“ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก” ตะลุยจีน 21 วัน ผ่านกัมพูชา เวียดนาม สุดทางที่กำแพงเมืองจีน ขากลับล่องเรือผ่านลาว นั่งรถไฟเป็นส่วนใหญ่ ไม่นั่งเครื่องบินเลย
ตอนที่ 2 จากเกาะกง ผ่านกำปงสะปือ ค้างคืนพนมเปญ กัมพูชา ข้ามเรือเฟอรี่สวายเรียง มุ่งสู่โฮจิมินห์ เวียดนาม
การข้ามจากด่านชายแดน ไปอีกด้านหนึ่งชองเกาะกงมีค่าข้ามสะพาน 50 บาท (ค่ามอเตอร์ไซด์ และค่าแท็กซี่จำไม่ได้) ทำเลที่ติดทะเลอากาศดี แต่ค่อนข้างร้อนและมีกลิ่นเค็มๆ จึงทำให้การนั่งรอรถไม่ค่อยผ่อนคลาย ได้ยินเสียงพวกคนขายตั๋วนั่งเล่นไพ่กันเสียงดัง ที่นั่งรอรถเป็นม้าหินแค่ 4 ตัว บนพื้นดินปนทรายใต้หลังคาสังกะสี แต่ม้านั่ง 2 ตัวถูกจับจองโดยคนเฝ้าห้องน้ำที่กางเปลยวนเลี้ยงลูกอ่อนไปซะแล้ว ห้องน้ำมี 3 ห้องเปิดแค่ห้องเดียว มีแต่ผู้หญิงเข้า เพราะผู้ชายไปฉี่ข้างๆ ตอนหลังเด็กที่เฝ้าเปิดห้องด้านซ้ายเพื่อทำความสะอาด ปรากฏว่าเป็นห้องอาบน้ำ สภาพก็พอจะเข้าไปปลดทุกข์และบรรเทาความสกปรกได้ ถ้าไม่คิดมากจนเกินไป

รถบัสขายตั๋วบอกออก 10.00 น. แต่ขายตั๋วจนถึง 10.20 น. คนก็ยังไม่เยอะ เด็กรถจึงขึ้นไปสตาร์ทรถ ให้ผู้โดยสารขึ้นจนเวลา 10.45 น.ก็ยังไม่มีทีท่าว่าล้อจะหมุน แต่เราคิดว่าคิดถูกแล้วที่ตัดสินใจเลือกรถบัส แม้ไม่ติดแอร์ เพราะรถตู้ที่ออกไปแต่ละคัน นอกจากแน่นทั้งข้างในและเปิดท้ายแล้ว หลังคายังเต็มไปด้วยสัมภาระ การนั่งรถบัสท้องถิ่น จึงมีโอกาสศึกษาวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นจริงๆ
รถออกเวลา 11.15 น. 15 นาทีแรกวิ่งผ่านที่ราบใกล้เมือง มีบ้านจัดสรรและสำนักงานดูไม่ต่างจากตัวเมืองในต่างจังหวัดของไทย อีก 1 ชม.ต่อไปเป็นภูเขาหินคล้ายๆ กับเส้นทางทางจากพิษณุโลกไปเพชรบูรณ์ แต่ไม่มีเหวและลำธารเลาะริมเขา เราจึงสันนิษฐานว่าหินที่สร้างนครวัด คงจะไปจากที่นี่เป็นส่วนใหญ่ เพราะเส้นทางแถบนครวัดเป็นที่ราบ เป็นพื้นที่เพาะปลูก ไม่มีวี่แววของภูเขาหิน ชั่วโมงต่อจากนั้น รถแล่นลงเขาสู่ที่ราบไปเรื่อยๆ ผ่านทุ่งนาที่ว่างเปล่า เพราะเลยฤดูการเก็บเกี่ยวไปแล้ว มีหมู่บ้านสลับกับป่าละเมาะไปเรื่อยๆ ส่วนภูเขาที่อยู่ห่างออกไปไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย แต่ก็ไม่ได้ดูว่าเป็นเขาหัวโล้น แม้จะเห็นว่าผ่านการตัดป่าครั้งใหญ่มาแล้ว ในยุคที่ถูกฝรั่งเศสครอบครอง
