รีวิว Sandisk Clip Jam
Sandisk Clip Jam เป็นเครื่องเล่น MP3 รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Sandisk (รุ่นก่อนหน้านี้คือ Sandisk Clip Sport สามารถคลิกอ่านรีวิวได้ที่นี่ครับ
http://pantip.com/topic/32169205) โดยที่ยังคงรูปแบบเดิมๆ คือสะดวกในการพกพาสำหรับเวลาทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง หรือปั่นจักรยาน หรือเอาไปฟังในระหว่างการเล่นฟิตเนส โดยใช้คลิปหนีบที่ด้านหลังเครื่องหนีบติดกับเสื้อ หรือสายรัดข้อมือให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับเพลงโปรดของคุณในขณะที่กำลังออกกำลังกาย สำหรับความจุนั้นมีความจุเดียวคือ 8 GB ครับ พร้อมรองรับช่องเสียบการ์ดเพิ่มหน่วยความจำได้สูงสุดถึง 32GB ด้วย
สเปคคร่าวๆ
- หน้าจอขาวดำขนาด 0.96 นิ้ว (128x64 pixels)
- รองรับไฟล์เพลงประเภท MP3, WMA (NO DRM), AAC, WAV and Audible (DRM only) และ FLAC
- ฟังวิทยุ FM ได้ จุดทศนิยม 2 ตำแหน่ง เลื่อนได้ทีละ 0.05 (ละเอียดมาก)
- ปรับตั้งบันทึกสถานีวิทยุที่ชอบได้มากถึง 30 สถานี
- ความจุในตัวเครื่อง 8GB และสามารถเพิ่ม Memory ได้สูงสุดถึง 64GB โดยใช้ Micro SDHC Card
- มีเมนูภาษาไทย และอ่านไทยได้ แต่ยังไม่ค่อยสมบูรณ์แบบนัก
รวมทั้งภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอื่นๆ อีกมากมาย
- มีนาฬิกาจับเวลาได้ละเอียดถึงเศษเสี้ยววินาที และสามารถตั้งเวลานับถอยหลังได้ด้วย
- ตั้งเวลาปิดเครื่องอัตโนมัติ
- ฟังเพลงต่อเนื่องได้นานถึง 18 ชั่วโมง ตามสเปคที่ผู้ผลิตระบุไว้ แต่การใช้งานจริงอาจจะไม่ถึง ขึ้นอยู่กับ file เพลง และปัจจัยอื่นๆ
แกะกล่อง Sandisk Clip Jam
Sandisk ได้ออกเครื่องเล่น MP3 พกพารุ่นใหม่มาโดยใช้ชื่อรุ่นว่า Sandisk Clip Jam มีขนาดความจุที่ 8GB มีสีให้เลือกตามใจชอบถึง 5 สีคือ สีดำ น้ำเงิน ส้ม ชมพู และเขียว
เมื่อแกะกล่องกระดาษออกมา ก็จะพบตัวเครื่องเล่นหนีบติดกับโครงกระดาษแข็ง ต่างจากรุ่นก่อนๆ ที่ตัวเครื่องจะวางอยู่ในช่องในโครงพลาสติกอีกชั้นนึง ภายในกล่องก็จะมี หูฟังแบบ earbuds พร้อม สาย USB และคู่มือแบบย่อมาให้
ด้านหน้าตัวเครื่อง ในส่วนของครึ่งบนเป็นหน้าจอขนาด 0.96 นิ้ว ในส่วนของครึ่งล่างนั้นจะเป็นแผงควบคุมตัวเครื่อง มีปุ่มกดบน-ล่าง-ซ้าย-ขวา ปุ่ม enter อยู่ตรงกลาง และปุ่มลูกศรย้อนกลับตรงมุมบนซ้ายของแผงควบคุม ปุ่มนี้ใช้สำหรับล็อคเครื่องด้วย เมื่อกดค้างไว้ประมาณ 3 วินาที
