3 นัดสุดท้ายของฤดูกาลโหดหินที่สุดเพราะต้องเจอ 3 สโมสรมหาอำนาจของไทยในยุคนี้อย่าง บุรีรัมย์, เมืองทอง และ ชลบุรี แต่สุดท้ายแล้ว "โค้ชเบ๊" ก็ใช้ภาวะผู้นำและมันสมองฝ่าวิกฤตพาทีมบุกถล่ม ชลบุรี ขาดลอย 3-0 พร้อมกับอยู่รอดในไทยพรีเมียร์ลีกได้อย่างสง่าผ่าเผย จนต้องขอยกฉายา "ขุนศึกตัวจริง" ให้กับกุนซือรายนี้
ฉายาคนลูกหนังไทย 2015
เนวิน ชิดชอบ “หมอผีโม่แป้ง”
"บิ๊กเน" ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มักจะบริกรรมคาถาภาษาเขมรก่อนการแข่งขันทุกนัดเป็นภาพที่แฟนบอลเห็นจนชินตา ซึ่งในฤดูกาลนี้สร้างสถิติใหม่มากมายทั้งในและนอกสนาม ไม่ว่าจะเป็นการคว้า 5 แชมป์ทุกรายการในประเทศไทย แชมป์ไทยลีกแบบไร้พ่าย ยิงประตูได้มากที่สุดตลอดกาลเป็นแชมป์สมัยที่ 4, คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ สมัยที่ 4, แชมป์โตโยต้า ลีก คัพ สมัยที่ 4 และเป็นสโมสรแรกของประเทศไทย หรือของเอเชียด้วยซ้ำ ที่คว้าแชมป์ได้ถึง 5 ถ้วยภายในปีเดียว
ส่วนเรื่องรายได้ ทีม "ปราสาทสายฟ้า" ก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ เก็บทั้งรายได้จากสปอนเซอร์, ค่าผ่านประตู, ขายชุดแข่ง ฯลฯ รวมรายได้เป็นตัวเลขสูงถึง 405 ล้านบาท ในฤดูกาลก่อนหน้า และจากการเปิดเผยเบื้องต้น "บิ๊กเน" ยืนยันว่าปี 2015 ตัวเลขพุ่งขึ้นมาถึง 500 กว่าล้านบาทแล้ว ซึ่งหลังจากนี้สโมสรมีเป้าหมายตีตลาดใน AEC ดึงฐานแฟนคลับจากประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เรียกได้ว่าอะไรที่เคยถูกมองว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่ "บิ๊กเน" สามารถ "เนรมิต" ให้เป็นจริงได้
มีสำนวนของจีนคำหนึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า "มีเงินก็ใช้ผีโม่แป้งได้" แต่สำหรับผู้ชายชื่อเนวิน เขานี่แหละที่รับบทโม่แป้งเอง และสร้างผลิตผลเป็นธุรกิจต่างๆ ออกมาเป็นเงินทองที่งอกเงยจนพัฒนาจ.บุรีรัมย์ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกไปเรียบร้อยแล้ว
วรวีร์ มะกูดี “นายกเคาท์ดาวน์”
ในขณะที่คนทั่วโลกพากันนับถอยหลังการเข้าสู่ปี 2016 อย่างมีความสุข แต่ "บังยี" วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย กลับต้องมาเคาท์ดาวน์รอเวลาที่จะถึงวันครบกำหนดการถูกสั่งพักงาน 90 วันจากฟีฟ่า ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา "บังยี" ถูกห้ามยุ่งเกี่ยวกับวงการฟุตบอลทุกระดับทั้งในและต่างประเทศ