บ้านเรือน 2 ข้างทาง ต่างจากทางสายวัฒนธรรม ตรงที่หลังคามุงด้วยสังกะสี แต่ไม่มีวี่แววการสร้างบันไดให้นาคไต่ขึ้นหลังคาเพื่อขึ้นสู่สวรรค์ และไม่มี่วี่แววว่าเคยถูกน้ำท่วมเหมือนทางสายปอยเปต-พนมเปญ รูปทรงหลังคาคล้ายๆ บ้านไทยตามชนบท เมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่หลังคาป้านกว่า
รถจอดให้พักรับประทานอาหารที่เมืองเหม็น (ถามชื่อเมือง จากสะใภ้คลองใหญ่ที่พูดภาษาไทยได้) มีห้องน้ำแยกชาย-หญิงสภาพพอใช้ได้ ร้านอาหารรับเงินไทย แต่น่าจะแพงกว่าเงินเขมร ข้าวจานเล็กๆ 10 บาท มะระยัดไส้ชิ้นเล็กๆ 50 บาท ผัดผักถ้วยเล็กๆก็ 50 บาท เรามีไก่ต้มน้ำปลาและข้าวเหนียวเหลือจากมื้อสาย จึงซื้อแค่นั้น

รถวิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนถึงกำปงสะปือ ก็มีบ้านเรือนที่มีลักษณะคล้ายๆถนนสายวัฒนธรรม หลังคาเริ่มมีกระเบื้อง มีจั่ว และมีงานศิลป์อยู่ที่สันของหลังคา ฝาบ้าน และหลังคาทาสีเหมือนกับออกมาจากการ์ตูนวอลส์ดิสนี่ย์ ยิ่งใกล้ถึงพนมเปญยิ่งปรากฏศาลพระภูมิหน้าบ้านและหน้าร้านค้าถี่ขึ้น มีวัดหลังคาทรงชฎาให้เห็นอยู่ประปราย แต่ซุ้มประตูเข้าวัดก็เป็นศิลปกรรมที่ดูคล้ายๆกับปราสาทหินพิมายหรือเขาพนมรุ้ง
ถนน 2 เลนที่วิ่งจากเกาะกง เมื่อใกล้จะถึงพนมเปญมีลักษณะคล้ายๆ กับถนนจากสิงห์บุรีเข้ากทม. ก่อนที่จะมีถนนสายเอเชียเพราะรถจะวิ่งเข้าไปกระจุกตัวกัน แล้วค่อยๆเคลื่อนอย่างช้าๆ แต่ก็ไม่มีการปาดไปมา มีอยู่ครั้งหนึ่งที่รถของเราต้องเบรคกระทันหันสะใภ้จากคลองใหญ่อุทานเสียงดังลั่นว่า....ถอก ทำให้คุณชายฮาแตก....นี่ขนาดเป็นสะใภ้ยังเอามาถอก ถ้าเป็นแม่บ้านจากคลองใหญ่ตัวจริง สงสัยว่า จะเอาอะไรออกมาน้อ....?
สะพานข้ามเกาะกงยาวมาก แต่หลังจากข้ามไปแล้วก็ไม่ได้ข้ามสะพานข้ามทะเลอีกเลย จนถึงพนมเปญไม่รู้ว่าทำไมจึงได้ชื่อว่าเกาะกง
กำปงสะปือเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยนิคมอุตสาหกรรม เราไปถึงที่นั่นในเวลาเลิกงานพอดี จึงได้เห็นว่ามีรถจอดรอรับคนงานทั้งรถบัส รถตู้ และรถกระบะ เต็มไปหมด รถกระบะ 1 คันรับคนงานหญิงที่ยืนเบียดกันได้ประมาณ 40-50 คน ไม่เห็นมีคนงานชายไม่รู้ว่าพวกเขาไปอยู่ที่ไหนกันหมด
เราถึงพนมเปญเวลา 17.30 น. มีหนุ่มพูดภาษาอังกฤษได้ รี่เข้าไปถาม เราบอกว่าเราจะต่อรถไปโฮจิมินห์ เขาจึงพาเราไปหาซื้อตั๋ว โดยซ้อนมอเตอร์ไซด์คันเดียว 3 คนโชคไม่ดี ไปหาซื้อ 3 แห่ง รอบพนมเปญ เต็มเหมือนกันหมด เราจึงต้องค้างคืนที่พนมเปญ หนุ่มมอ'ไซด์พาวนรอบเมืองไปหาที่พักชื่อ Modern Hotel ห้องนอนมีทุกอย่างราคาคืนละ $ 12 เสียดายเราไม่ได้ ซื้อซิมกัมพูชาจึงอดใช้ wifi ของโรงแรม