ปุ่มตรงกลางนี่ใช้กดเพื่อเปิด-ปิดเครื่องด้วยนะครับ
ด้านหลังตัวเครื่อง จะเป็นคลิปหนีบขนาดใหญ่ที่สามารถหนีบติดกับเสื้อหรือกางเกงได้อย่างมั่นคงไม่หลุดง่าย
ด้านข้างซ้ายตัวเครื่อง จะเป็นช่องเสียบสาย Micro USB และปุ่มกดเพิ่ม-ลดเสียง จะเห็นว่าด้านหลังและรอบข้างตัวเครื่องจะเป็นพลาสติกแบบใสมองเห็นแผงวงจรข้างในเลย ดูแล้วก็สวยไปอีกแบบครับ
ด้านข้างขวาตัวเครื่อง จะเป็นช่องเสียบหูฟัง และช่องใส Memory Card
ด้านบนและด้านล่างตัวเครื่อง จะโล่งๆ ไม่มีปุ่มกดหรือช่องใดๆ ทั้งสิ้นครับ
เทียบขนาดให้เห็นกันระหว่าง 3 รุ่นจากซ้ายไปขวาคือ Clip Plus, Clip Jam, Clip Sport
ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่า Clip Jam รุ่นนี้เกิดจากการจับเอาดีไซน์ของ Clip Plus และ Clip Sport มารวมกัน นั่นก็คือหน้าจอของ Clip Jam นั้น จะเหมือนกันกับ Clip Plus แต่แผงควบคุมปุ่มกดจะเหมือนกันกับ Clip Sport นะครับ โดยแผงควบคุมนี้จะมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นก่อนๆ กินเนื้อที่เข้าไปครึ่งนึงของตัวเครื่องเลย ทำให้สามารถกดปุ่มต่างๆ ได้อย่างมั่นใจไม่ผิดพลาด เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่นิ้วมือใหญ่
ขนาดตัวเครื่องของ Clip Jam จะเล็กกว่า Clip Sport อยู่เล็กน้อย แต่จะเท่ากันกับ Clip Plus เลยครับ
ขนาดกำลังพอดีเมื่อวางอยู่ในฝ่ามือ
การเปิดเครื่องก็เพียงแต่กดปุ่มตรงกลางค้างไว้ประมาณ 2-3 วินาที หน้าจอก็จะติดขึ้นมาเป็นโลโก้ของ Sandisk จากนั้นก็ทำการเลือกเมนูภาษาที่ต้องการ ซึ่งมีทั้งภาษาอังกฤษ ไทย จีน ญี่ปุ่น และอีกมากมาย
เมื่อเลือกภาษาที่ต้องการเสร็จแล้ว ก็จะเข้าสู่เมนูของการเลือกภูมิภาค (Region) ให้เลือกเป็น Rest of World นะครับ เพราะถ้าเลือกเป็น Europe จะถูกข้อจำกัดในเรื่องของเสียง (Volume Limit) แต่ถ้าเผลอกดเลือกเป็น Europe ก็สามารถไป Restore ให้กลับไปที่ Factory Setting เพื่อเริ่มตั้งค่าใหม่ได้ครับ
เมื่อเลือกเสร็จแล้ว ก็จะกลับเข้าสู่เมนูหลักๆ ได้แก่ Music, Radio, Books, Folder, Card, Sport และ Settings เมนูพวกนี้อันไหนที่เราไม่ได้ใช้ก็สามารถซ่อนได้ด้วยนะครับ
การลงเพลงไม่ต้องติดตั้งหรือลงผ่านโปรแกรมใดๆ สามารถเสียบสาย USB เชื่อมต่อกับเครื่อง PC แล้วลากวางได้เลยครับ
การเล่นเพลงนั้น สามารถเลือกได้ว่าจะเล่นเรียงตามอัลบั้ม หรือชื่อเพลง หรือ playlist หรือตาม folder ก็ได้ครับ ถ้าเราใส่ Memory Card ไว้ ก็สามารถเลือกได้ว่าจะเล่นจากเมมในตัวเครื่อง หรือจากเมมนอกก็ได้