ซึ่งถึงแม้จะยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา หรือความผิดใดๆ นั่นหมายความว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่แฟนบอลบางส่วนก็อดมโนไม่ได้ว่าจะมีความเกี่ยวเนื่องหรือไม่กับกรณีของ เซ็ป แบลตเตอร์ และ มิเชล พลาตินี่ อดีตประธานฟีฟ่าและยูฟ่า ที่ถูกแบนยาว 8 ปีข้อหาทุจริต
ซึ่งเรื่องนี้ทางนายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ทีมงานฝ่ายกฏหมายของสมาคมฟุตบอล ยืนกรานมาตลอดว่าไม่เกี่ยวกันเลย และหลังครบกำหนด 90 วัน "บังยี" ก็จะกลับมาลงสมัครชิงตำแหน่งนายกลูกหนังเป็นสมัยที่ 5 อย่างแน่นอน
นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ “ร่างทรงบังยี”
ในช่วงเวลาที่ นายวรวีร์ มะกูดี ถูกฟีฟ่าสั่งพักงาน 90 วัน กอปรกับการที่สภากรรมการบริหารสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยหมดวาระลง ต่อเนื่องด้วยประกาษิตจากฟีฟ่าที่สั่งตั้งคณะกรรมการกลาง ขึ้นมาดูแลการเลือกตั้ง และเกิดการจัดเลือกตั้ง 30 เสียงโหวตในลีกภูมิภาคซึ่งถือเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่สามารถชี้ผลแพ้ชนะได้ขึ้นมาใหม่
สถานการณ์ของ "บังยี" และบอร์ดชุดเดิมดูเหมือนจะตกที่นั่งลำบาก แต่ "ทนายโบ้" ในฐานะประธานฝ่ายกฎหมายสมาคมลูกหนังไทย ยังเป็นคนเดียวที่เปิดหน้าชก และตอบโต้กับทุกๆ ฝ่ายชนิดสู้ตายถอยหลังไม่เป็น และแสดงตัวชัดเจนว่าสงครามครั้งนี้จะเลือกอยู่ข้าง "บังยี" อย่างไม่มีบิดพริ้ว โดยใช้ความรู้และความแพรวพราวในฐานะนักกฎหมายมาเป็นอาวุธเด็ดในการฟาดฟัน เรียกได้ว่าผู้ชายคนนี้ทำทุกอย่างแทน "บังยี" และเพื่อ "บังยี"
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง “โปลิศจับขโมย”
อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ประกาศตัวขอท้าชิงตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย โดยได้รับการแบ็คอัพจาก นายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งถูกประเมินว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับ “บังยี” วรวีร์ มะกูดี ที่สุดแล้ว พร้อมชูนโยบายเน้นความโปร่งใส “5 FAIR” มีแนวทางสำคัญหากได้รับการเลือกตั้งว่า จะปรับปรุงการบริหารงานของสมาคมฯให้เป็นองค์กรธรรมาภิบาล
นอกจากนี้ยังวางแพลนเดินหน้ารื้อพรมหาผู้รับผิดชอบปัญหาเก่าที่เคยเกิดขึ้น โดยกล่าวว่า “ผมบริหารตำรวจมาแล้วเป็นแสนคนทั่วประเทศ กับแค่สมาคมฟุตบอลฯนั้นขนมกรอบ ตอนนี้สมาคมมีปัญหามากมายที่เกิดเสียงครหา สำหรับผมถ้าได้เป็นนายกสมาคมฯแล้วเชิญใครเข้ามาบริหารแล้วไม่ดี ผมก็ต้องรับผิดชอบ ครั้งนี้ผมเป็นตำรวจมาจับโจร ใครขโมยสมบัติของประเทศชาติไป จะไปตามเอาคืนเพื่อรักษาสิทธิ์ของสโมสร ส่วนอะไรที่ดีอยู่แล้วหรือกรรมการคนใดที่ทำหน้าที่ได้ดีก็รักษาไว้ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง”