เราจ่ายค่ามอ'ไซด์ไปเท่ากับค่าโรงแรม เขาให้นามบัตรเราด้วย ปกติเขาทำงานบ.ที่ทำธุรกิจนำเข้าส่งออก แต่หลังเลิกงานก็ขี่มอ'ไซด์รับแขกต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษได้ เขาสามารถหาเงินได้มากกว่าคนอื่นๆในกรุงพนมเปญที่มีรายได้เฉลี่ยคนละ 11,000 บาทต่อปี ในขณะที่คนกทม.มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี 82,560 บาท เมื่อเทียบพื้นที่กทม.มีพื้นที่ 1,569 ตร.กม. ส่วนพนมเปญมีพื้นที่ 678 ตร.กม. น้อยกว่ากทม. 3 เท่า กทม.มีประชากรตามทะเบียนบ้าน 6 ล้านคน ในขณะที่พนมเปญมี 2 ล้านคน
พอเข้าที่พักแล้ว เราเดินออกไปสำรวจที่จะขึ้นรถและซื้อตั๋วสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้ ตอนขากลับแวะร้านก๋วยเตี๋ยวสั่งบะหมี่น้ำแต่ได้บะหมี่ราดหน้า จ่ายเงินดอลล่าร์แต่เงินทอนเป็นเงินเรียล เหมือนตอนจ่ายค่ารถที่เกาะกง ค่ารถ 500 บาท ทอนเงินเรียลให้เรา 700 ระยะทางจากเกาะกงถึงพนมเปญ 278 กม.ใช้เวลา 6 ชม.ครึ่ง.ไม่รู้ตอนไปโฮจิมินห์ 235 กม. จะใช้เวลานานแค่ไหน

คนไทยที่ข้ามไปเกาะกงส่วนใหญ่มีเป้าหมายเพื่อเล่นการพนัน บ้านเรือนที่เกาะกงหลังเล็กๆแต่บ่อนการพนันใหญ่โตโอ่อ่ามากๆ
ราวี มอเตอร์ไซด์รับจ้าง เล่าให้ฟังว่า วันที่ 14 เป็นต้นไปจะเป็นเทศกาลปีใหม่ คนกัมพูชาหยุดงานฉลองกว่า 10 วัน รถบัสหยุดวิ่ง 5 วัน เขาแนะนำสถานที่หลายแห่งและอาสาพาทัวร์กลางคืน แต่คุณชายไม่เอาอะไรสักอย่าง เพราะเคยเที่ยวพนมเปญมาแล้วเมื่อ 3 ปีก่อนนี้ ตั้งแต่ออกเดินทางเรายังไม่เคยมีอะไรที่เป็นไปตามแผนที่วางไว้เลย มีอะไรใหม่ๆ ให้เจออยู่ตลอดเวลา ก็ดีเหมือนกันมีสีสันต่างจากอยู่บ้านทีเดียว เมื่อถึงกัมพูชา บางเวลาเสียมก็งงอยู่เหมือนกัน แค่งงนะยังไม่เรียบ....ถ้าเสียมเรียบ นั่นมันตั้งแต่ก่อนเสียกรุงครั้งที่ 1....กัมพูชาบอกว่า...เสียมราฐ....ที่ไหนกัน....นั่นมันเสียมเรียบ เพราะกองทัพของเสียมไปแพ้อย่างราบคาบที่เมืองเสียมเรียบนั่นเอง.... เสียดายกว่าจะได้ส่งรายงานก็ผ่านตรงนี้ไปแล้ว
คนตจว.เมียนม่าร์รู้จักประเทศเสียมและคนโยเดีย เพราะเชลยที่ถูกกวาดต้อนไปหลังจากเสียกรุง พร้อมๆ กับพระเจ้าอุทุมพรคือพวกโยเดีย.... เมื่อก่อนนี้คนจีนเรียกไทยตอนที่ยังไม่ได้เป็นประเทศว่า"เสียมก๊ก" แต่ในประวัติศาสตร์ไทยเขียนว่า ประเทศไทย ตอนที่ยังไม่มีการเขียนเส้นกั้นเขตแดน คือประเทศสยาม เดาๆ เอาตามประสาคนรู้น้อยว่า จอมพลป.กับหลวงวิจิตรหรือปล่าวนะ ที่ให้ออกเสียงจากเสียมเป็นสยาม เพราะเป็นยุคที่รณรงค์ลัทธิชาตินิยมอย่างเข้มข้น จนมีอนุสาวรีย์วีรบุรุษ วีรสตรี ให้คนกราบไหว้อยู่หลายที่เช่น ที่บางระจัน โคราช และ เมืองถลาง