รายชื่อเพลงที่เป็นภาษาไทยถึงจะยังไม่ค่อยสมบูรณ์แบบนัก แต่ก็อ่านรู้เรื่องครับ
วิทยุ FM เป็นจุดทศนิยม 2 ตำแหน่ง ปรับเลื่อนได้ทีละ 0.5 ละเอียดมากครับ การรับวิทยุก็ชัดเจนดีมาก
เราสามารถ memory สถานีที่ชอบได้มากถึง 30 สถานีอีกด้วย
Clip Jam ตัวนี้ถูกดีไซน์มาให้ใช้ในขณะออกกำลังกายได้ด้วย โดยมีฟังก์ชั่นของนาฬิกาจับเวลาใส่มาให้ใช้ สามารถจับเวลาได้ละเอียดถึงเศษเสี้ยววินาที
และยังสามารถจับเวลาแบบนับถอยหลังมาให้อีกด้วยครับ
สามารถตั้งเวลาปิดเครื่องเองได้สูงสุดถึง 120 นาที
ผมลองเอา Memory Card 32GB ใส่เข้าไป ก็สามารถรองรับและใช้งานได้โดยไม่มีปัญหาครับ รวมแล้วจะมีความจุสูงสุดอยู่ที่ 40GB เลยทีเดียว นับว่าเยอะมากถ้าเทียบกับขนาดตัวเครื่องที่เล็กเท่ากล่องไม้ขีดไฟนี้
ต่อไปจะเป็นการทดสอบเสียงของ Clip Jam นะครับ
ก่อนการทดสอบ ผมเปิดเพลงทิ้งไว้เพื่อ burn หูฟัง และตัวเครื่องประมาณ 50 ชั่วโมง ในการทดสอบนี้ผมใช้หูแถมของ Clip Jam นะครับ เสียงที่ได้ฟังโดยรวมนั้นรู้สึกได้ถึงความคมชัด และความแน่นของเสียง ให้รายละเอียดที่ดี ฟังสนุกครับ
ผมลองทดสอบเสียงเทียบกับ Clip Sport โดยใช้เพลง และหูฟังเดียวกันเป็นตัวทดสอบ ปรับ EQ ไปที่ Normal ฟังสลับไปมาทั้ง 2 เครื่อง ปรากฏว่าเสียงของ Clip Jam จะแน่นกว่า เสียงของ Clip Sport จะออกไปในทางโปร่งๆ รายละเอียดของเสียง และการแยกแยะชิ้นดนตรีนั้น ดีพอๆ กันทั้งคู่ ส่วนเรื่องของกำลังขับนั้นก็ทำได้ดีไม่แตกต่างกันเลยครับ
ผมขอสรุปข้อแตกต่างระหว่าง Clip Jam และ Clip Sport ดังนี้ครับ
- ตัวเครื่องมีขนาดเล็กกว่า
- แบตอยู่ได้นาน 18 ชั่วโมง ในขณะที่ Clip Sport อยู่ได้ประมาณ 25 ชั่วโมง (ตามข้อกำหนดของผู้ผลิต)
- หน้าจอเล็กกว่า และเป็นขาว-ดำ ไม่สามารถโชว์ปกอัลบั้มได้
- หูฟังที่แถมมาเป็นแบบ earbuds ในขณะที่ Clip Sport หูแถมเป็นแบบ in-ear
สรุปโดยรวม
Sandisk Clip Jam ถูกออกแบบตัวเครื่องให้มีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อนหน้า เพิ่มพื้นที่ปุ่มกดตรงแผงควบคุมให้สามารถกดได้ถนัดมือมากขึ้น
จุดเด่นของ Clip Jam นั้นอยู่ที่ตัวเครื่องที่สวยงาม มีขนาดเล็ก พกพาสะดวก มีสีให้เลือกถึง 5 สี ใช้งานง่ายได้หลากหลายทั้งฟังเพลง วิทยุ และจับเวลา แบตอยู่ได้นานถึง 18 ชั่วโมง มีฟังก์ชั่นให้เลือกใช้มากมาย และสามารถใส่ memory เพิ่มได้ตามต้องการ