นวลพรรณ ล่ำซำ “สตรีเหล็ก2015”
กลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงแห่งวงการกีฬาไปแล้ว สำหรับผู้บริหารบริษัทเมืองไทยประกันภัย จำกัด ที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังจากการพาทีมฟุตบอลหญิงไทยไปแข่งขันศีกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประเทศแคนาดา และทีม "น่องนิ่มไทย" ก็ทำผลงานได้ดีเกินคาด หลังจากนั้น "มาดามแป้ง" สร้างความฮือฮาอีกครั้งเมื่อประกาศตัวเข้าเทคโอเวอร์บริหารสโมสรเก่าแก่ของเมืองไทยอย่าง การท่าเรือ เอฟซี ในฤดูกาลนี้
แต่เส้นทางการทำทีมไทยลีกปีแรกไม่ได้สวยหรู สมกับที่คุณเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เคยกล่าวไว้ว่า "ยินดีต้อนรับสู่นรกไทยลีก" ตลอดซีซั่น การท่าเรือกลายเป็นสโมสรที่เปลี่ยนกุนซือเยอะที่สุด และสุดท้ายก็ไม่สามารถอยู่รอดในไทยลีกได้สำเร็จ แต่สิ่งที่ทุกคนชื่นชม "มาดามแป้ง" คือการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของทีม "เจ้าท่า" ให้มีความอ่อนโยนมากขึ้น แต่ตรงกันข้าม "มาดามแป้ง" กลับแสดงออกถึงความแข็งแกร่งทางจิตใจ ในวันที่ทีมตกชั้นแม้จะมีน้ำตา แต่คำประกาศที่ว่าจะไม่มีทางทิ้งสโมสรแห่งนี้ไปไหน และจะอยู่พาทีมกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ผู้ชายอกสามศอกยังต้องยอมซูฮกให้เลยกับความเข้มแข็งของผู้หญิงเก่งคนนี้
ชนาธิป สรงกระสินธ์ “พ่อเจ(ห)ลีก”
ปี 2015 เป็นปีที่เด็กหนุ่มเจ้าของความสูง 159 ซม. ผู้นี้ทั้งมีความสุขและเศร้าที่สุดในชีวิต เพราะความสำเร็จในระดับทีมชาติและสโมสรแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว การช่วยให้ทีมชาติไทยคว้าแชมป์ซีเกมส์, ทีมปรีโอลิมปิกเข้ารอบคัดเลือกรอบสุดท้าย รวมถึงทีมชาติไทยชุดใหญ่กำลังจะเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชีย แต่ต้นสังกัดอย่าง บีอีซี เทโรศาสน กลับโชคร้ายร่วงตกชั้น (จากตารางคะแนนตามฤดูกาลปกติ)
ทำให้เกิดกระแสว่า "เมสซี่เจ" เตรียมย้ายไปร่วมทีมในเจลีกของญี่ปุ่น หลังจากที่เคยตกเป็นข่าวมาตลอดในช่วง 2 ปีหลัง โดยเฉพาะแหล่งข่าวคนใกล้ชิดอย่างคุณพ่อ ก้องภพ สรงกระสินธ์ ที่ยืนยันมาตลอดว่ามีทีมแดนปลาดิบติดต่อมาจริง จนกระทั่งเจ้าตัวต้องออกมาปฏิเสธข่าวย้ายทีมว่าจะขอยกเรื่องอนาคตให้ มร.ไบรอัน แอล มาร์คา ประธานสโมสรตัดสินใจคนเดียวเท่านั้น และไม่ต้องไปฟังข่าวจากใครอีกแล้ว
เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง “กุนซือเทวดา”
กุนซือผู้มีบุคลิกภาพแตกต่างไปจากที่ทีมชาติไทยเคยมีมา แม้ช่วงแรกที่ถูกแต่งตั้งจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่ายังมีประสบการณ์และผลงานด้านโค้ชน้อยเกินไป แต่ "ซิโก้" กลับพิสูจน์ตัวเองได้สำเร็จด้วยความคิดแบบคนรุ่นใหม่ที่ใช้กลยุทธ์การตลาดเข้ามาผสมผสานการทำงานได้เป็นอย่างดี ทั้งสไตล์การเล่นเกมรุกที่เอ็นเตอร์เทนแฟนบอล ระเบียบวินัยของนักเตะที่ใช้วิธีปรับทัศนคติจนความเถื่อนดิบรุนแรงเกินงามที่คุ้นตาเลือนหายไปได้ ด้วยความสามารถและบารมีที่เขาสั่งสมมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะ ทำให้ทุกอย่างไปได้สวย และคงไม่มีใครในประเทศไทยทำได้แบบเขา
แต่ในทางกลับกันด้วยกระแสศรัทธาที่โหมกระหน่ำ ทำให้ใครก็ตามที่บังอาจวิจารณ์หรือตำหนิ "ซิโก้" ก็จะถูกคลื่นมหาชนบุกถล่มทันที แม้กระทั่ง "โค้ชเฮง" วิทยา เลาหกุล ผู้ซึ่งเคยอยู่ในฐานะอาจารย์ของ "ซิโก้" มาก่อนและเป็นผู้อาวุโสที่เหล่านักเตะส่วนใหญ่ให้การยอมรับนับถือ ออกมาติเพื่อก่อหลังเกมเสมอกับ อิรัก 2-2 แฟนคลับของ "ซิโก้" ก็ยังไม่วายกระหน่ำด่า "โค้ชเฮง" ซะแทบไม่เหลือชิ้นดี
โชคทวี พรหมรัตน์ “หัวล้านใจน้อย”
ผู้ได้รับมอบหมายจาก "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ให้ทำหน้าที่กุมบังเหียนทีมชาติไทยไปสู้ศึกซีเกมส์ที่ประเทศสิงคโปร์ ก่อนไปมีแต่คนปรามาสว่าฝีมือยังไม่ถึง และอาจจะเป็นต้นเหตุให้ทีม "ช้างศึก" ไปไม่ถึงฝั่งฝัน แต่ปลายทางกลับสร้างผลงานสุดยอดพาทีมชาติไทยคว้าแชมป์แบบชนะรวดทุกนัดเสียประตูเดียวถล่มคู่แข่งเละเทะเกือบทุกทีม ทว่าความสำเร็จกลับทำให้เกิดปัญหาตามมา เมื่อ "ซิโก้" ในฐานะลูกพี่ยืนยันว่าเป็นความสำเร็จจากระบบโครงสร้าง ขณะที่ "โค้ชโชค" มองว่าตนเองสมควรได้รับเครดิตมากกว่านี้
และด้วยพื้นฐานของ "โค้ชโชค" เป็นคนอ่อนไหวง่าย ขณะที่ "ซิโก้" ถูกมองว่าปฏิบัติตัวต่อพี่น้องในรุ่นดรีมทีมเปลี่ยนไป กลายเป็นลักษณะเจ้านายลูกน้องภายใต้บริษัทสปอร์ตฮีโร่ ยิ่งมากคนก็ยิ่งมากความ คนรอบตัวมีทั้งบ่างช่างยุและคนไกล่เกลี่ย จนทั้งคู่เกือบจะต่อกันไม่ติด
ในวันที่ "โค้ชโชค" นัดสื่อมวลชนเพื่อเตรียมลาออกพร้อมกับขู่แฉเรื่องลับๆ ก็มาได้ "บังยี" วรวีร์ มะกูดี เข้ามาอาสาเป็นกาวใจ และในที่สุด พี่น้องดรีมทีมคู่นี้ก็ยอมจับมือกันทำงานต่อ แม้หลายๆ คนจะยังแคลงใจว่าดีกันแล้วจริงหรือ แล้วต่อไปจะมีเหตุอะไรมาสะกิดให้ "โค้ชโชค" น้อยใจใครอีกหรือเปล่า