ที่กัมพูชานอกจากเสียม งงกับการทอนเงิน การไล่เก็บพาสปอร์ตไปกรอกใบผ่านแดนแล้ว ยังงงกับการเขียนเวลารถบัส 5 h-8h-11h-13h30-15h แทนที่จะเขียน 5 a.m./8 a.m./11 a.m./1.30 p.m./3 p.m. พอถามเด็กที่สำนักงาน เด็กก็สื่อสารไม่เป็นอีก ทำให้นึกถึงซอเมียวอู หนุ่มมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่มิจินา ที่พูดเวลา 15.00 น.ว่า 3 hour แทนคำว่า 3 o'clock
การรายงานแบบไม่มีเน็ตใช้ และพอมีเน็ทก็ไม่ใช่ Hi speed ไม่เรียลไทม์ ทำให้ขาดอรรถรสไปบ้าง เพราะมันกระโดดข้ามไปข้ามมา ต้องปะติดปะต่อกันเอาเอง 555555
รถออกจากบริษัท Phuong Trinh Cambodia ใกล้สนามกีฬาพนมเปญ เวลา 6.05 เด็กรถพอพูดภาษาไทยได้บ้าง พอคุยกันรู้เรื่อง ไปติดที่ท่าข้ามฟาก Neak Loeung Ferry ตั้งแต่เวลา 7.45-10.15 น. จึงได้ขึ้นโป๊ะข้ามฟาก รถต่อแถวยาวหลายกิโลเมตร ผู้โดยสารต้องหาซื้ออาหารข้างทางรองท้อง เราเกือบอดตายซะแล้ว เงินเรียลเราเหลือนิดเดียว คิดว่าไม่มีเรื่องใช้แล้ว พอซื้อขนมรวงผึ้งได้คนละชิ้นพอดี แค่พอประทังหิว ลุงไปหาที่ยิงกระต่ายตามซอกตามมุมริมทางสบายๆ แต่กว่าป้าจะหาที่ขอเข้าห้องน้ำจากร้านค้าแห่งหนึ่งริมทาง ก็ต้องนั่งบิดจนหน้าเหลือง

จากท่าข้ามแม่น้ำด้วยเรือเฟอรี่ที่สวายเรียง ระยะทาง 50 กม.ใช้เวลาเกือบ 2 ชม. เพราะถนนมีแค่ 2 เลน ก่อนถึงด่านชายแดนแวะพัก 20 นาที ที่นั่นมีร้านอาหาร ห้องน้ำและที่รับแลกเงิน เมื่อออกจากร้านอาหารจึงเห็นบ่อนคาสิโนโอ่อ่าอลังการ เมื่อถึงด่านบาวเวิ้ดของกัมพูชา ผู้โดยสารก็เดินลงรถข้ามด่าน ในขณะที่เด็กรถเอาพาสปอร์ตไปประทับตราพอรถผ่านด่านได้ก็ขึ้นรถอีกครั้ง เมื่อถึงด่านหม็อกบายของเวียตนาม ทุกคนต้องเอาสัมภาระติดตัวไปเข้าเครื่องสแกน จนท.เรียกชื่อตามพาสปอร์ตทีละคน ต้องเอียงคอ เงี่ยหูฟัง จนคอเคล็ด เพราะสำเนียงภาษาอังกฤษของเวียดนามฟังไม่เหมือนชื่อเราเลย

ตอนไปเขมร 3 ปีก่อน ทำให้ได้เกร็ดประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตชาวบ้านพอสมควร
ทำให้รู้ว่าทำไมการสร้างนครวัดจึงต้องมีน้ำล้อมรอบ และในน้ำก็เลี้ยงจระเข้ไว้ เพราะกันคนรุกล้ำนั่นเอง