รีวิวเครื่องเล่น mp3 เสียงดี Sandisk Clip Jam จิ๋วแต่แจ๋ว
Sandisk Clip Jam เป็นเครื่องเล่น MP3 รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Sandisk (รุ่นก่อนหน้านี้คือ Sandisk Clip Sport สามารถคลิกอ่านรีวิวได้ที่นี่ครับ http://pantip.com/topic/32169205) โดยที่ยังคงรูปแบบเดิมๆ คือสะดวกในการพกพาสำหรับเวลาทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง หรือปั่นจักรยาน หรือเอาไปฟังในระหว่างการเล่นฟิตเนส โดยใช้คลิปหนีบที่ด้านหลังเครื่องหนีบติดกับเสื้อ หรือสายรัดข้อมือให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับเพลงโปรดของคุณในขณะที่กำลังออกกำลังกาย สำหรับความจุนั้นมีความจุเดียวคือ 8 GB ครับ พร้อมรองรับช่องเสียบการ์ดเพิ่มหน่วยความจำได้สูงสุดถึง 32GB ด้วย
สเปคคร่าวๆ
- หน้าจอขาวดำขนาด 0.96 นิ้ว (128x64 pixels)
- รองรับไฟล์เพลงประเภท MP3, WMA (NO DRM), AAC, WAV and Audible (DRM only) และ FLAC
- ฟังวิทยุ FM ได้ จุดทศนิยม 2 ตำแหน่ง เลื่อนได้ทีละ 0.05 (ละเอียดมาก)
- ปรับตั้งบันทึกสถานีวิทยุที่ชอบได้มากถึง 30 สถานี
- ความจุในตัวเครื่อง 8GB และสามารถเพิ่ม Memory ได้สูงสุดถึง 64GB โดยใช้ Micro SDHC Card
- มีเมนูภาษาไทย และอ่านไทยได้ แต่ยังไม่ค่อยสมบูรณ์แบบนัก
รวมทั้งภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอื่นๆ อีกมากมาย
- มีนาฬิกาจับเวลาได้ละเอียดถึงเศษเสี้ยววินาที และสามารถตั้งเวลานับถอยหลังได้ด้วย
- ตั้งเวลาปิดเครื่องอัตโนมัติ
- ฟังเพลงต่อเนื่องได้นานถึง 18 ชั่วโมง ตามสเปคที่ผู้ผลิตระบุไว้ แต่การใช้งานจริงอาจจะไม่ถึง ขึ้นอยู่กับ file เพลง และปัจจัยอื่นๆ
แกะกล่อง Sandisk Clip Jam
Sandisk ได้ออกเครื่องเล่น MP3 พกพารุ่นใหม่มาโดยใช้ชื่อรุ่นว่า Sandisk Clip Jam มีขนาดความจุที่ 8GB มีสีให้เลือกตามใจชอบถึง 5 สีคือ สีดำ น้ำเงิน ส้ม ชมพู และเขียว
เมื่อแกะกล่องกระดาษออกมา ก็จะพบตัวเครื่องเล่นหนีบติดกับโครงกระดาษแข็ง ต่างจากรุ่นก่อนๆ ที่ตัวเครื่องจะวางอยู่ในช่องในโครงพลาสติกอีกชั้นนึง ภายในกล่องก็จะมี หูฟังแบบ earbuds พร้อม สาย USB และคู่มือแบบย่อมาให้
ด้านหน้าตัวเครื่อง ในส่วนของครึ่งบนเป็นหน้าจอขนาด 0.96 นิ้ว ในส่วนของครึ่งล่างนั้นจะเป็นแผงควบคุมตัวเครื่อง มีปุ่มกดบน-ล่าง-ซ้าย-ขวา ปุ่ม enter อยู่ตรงกลาง และปุ่มลูกศรย้อนกลับตรงมุมบนซ้ายของแผงควบคุม ปุ่มนี้ใช้สำหรับล็อคเครื่องด้วย เมื่อกดค้างไว้ประมาณ 3 วินาที