เทิดศักดิ์ ใจมั่น “ป๊อบ กวาร์ดิโอล่า”
บอกตรงๆ เลยว่ายังนึกภาพ เทิดศักดิ์ ใจมั่น ในมาดกุนซือผู้เคร่งขรึมไม่ออกจริงๆ หลังจากถูกแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ผู้จัดการทีมคนใหม่ของสโมสร ชลบุรี เอฟซี ที่เจ้าตัวอยู่ค้าแข้งมาตั้งแต่ปี 2010 เพราะเจ้าตัวเลือกมาทางตลกโปกฮา อำคนอื่นไปทั่วซะมากกว่า แม้จะดูขี้เล่น แต่คงไม่มีใครสงสัยเรื่องฝีเท้าของเขาแน่นอน ด้วยดีกรีอดีตรองนักเตะทรงคุณค่าแห่งปีของทวีปเอเชีย สมัยพาทีม บีอีซี เทโรศาสน คว้ารองแชมป์ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก และไม่ว่าจะไปเล่นให้สโมสรใดเขาก็กลายเป็นผู้เล่นระดับตำนานทั้งสิ้ฯ
หลังจากเปลี่ยนบทบาทมาเป็นโค้ชแล้ว ถึงตอนนี้เจ้าตัวยังไม่ยืนยันว่าจะพ่วงบทเพลเยอร์ด้วยหรือเปล่า แม้วัยจะล่วงเข้าสู่ตัวเลข 43 แล้วในปีหน้าแต่ดูท่ายังไม่หมดไฟง่ายๆ ส่วนเรื่องแนวทางการทำทีม "โค้ชเทิด" (เดี๋ยวก็ชิน) จะเน้นบอลภาคพื้นดินเป็นหลัก โดยมีปรัชญาเดียวกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่เคยสร้างระบบ "ติกิ ตาก้า" ให้กับ บาร์เซโลน่า พอดีแกชื่อเล่นว่า "ป๊อบ" ดังนั้นเราจึงขอตั้งฉายาให้ "น้าเทิด" ว่า "ป๊อบ กวาร์ดิโอล่า" ให้คล้ายกับยอดกุนซือขวัญใจแกก็แล้วกัน
ไพโรจน์ บวรวัฒนดิลก “ขุนศึกตัวจริง”
การเข้ามาของ "โค้ชเบ๊" นับว่าถูกที่ถูกเวลาจริงๆ สำหรับการที่ทีม "ขุนศึก" สระบุรี เอฟซี ตัดสินใจขอยืมตัวจากโอสถสภา ให้ไปช่วยกอบกู้วิกฤตในช่วงท้ายฤดูกาล และ "โค้ชเบ๊" ก็สามารถเขียนเทพนิยาย "ขุนศึก" ขึ้นมาได้สำเร็จ จากสโมสรที่ถูกยกให้เป็นเต็ง 1 ที่จะร่วงตกชั้น เคยมีปัญหาถูกสปอนเซอร์ถอนระหว่างซีซั่น ประธานสโมสรอย่างคุณวีระพล อดิเรกสาร เกือบถอดใจทิ้งทีมมาแล้วหลายครั้ง
แต่ใครจะเชื่อ ทีมที่แทบไม่มีซูเปอร์สตาร์ กลับสามารถสร้างสถิติไม่แพ้ใคร 10 นัดติดต่อกันในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างเป็นหรือตาย และยิ่งไปกว่านั้น สระบุรี คือทีมที่โปรแกรม 3 นัดสุดท้ายของฤดูกาลโหดหินที่สุดเพราะต้องเจอ 3 สโมสรมหาอำนาจของไทยในยุคนี้อย่าง บุรีรัมย์, เมืองทอง และ ชลบุรี แต่สุดท้ายแล้ว "โค้ชเบ๊" ก็ใช้ภาวะผู้นำและมันสมองฝ่าวิกฤตพาทีมบุกถล่ม ชลบุรี ขาดลอย 3-0 พร้อมกับอยู่รอดในไทยพรีเมียร์ลีกได้อย่างสง่าผ่าเผย จนต้องขอยกฉายา "ขุนศึกตัวจริง" ให้กับกุนซือรายนี้