และเขมรเจริญมานานกว่าเสียม แต่ที่พวกเขาเสื่อมไปก่อน น่าจะเป็นเพราะ ดำรงชีวิตและพัฒนาตาม วิถีชีวิต ตามความเชื่อ ค่านิยม และการเป็นประเทศภายใต้ระบอบจักรวรรดินิยมหลังสงครามโลก
เช่นเดียวกับเมียนม่าร์ การศึกษาหยุดชะงัก การปกครองที่ไม่สามารถบริหารด้วยคนในชาติที่มีสิทธิในการออกเสียงด้วยตนเอง ทำให้ยังไปไม่ถึงไหน
เมื่อเมียนม่าร์หลุดจากจักรวรรดินิยม ก็ยังอยู่ภายใต้รัฐบาลทหารอีก แต่กัมพูชาวันนี้ที่พวกเขามีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง 4 ปีที่แล้วกับวันนี้จึงดูต่างกันมาก ความเจริญเขาไปเร็วจริงๆ
นักเรียนที่เคยต้องสลับกันเรียนภาคเช้าและบ่าย ด้วยข้อจำกัดของอาคารสถานที่และบุคลากรทางการศึกษา วันนี้พวกเขาเริ่มมีเวลาเรียนเพิ่มขึ้นและไม่มีเครื่องแบบมาจำกัดกรอบให้คนไม่มีเครื่องแบบไปเรียนไม่ได้ เด็กๆจึงมีโอกาสได้เรียนเพิ่มขึ้น
[CR] ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตะลุยจีน21วัน ไปกัมพูชา เวียดนาม จีน(รถไฟ) ล่องเรือกลับทางลาว ตอน2 เกาะกง พนมเปญ โฮจิมินห์
ตอนที่ 2 จากเกาะกง ผ่านกำปงสะปือ ค้างคืนพนมเปญ กัมพูชา ข้ามเรือเฟอรี่สวายเรียง มุ่งสู่โฮจิมินห์ เวียดนาม
การข้ามจากด่านชายแดน ไปอีกด้านหนึ่งชองเกาะกงมีค่าข้ามสะพาน 50 บาท (ค่ามอเตอร์ไซด์ และค่าแท็กซี่จำไม่ได้) ทำเลที่ติดทะเลอากาศดี แต่ค่อนข้างร้อนและมีกลิ่นเค็มๆ จึงทำให้การนั่งรอรถไม่ค่อยผ่อนคลาย ได้ยินเสียงพวกคนขายตั๋วนั่งเล่นไพ่กันเสียงดัง ที่นั่งรอรถเป็นม้าหินแค่ 4 ตัว บนพื้นดินปนทรายใต้หลังคาสังกะสี แต่ม้านั่ง 2 ตัวถูกจับจองโดยคนเฝ้าห้องน้ำที่กางเปลยวนเลี้ยงลูกอ่อนไปซะแล้ว ห้องน้ำมี 3 ห้องเปิดแค่ห้องเดียว มีแต่ผู้หญิงเข้า เพราะผู้ชายไปฉี่ข้างๆ ตอนหลังเด็กที่เฝ้าเปิดห้องด้านซ้ายเพื่อทำความสะอาด ปรากฏว่าเป็นห้องอาบน้ำ สภาพก็พอจะเข้าไปปลดทุกข์และบรรเทาความสกปรกได้ ถ้าไม่คิดมากจนเกินไป
รถบัสขายตั๋วบอกออก 10.00 น. แต่ขายตั๋วจนถึง 10.20 น. คนก็ยังไม่เยอะ เด็กรถจึงขึ้นไปสตาร์ทรถ ให้ผู้โดยสารขึ้นจนเวลา 10.45 น.ก็ยังไม่มีทีท่าว่าล้อจะหมุน แต่เราคิดว่าคิดถูกแล้วที่ตัดสินใจเลือกรถบัส แม้ไม่ติดแอร์ เพราะรถตู้ที่ออกไปแต่ละคัน นอกจากแน่นทั้งข้างในและเปิดท้ายแล้ว หลังคายังเต็มไปด้วยสัมภาระ การนั่งรถบัสท้องถิ่น จึงมีโอกาสศึกษาวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นจริงๆ
