หลายคนคงได้ตามข่าวว่าในปีนี้ 10 ประเทศสมาชิก Asean ได้เปิดเศรฐกิจประชาคมอาเชียนอย่างเป็นทางการ หลายคนหรือหลายบริษัทก็ตื่นตัวในการจัดการภายในองค์กรว่าจะรับมือกับการเปลื่ยนแปลงครั้งนี้อย่างไร ในขณะที่หลายคนยังไม่ทราบการเปลื่ยนแปลงหรือเห็นว่าการเปิด AEC ไม่มีผลกระทบอะไรเลยหรือไม่เห็นภาพการเปลื่ยนแปลงอะไรทั่งสิ้นตามที่ได้เห็นในหลายๆกระทู้ของ Pantip.com
ถ้าไม่พูดในมุมอื่นในเรื่องของการยกเว้นภาษีหรือการส่งเสริมการลงทุนในSME หรือภาคส่วนต่างๆ สิ่งนึงที่มีการพูดถึงในกลุ่มแรงงานฝีมือ คือ Free Flow of Workforce ทั้ง 8 สาขาวิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็น แพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ วิศวกร นักบัญชี สถาปนิก นักสำรวจ และ มัคคุเทศน์ ทีสามารถเคลื่อนย้ายระหว่าง 10 ประเทศได้อย่างเสรี
คำถามคือ สิ่งต่างๆเหล่านี้ มันเกี่ยวกับตัวเรายังไง
บางคนคงนึกในใจว่า "จะมีคนไทยสักกี่คนจะย้ายถิ่นฐานการทำงานจากประเทศเราไปประเทศอื่นๆ อย่างมากก็ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์สักหลายปี แล้วก็กลับประเทศ คงไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น หรือไปสร้าง career ที่ต่างแดนจนแก่เฒ่า”
แต่ในขณะทีหลายคนอาจจะนึกว่า “ตายแล้ว แล้วเราจะถูกเพื่อนบ้านแย่งงานหรือป่าว งานที่เราเคยทำอาจจะถูกแทนด้วยคนประเทศอื่นที่เค้าเก่งกว่าและรับในอัตราค่าตอบแทนที่ตำ่กว่าได้แน่ๆเรย” ซึ่งเราอาจะเริ่มเห็นพนักงานโรงแรมหรือพนักงานร้านกาแฟหลายแห่งถูกแทนที่ด้วยพนักงานฟิลิปปินน์หรือสหภาพเมืยนม่า ที่หน้าตายิ่มแย้มแจ่มใสและพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว
หลายคนอาจจะมองว่าเป็นโอกาสว่า เราอาจจะได้มีโอกาสทำงานกับคนต่างชาตืมากขึ้น เราจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ วัฒนธรรม รูปแบบการทำงาน หรือ กระบวณการความคิดของผู้เชียวชาฐประเทศอื่นๆ เยื่ยมเรย เราคงจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ เราจะต้องเก่งขึ้นแน่ๆเลย
หลายบริษัทอาจจะเริ่มติดที่จะมองหาโอกาสในหาจ้างบุคลากรต่างประเทศที่มืฝีมือดีมาทำงานด้วย เพื่อเปิดโลกทัศน์หรือสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดูเป้นสากลหรือ AEC มากขึ้น หรือแม้กระทั้งตั้งอกตั้งใจจัดโปรแกรมพัฒนาบุคลากรเพื่อเตรียมความพร้อมในเรื่อง AEC หรือทักษะอื่นๆเช่น การนำเสนอ, การต่อรองเจรจา, การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้อย่างรวดเร็ว, การตัดสินใจในเรื่องสำคัญ, การคิดวิเคราะห์อย่างมีระบบ เป็นต้น
แต่ในขณะที่หลายบริษัทก็ไม่รู้สึกว่าเรื่องต่างๆเหล่านี้จะส่งผลยังไงกับพนักงานของเรา ใช้งานพนักงานไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้พัฒนาความสามารถบุคลากรในองค์กรให้เก่งขึ้นให้มีความสามารถมากขึ้น (โดยเฉพาะด้านภาษา) เพราะยังคงคงคิดว่าความเปลื่ยนแปลงนั่นอยู่ไกลตัวไกลบริษัทเสียเหลือเกิน