ปุ่มตรงกลางนี่ใช้กดเพื่อเปิด-ปิดเครื่องด้วยนะครับ
ด้านหลังตัวเครื่อง จะเป็นคลิปหนีบขนาดใหญ่ที่สามารถหนีบติดกับเสื้อหรือกางเกงได้อย่างมั่นคงไม่หลุดง่าย
ด้านข้างซ้ายตัวเครื่อง จะเป็นช่องเสียบสาย Micro USB และปุ่มกดเพิ่ม-ลดเสียง จะเห็นว่าด้านหลังและรอบข้างตัวเครื่องจะเป็นพลาสติกแบบใสมองเห็นแผงวงจรข้างในเลย ดูแล้วก็สวยไปอีกแบบครับ
ด้านข้างขวาตัวเครื่อง จะเป็นช่องเสียบหูฟัง และช่องใส Memory Card
ด้านบนและด้านล่างตัวเครื่อง จะโล่งๆ ไม่มีปุ่มกดหรือช่องใดๆ ทั้งสิ้นครับ
เทียบขนาดให้เห็นกันระหว่าง 3 รุ่นจากซ้ายไปขวาคือ Clip Plus, Clip Jam, Clip Sport
ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่า Clip Jam รุ่นนี้เกิดจากการจับเอาดีไซน์ของ Clip Plus และ Clip Sport มารวมกัน นั่นก็คือหน้าจอของ Clip Jam นั้น จะเหมือนกันกับ Clip Plus แต่แผงควบคุมปุ่มกดจะเหมือนกันกับ Clip Sport นะครับ โดยแผงควบคุมนี้จะมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นก่อนๆ กินเนื้อที่เข้าไปครึ่งนึงของตัวเครื่องเลย ทำให้สามารถกดปุ่มต่างๆ ได้อย่างมั่นใจไม่ผิดพลาด เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่นิ้วมือใหญ่
ขนาดตัวเครื่องของ Clip Jam จะเล็กกว่า Clip Sport อยู่เล็กน้อย แต่จะเท่ากันกับ Clip Plus เลยครับ
ขนาดกำลังพอดีเมื่อวางอยู่ในฝ่ามือ
การเปิดเครื่องก็เพียงแต่กดปุ่มตรงกลางค้างไว้ประมาณ 2-3 วินาที หน้าจอก็จะติดขึ้นมาเป็นโลโก้ของ Sandisk จากนั้นก็ทำการเลือกเมนูภาษาที่ต้องการ ซึ่งมีทั้งภาษาอังกฤษ ไทย จีน ญี่ปุ่น และอีกมากมาย
เมื่อเลือกภาษาที่ต้องการเสร็จแล้ว ก็จะเข้าสู่เมนูของการเลือกภูมิภาค (Region) ให้เลือกเป็น Rest of World นะครับ เพราะถ้าเลือกเป็น Europe จะถูกข้อจำกัดในเรื่องของเสียง (Volume Limit) แต่ถ้าเผลอกดเลือกเป็น Europe ก็สามารถไป Restore ให้กลับไปที่ Factory Setting เพื่อเริ่มตั้งค่าใหม่ได้ครับ
เมื่อเลือกเสร็จแล้ว ก็จะกลับเข้าสู่เมนูหลักๆ ได้แก่ Music, Radio, Books, Folder, Card, Sport และ Settings เมนูพวกนี้อันไหนที่เราไม่ได้ใช้ก็สามารถซ่อนได้ด้วยนะครับ
การลงเพลงไม่ต้องติดตั้งหรือลงผ่านโปรแกรมใดๆ สามารถเสียบสาย USB เชื่อมต่อกับเครื่อง PC แล้วลากวางได้เลยครับ
การเล่นเพลงนั้น สามารถเลือกได้ว่าจะเล่นเรียงตามอัลบั้ม หรือชื่อเพลง หรือ playlist หรือตาม folder ก็ได้ครับ ถ้าเราใส่ Memory Card ไว้ ก็สามารถเลือกได้ว่าจะเล่นจากเมมในตัวเครื่อง หรือจากเมมนอกก็ได้