รถออกเวลา 11.15 น. 15 นาทีแรกวิ่งผ่านที่ราบใกล้เมือง มีบ้านจัดสรรและสำนักงานดูไม่ต่างจากตัวเมืองในต่างจังหวัดของไทย อีก 1 ชม.ต่อไปเป็นภูเขาหินคล้ายๆ กับเส้นทางทางจากพิษณุโลกไปเพชรบูรณ์ แต่ไม่มีเหวและลำธารเลาะริมเขา เราจึงสันนิษฐานว่าหินที่สร้างนครวัด คงจะไปจากที่นี่เป็นส่วนใหญ่ เพราะเส้นทางแถบนครวัดเป็นที่ราบ เป็นพื้นที่เพาะปลูก ไม่มีวี่แววของภูเขาหิน ชั่วโมงต่อจากนั้น รถแล่นลงเขาสู่ที่ราบไปเรื่อยๆ ผ่านทุ่งนาที่ว่างเปล่า เพราะเลยฤดูการเก็บเกี่ยวไปแล้ว มีหมู่บ้านสลับกับป่าละเมาะไปเรื่อยๆ ส่วนภูเขาที่อยู่ห่างออกไปไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย แต่ก็ไม่ได้ดูว่าเป็นเขาหัวโล้น แม้จะเห็นว่าผ่านการตัดป่าครั้งใหญ่มาแล้ว ในยุคที่ถูกฝรั่งเศสครอบครอง
บ้านเรือน 2 ข้างทาง ต่างจากทางสายวัฒนธรรม ตรงที่หลังคามุงด้วยสังกะสี แต่ไม่มีวี่แววการสร้างบันไดให้นาคไต่ขึ้นหลังคาเพื่อขึ้นสู่สวรรค์ และไม่มี่วี่แววว่าเคยถูกน้ำท่วมเหมือนทางสายปอยเปต-พนมเปญ รูปทรงหลังคาคล้ายๆ บ้านไทยตามชนบท เมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่หลังคาป้านกว่า
รถจอดให้พักรับประทานอาหารที่เมืองเหม็น (ถามชื่อเมือง จากสะใภ้คลองใหญ่ที่พูดภาษาไทยได้) มีห้องน้ำแยกชาย-หญิงสภาพพอใช้ได้ ร้านอาหารรับเงินไทย แต่น่าจะแพงกว่าเงินเขมร ข้าวจานเล็กๆ 10 บาท มะระยัดไส้ชิ้นเล็กๆ 50 บาท ผัดผักถ้วยเล็กๆก็ 50 บาท เรามีไก่ต้มน้ำปลาและข้าวเหนียวเหลือจากมื้อสาย จึงซื้อแค่นั้น
รถวิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนถึงกำปงสะปือ ก็มีบ้านเรือนที่มีลักษณะคล้ายๆถนนสายวัฒนธรรม หลังคาเริ่มมีกระเบื้อง มีจั่ว และมีงานศิลป์อยู่ที่สันของหลังคา ฝาบ้าน และหลังคาทาสีเหมือนกับออกมาจากการ์ตูนวอลส์ดิสนี่ย์ ยิ่งใกล้ถึงพนมเปญยิ่งปรากฏศาลพระภูมิหน้าบ้านและหน้าร้านค้าถี่ขึ้น มีวัดหลังคาทรงชฎาให้เห็นอยู่ประปราย แต่ซุ้มประตูเข้าวัดก็เป็นศิลปกรรมที่ดูคล้ายๆกับปราสาทหินพิมายหรือเขาพนมรุ้ง
ถนน 2 เลนที่วิ่งจากเกาะกง เมื่อใกล้จะถึงพนมเปญมีลักษณะคล้ายๆ กับถนนจากสิงห์บุรีเข้ากทม. ก่อนที่จะมีถนนสายเอเชียเพราะรถจะวิ่งเข้าไปกระจุกตัวกัน แล้วค่อยๆเคลื่อนอย่างช้าๆ แต่ก็ไม่มีการปาดไปมา มีอยู่ครั้งหนึ่งที่รถของเราต้องเบรคกระทันหันสะใภ้จากคลองใหญ่อุทานเสียงดังลั่นว่า....ถอก ทำให้คุณชายฮาแตก....นี่ขนาดเป็นสะใภ้ยังเอามาถอก ถ้าเป็นแม่บ้านจากคลองใหญ่ตัวจริง สงสัยว่า จะเอาอะไรออกมาน้อ....?