เราอาจเคยได้ยินว่า ต่างชาติอาจจะมองว่าคนไทยมีจุดแข็งที่ในการทำงานเรื่องของ จิตใจที่รักการบริการ อะไรๆก็จะบอกว่า “ทำได้” หรือ “yes, sir” ไว้ก่อน อีกทั้งยังมีเป็นคนที่มีความยืดหยุ่นในการทำงานสูง การวางแผนอย่างเป็นระบบ ความอดทนในการทำงานที่สู้ยิบตาเมื่อใกล้ถึงเวลาส่งงาน แต่ก็ยังเห็นจุดอ่อนของเราในเรื่องของ ความกล้าในการแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม (ไม่นับการสุมรวมแสดงความคิดเห็นนอกวงประชุม ที่แซบสุดๆ) หรือการที่มี power of distance สูง เกรงใจนาย เกรงใจพี่ ข้ามหัวท่าน ที่ทำให้หลายครั้งเราพลาดโอกาสในการเปลื่ยนแปลงการตัดสินใจหรือพลาดการนำทีมในงานสำคัญต่างๆ เพราะไม่ได้พูดความคิดดีๆ ออกไป
AEC เป็นแค่ส่วนนึงของการเปลื่ยนแปลงครับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด หลายๆบริษัทต่างชาติเริ่มย้ายฐานการผลิตและการบริการไปประเทษอื่นๆทั้งๆที่ไม่เกี่ยวกับ AEC เรย นั่นเพราะโลกเราเปลื่ยนแปลงตลอดครับ นอกจาก AEC เรายังมีทวิภาคีกับหลายๆประเทศที่เราร่วมมือทางการค้าและการบริการครับ
เอาหล่ะ คำถามสุดท้ายคือ “แล้วสิ่งต่างๆเหล่านี้ มันเกี่ยวกับตัวเรายังไง”
อันนี้ก็ชึ้นอยู่กับ attitude แล้วก็ mindset ของแต่ละคนแล้วครับว่าจะทำอะไรกับการเปลื่ยนแปลงเหล่านี้
จะนิ่งเฉยปล่อยให้การเปลื่ยนแปลงมันเป็นไปแล้วก็นั่งมองมันอย่างสุขใจ หรือ จะทำอะไรสักอย่างกับสิ่งที่เรากำหนดได้ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตัวเองให้มีความสามารถที่จะเป็นคนที่ขับเคลื่อนการเปลื่ยนแปลงของ AEC ดูแลพัฒนาลูกน้องลูกทีมตัวเองให้เก่งขึ้น ดูแลบรรยากาศในบริษัทเราให้มีความพร้อมในการเปลื่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
Loser “Let things happen”
Winner “Make things happen"
ที่ตั้งกระทู้นี้ก็อยากให้ทุกคนลองมองดูครับว่า เราจะสร้าง Winning Mindset กับตัวเองได้ยังไง
สวัสดีปีใหม่และขอให้ทุกคนโชคดีกับการทำงานวันแรกของปีในวันพรุ่งนี้ครับ
มีความคิดอะไรดีๆก็แลกเปลื่ยนแนะนำได้นะครับ
มุมมองเล็กๆเกี่ยวกับ AEC ในแง่ของทรัพยากรมนุษย์จาก HR ตัวเล็กๆคนนึง
ถ้าไม่พูดในมุมอื่นในเรื่องของการยกเว้นภาษีหรือการส่งเสริมการลงทุนในSME หรือภาคส่วนต่างๆ สิ่งนึงที่มีการพูดถึงในกลุ่มแรงงานฝีมือ คือ Free Flow of Workforce ทั้ง 8 สาขาวิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็น แพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ วิศวกร นักบัญชี สถาปนิก นักสำรวจ และ มัคคุเทศน์ ทีสามารถเคลื่อนย้ายระหว่าง 10 ประเทศได้อย่างเสรี
คำถามคือ สิ่งต่างๆเหล่านี้ มันเกี่ยวกับตัวเรายังไง
บางคนคงนึกในใจว่า "จะมีคนไทยสักกี่คนจะย้ายถิ่นฐานการทำงานจากประเทศเราไปประเทศอื่นๆ อย่างมากก็ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์สักหลายปี แล้วก็กลับประเทศ คงไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น หรือไปสร้าง career ที่ต่างแดนจนแก่เฒ่า”
แต่ในขณะทีหลายคนอาจจะนึกว่า “ตายแล้ว แล้วเราจะถูกเพื่อนบ้านแย่งงานหรือป่าว งานที่เราเคยทำอาจจะถูกแทนด้วยคนประเทศอื่นที่เค้าเก่งกว่าและรับในอัตราค่าตอบแทนที่ตำ่กว่าได้แน่ๆเรย” ซึ่งเราอาจะเริ่มเห็นพนักงานโรงแรมหรือพนักงานร้านกาแฟหลายแห่งถูกแทนที่ด้วยพนักงานฟิลิปปินน์หรือสหภาพเมืยนม่า ที่หน้าตายิ่มแย้มแจ่มใสและพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว
หลายคนอาจจะมองว่าเป็นโอกาสว่า เราอาจจะได้มีโอกาสทำงานกับคนต่างชาตืมากขึ้น เราจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ วัฒนธรรม รูปแบบการทำงาน หรือ กระบวณการความคิดของผู้เชียวชาฐประเทศอื่นๆ เยื่ยมเรย เราคงจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ เราจะต้องเก่งขึ้นแน่ๆเลย
หลายบริษัทอาจจะเริ่มติดที่จะมองหาโอกาสในหาจ้างบุคลากรต่างประเทศที่มืฝีมือดีมาทำงานด้วย เพื่อเปิดโลกทัศน์หรือสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดูเป้นสากลหรือ AEC มากขึ้น หรือแม้กระทั้งตั้งอกตั้งใจจัดโปรแกรมพัฒนาบุคลากรเพื่อเตรียมความพร้อมในเรื่อง AEC หรือทักษะอื่นๆเช่น การนำเสนอ, การต่อรองเจรจา, การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้อย่างรวดเร็ว, การตัดสินใจในเรื่องสำคัญ, การคิดวิเคราะห์อย่างมีระบบ เป็นต้น
แต่ในขณะที่หลายบริษัทก็ไม่รู้สึกว่าเรื่องต่างๆเหล่านี้จะส่งผลยังไงกับพนักงานของเรา ใช้งานพนักงานไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้พัฒนาความสามารถบุคลากรในองค์กรให้เก่งขึ้นให้มีความสามารถมากขึ้น (โดยเฉพาะด้านภาษา) เพราะยังคงคงคิดว่าความเปลื่ยนแปลงนั่นอยู่ไกลตัวไกลบริษัทเสียเหลือเกิน
เราอาจเคยได้ยินว่า ต่างชาติอาจจะมองว่าคนไทยมีจุดแข็งที่ในการทำงานเรื่องของ จิตใจที่รักการบริการ อะไรๆก็จะบอกว่า “ทำได้” หรือ “yes, sir” ไว้ก่อน อีกทั้งยังมีเป็นคนที่มีความยืดหยุ่นในการทำงานสูง การวางแผนอย่างเป็นระบบ ความอดทนในการทำงานที่สู้ยิบตาเมื่อใกล้ถึงเวลาส่งงาน แต่ก็ยังเห็นจุดอ่อนของเราในเรื่องของ ความกล้าในการแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม (ไม่นับการสุมรวมแสดงความคิดเห็นนอกวงประชุม ที่แซบสุดๆ) หรือการที่มี power of distance สูง เกรงใจนาย เกรงใจพี่ ข้ามหัวท่าน ที่ทำให้หลายครั้งเราพลาดโอกาสในการเปลื่ยนแปลงการตัดสินใจหรือพลาดการนำทีมในงานสำคัญต่างๆ เพราะไม่ได้พูดความคิดดีๆ ออกไป
AEC เป็นแค่ส่วนนึงของการเปลื่ยนแปลงครับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด หลายๆบริษัทต่างชาติเริ่มย้ายฐานการผลิตและการบริการไปประเทษอื่นๆทั้งๆที่ไม่เกี่ยวกับ AEC เรย นั่นเพราะโลกเราเปลื่ยนแปลงตลอดครับ นอกจาก AEC เรายังมีทวิภาคีกับหลายๆประเทศที่เราร่วมมือทางการค้าและการบริการครับ
เอาหล่ะ คำถามสุดท้ายคือ “แล้วสิ่งต่างๆเหล่านี้ มันเกี่ยวกับตัวเรายังไง”
อันนี้ก็ชึ้นอยู่กับ attitude แล้วก็ mindset ของแต่ละคนแล้วครับว่าจะทำอะไรกับการเปลื่ยนแปลงเหล่านี้
จะนิ่งเฉยปล่อยให้การเปลื่ยนแปลงมันเป็นไปแล้วก็นั่งมองมันอย่างสุขใจ หรือ จะทำอะไรสักอย่างกับสิ่งที่เรากำหนดได้ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตัวเองให้มีความสามารถที่จะเป็นคนที่ขับเคลื่อนการเปลื่ยนแปลงของ AEC ดูแลพัฒนาลูกน้องลูกทีมตัวเองให้เก่งขึ้น ดูแลบรรยากาศในบริษัทเราให้มีความพร้อมในการเปลื่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
Loser “Let things happen”
Winner “Make things happen"
ที่ตั้งกระทู้นี้ก็อยากให้ทุกคนลองมองดูครับว่า เราจะสร้าง Winning Mindset กับตัวเองได้ยังไง
สวัสดีปีใหม่และขอให้ทุกคนโชคดีกับการทำงานวันแรกของปีในวันพรุ่งนี้ครับ
มีความคิดอะไรดีๆก็แลกเปลื่ยนแนะนำได้นะครับ