รายชื่อเพลงที่เป็นภาษาไทยถึงจะยังไม่ค่อยสมบูรณ์แบบนัก แต่ก็อ่านรู้เรื่องครับ
วิทยุ FM เป็นจุดทศนิยม 2 ตำแหน่ง ปรับเลื่อนได้ทีละ 0.5 ละเอียดมากครับ การรับวิทยุก็ชัดเจนดีมาก
เราสามารถ memory สถานีที่ชอบได้มากถึง 30 สถานีอีกด้วย
Clip Jam ตัวนี้ถูกดีไซน์มาให้ใช้ในขณะออกกำลังกายได้ด้วย โดยมีฟังก์ชั่นของนาฬิกาจับเวลาใส่มาให้ใช้ สามารถจับเวลาได้ละเอียดถึงเศษเสี้ยววินาที
และยังสามารถจับเวลาแบบนับถอยหลังมาให้อีกด้วยครับ
สามารถตั้งเวลาปิดเครื่องเองได้สูงสุดถึง 120 นาที
ผมลองเอา Memory Card 32GB ใส่เข้าไป ก็สามารถรองรับและใช้งานได้โดยไม่มีปัญหาครับ รวมแล้วจะมีความจุสูงสุดอยู่ที่ 40GB เลยทีเดียว นับว่าเยอะมากถ้าเทียบกับขนาดตัวเครื่องที่เล็กเท่ากล่องไม้ขีดไฟนี้
ต่อไปจะเป็นการทดสอบเสียงของ Clip Jam นะครับ
ก่อนการทดสอบ ผมเปิดเพลงทิ้งไว้เพื่อ burn หูฟัง และตัวเครื่องประมาณ 50 ชั่วโมง ในการทดสอบนี้ผมใช้หูแถมของ Clip Jam นะครับ เสียงที่ได้ฟังโดยรวมนั้นรู้สึกได้ถึงความคมชัด และความแน่นของเสียง ให้รายละเอียดที่ดี ฟังสนุกครับ
ผมลองทดสอบเสียงเทียบกับ Clip Sport โดยใช้เพลง และหูฟังเดียวกันเป็นตัวทดสอบ ปรับ EQ ไปที่ Normal ฟังสลับไปมาทั้ง 2 เครื่อง ปรากฏว่าเสียงของ Clip Jam จะแน่นกว่า เสียงของ Clip Sport จะออกไปในทางโปร่งๆ รายละเอียดของเสียง และการแยกแยะชิ้นดนตรีนั้น ดีพอๆ กันทั้งคู่ ส่วนเรื่องของกำลังขับนั้นก็ทำได้ดีไม่แตกต่างกันเลยครับ
ผมขอสรุปข้อแตกต่างระหว่าง Clip Jam และ Clip Sport ดังนี้ครับ
- ตัวเครื่องมีขนาดเล็กกว่า
- แบตอยู่ได้นาน 18 ชั่วโมง ในขณะที่ Clip Sport อยู่ได้ประมาณ 25 ชั่วโมง (ตามข้อกำหนดของผู้ผลิต)
- หน้าจอเล็กกว่า และเป็นขาว-ดำ ไม่สามารถโชว์ปกอัลบั้มได้
- หูฟังที่แถมมาเป็นแบบ earbuds ในขณะที่ Clip Sport หูแถมเป็นแบบ in-ear
สรุปโดยรวม
Sandisk Clip Jam ถูกออกแบบตัวเครื่องให้มีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อนหน้า เพิ่มพื้นที่ปุ่มกดตรงแผงควบคุมให้สามารถกดได้ถนัดมือมากขึ้น
จุดเด่นของ Clip Jam นั้นอยู่ที่ตัวเครื่องที่สวยงาม มีขนาดเล็ก พกพาสะดวก มีสีให้เลือกถึง 5 สี ใช้งานง่ายได้หลากหลายทั้งฟังเพลง วิทยุ และจับเวลา แบตอยู่ได้นานถึง 18 ชั่วโมง มีฟังก์ชั่นให้เลือกใช้มากมาย และสามารถใส่ memory เพิ่มได้ตามต้องการ