สะพานข้ามเกาะกงยาวมาก แต่หลังจากข้ามไปแล้วก็ไม่ได้ข้ามสะพานข้ามทะเลอีกเลย จนถึงพนมเปญไม่รู้ว่าทำไมจึงได้ชื่อว่าเกาะกง
กำปงสะปือเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยนิคมอุตสาหกรรม เราไปถึงที่นั่นในเวลาเลิกงานพอดี จึงได้เห็นว่ามีรถจอดรอรับคนงานทั้งรถบัส รถตู้ และรถกระบะ เต็มไปหมด รถกระบะ 1 คันรับคนงานหญิงที่ยืนเบียดกันได้ประมาณ 40-50 คน ไม่เห็นมีคนงานชายไม่รู้ว่าพวกเขาไปอยู่ที่ไหนกันหมด
เราถึงพนมเปญเวลา 17.30 น. มีหนุ่มพูดภาษาอังกฤษได้ รี่เข้าไปถาม เราบอกว่าเราจะต่อรถไปโฮจิมินห์ เขาจึงพาเราไปหาซื้อตั๋ว โดยซ้อนมอเตอร์ไซด์คันเดียว 3 คนโชคไม่ดี ไปหาซื้อ 3 แห่ง รอบพนมเปญ เต็มเหมือนกันหมด เราจึงต้องค้างคืนที่พนมเปญ หนุ่มมอ'ไซด์พาวนรอบเมืองไปหาที่พักชื่อ Modern Hotel ห้องนอนมีทุกอย่างราคาคืนละ $ 12 เสียดายเราไม่ได้ ซื้อซิมกัมพูชาจึงอดใช้ wifi ของโรงแรม
เราจ่ายค่ามอ'ไซด์ไปเท่ากับค่าโรงแรม เขาให้นามบัตรเราด้วย ปกติเขาทำงานบ.ที่ทำธุรกิจนำเข้าส่งออก แต่หลังเลิกงานก็ขี่มอ'ไซด์รับแขกต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษได้ เขาสามารถหาเงินได้มากกว่าคนอื่นๆในกรุงพนมเปญที่มีรายได้เฉลี่ยคนละ 11,000 บาทต่อปี ในขณะที่คนกทม.มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี 82,560 บาท เมื่อเทียบพื้นที่กทม.มีพื้นที่ 1,569 ตร.กม. ส่วนพนมเปญมีพื้นที่ 678 ตร.กม. น้อยกว่ากทม. 3 เท่า กทม.มีประชากรตามทะเบียนบ้าน 6 ล้านคน ในขณะที่พนมเปญมี 2 ล้านคน
พอเข้าที่พักแล้ว เราเดินออกไปสำรวจที่จะขึ้นรถและซื้อตั๋วสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้ ตอนขากลับแวะร้านก๋วยเตี๋ยวสั่งบะหมี่น้ำแต่ได้บะหมี่ราดหน้า จ่ายเงินดอลล่าร์แต่เงินทอนเป็นเงินเรียล เหมือนตอนจ่ายค่ารถที่เกาะกง ค่ารถ 500 บาท ทอนเงินเรียลให้เรา 700 ระยะทางจากเกาะกงถึงพนมเปญ 278 กม.ใช้เวลา 6 ชม.ครึ่ง.ไม่รู้ตอนไปโฮจิมินห์ 235 กม. จะใช้เวลานานแค่ไหน
คนไทยที่ข้ามไปเกาะกงส่วนใหญ่มีเป้าหมายเพื่อเล่นการพนัน บ้านเรือนที่เกาะกงหลังเล็กๆแต่บ่อนการพนันใหญ่โตโอ่อ่ามากๆ
ราวี มอเตอร์ไซด์รับจ้าง เล่าให้ฟังว่า วันที่ 14 เป็นต้นไปจะเป็นเทศกาลปีใหม่ คนกัมพูชาหยุดงานฉลองกว่า 10 วัน รถบัสหยุดวิ่ง 5 วัน เขาแนะนำสถานที่หลายแห่งและอาสาพาทัวร์กลางคืน แต่คุณชายไม่เอาอะไรสักอย่าง เพราะเคยเที่ยวพนมเปญมาแล้วเมื่อ 3 ปีก่อนนี้ ตั้งแต่ออกเดินทางเรายังไม่เคยมีอะไรที่เป็นไปตามแผนที่วางไว้เลย มีอะไรใหม่ๆ ให้เจออยู่ตลอดเวลา ก็ดีเหมือนกันมีสีสันต่างจากอยู่บ้านทีเดียว เมื่อถึงกัมพูชา บางเวลาเสียมก็งงอยู่เหมือนกัน แค่งงนะยังไม่เรียบ....ถ้าเสียมเรียบ นั่นมันตั้งแต่ก่อนเสียกรุงครั้งที่ 1....กัมพูชาบอกว่า...เสียมราฐ....ที่ไหนกัน....นั่นมันเสียมเรียบ เพราะกองทัพของเสียมไปแพ้อย่างราบคาบที่เมืองเสียมเรียบนั่นเอง.... เสียดายกว่าจะได้ส่งรายงานก็ผ่านตรงนี้ไปแล้ว
คนตจว.เมียนม่าร์รู้จักประเทศเสียมและคนโยเดีย เพราะเชลยที่ถูกกวาดต้อนไปหลังจากเสียกรุง พร้อมๆ กับพระเจ้าอุทุมพรคือพวกโยเดีย.... เมื่อก่อนนี้คนจีนเรียกไทยตอนที่ยังไม่ได้เป็นประเทศว่า"เสียมก๊ก" แต่ในประวัติศาสตร์ไทยเขียนว่า ประเทศไทย ตอนที่ยังไม่มีการเขียนเส้นกั้นเขตแดน คือประเทศสยาม เดาๆ เอาตามประสาคนรู้น้อยว่า จอมพลป.กับหลวงวิจิตรหรือปล่าวนะ ที่ให้ออกเสียงจากเสียมเป็นสยาม เพราะเป็นยุคที่รณรงค์ลัทธิชาตินิยมอย่างเข้มข้น จนมีอนุสาวรีย์วีรบุรุษ วีรสตรี ให้คนกราบไหว้อยู่หลายที่เช่น ที่บางระจัน โคราช และ เมืองถลาง
ที่กัมพูชานอกจากเสียม งงกับการทอนเงิน การไล่เก็บพาสปอร์ตไปกรอกใบผ่านแดนแล้ว ยังงงกับการเขียนเวลารถบัส 5 h-8h-11h-13h30-15h แทนที่จะเขียน 5 a.m./8 a.m./11 a.m./1.30 p.m./3 p.m. พอถามเด็กที่สำนักงาน เด็กก็สื่อสารไม่เป็นอีก ทำให้นึกถึงซอเมียวอู หนุ่มมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่มิจินา ที่พูดเวลา 15.00 น.ว่า 3 hour แทนคำว่า 3 o'clock
การรายงานแบบไม่มีเน็ตใช้ และพอมีเน็ทก็ไม่ใช่ Hi speed ไม่เรียลไทม์ ทำให้ขาดอรรถรสไปบ้าง เพราะมันกระโดดข้ามไปข้ามมา ต้องปะติดปะต่อกันเอาเอง 555555
รถออกจากบริษัท Phuong Trinh Cambodia ใกล้สนามกีฬาพนมเปญ เวลา 6.05 เด็กรถพอพูดภาษาไทยได้บ้าง พอคุยกันรู้เรื่อง ไปติดที่ท่าข้ามฟาก Neak Loeung Ferry ตั้งแต่เวลา 7.45-10.15 น. จึงได้ขึ้นโป๊ะข้ามฟาก รถต่อแถวยาวหลายกิโลเมตร ผู้โดยสารต้องหาซื้ออาหารข้างทางรองท้อง เราเกือบอดตายซะแล้ว เงินเรียลเราเหลือนิดเดียว คิดว่าไม่มีเรื่องใช้แล้ว พอซื้อขนมรวงผึ้งได้คนละชิ้นพอดี แค่พอประทังหิว ลุงไปหาที่ยิงกระต่ายตามซอกตามมุมริมทางสบายๆ แต่กว่าป้าจะหาที่ขอเข้าห้องน้ำจากร้านค้าแห่งหนึ่งริมทาง ก็ต้องนั่งบิดจนหน้าเหลือง
จากท่าข้ามแม่น้ำด้วยเรือเฟอรี่ที่สวายเรียง ระยะทาง 50 กม.ใช้เวลาเกือบ 2 ชม. เพราะถนนมีแค่ 2 เลน ก่อนถึงด่านชายแดนแวะพัก 20 นาที ที่นั่นมีร้านอาหาร ห้องน้ำและที่รับแลกเงิน เมื่อออกจากร้านอาหารจึงเห็นบ่อนคาสิโนโอ่อ่าอลังการ เมื่อถึงด่านบาวเวิ้ดของกัมพูชา ผู้โดยสารก็เดินลงรถข้ามด่าน ในขณะที่เด็กรถเอาพาสปอร์ตไปประทับตราพอรถผ่านด่านได้ก็ขึ้นรถอีกครั้ง เมื่อถึงด่านหม็อกบายของเวียตนาม ทุกคนต้องเอาสัมภาระติดตัวไปเข้าเครื่องสแกน จนท.เรียกชื่อตามพาสปอร์ตทีละคน ต้องเอียงคอ เงี่ยหูฟัง จนคอเคล็ด เพราะสำเนียงภาษาอังกฤษของเวียดนามฟังไม่เหมือนชื่อเราเลย
ตอนไปเขมร 3 ปีก่อน ทำให้ได้เกร็ดประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตชาวบ้านพอสมควร
ทำให้รู้ว่าทำไมการสร้างนครวัดจึงต้องมีน้ำล้อมรอบ และในน้ำก็เลี้ยงจระเข้ไว้ เพราะกันคนรุกล้ำนั่นเอง
และเขมรเจริญมานานกว่าเสียม แต่ที่พวกเขาเสื่อมไปก่อน น่าจะเป็นเพราะ ดำรงชีวิตและพัฒนาตาม วิถีชีวิต ตามความเชื่อ ค่านิยม และการเป็นประเทศภายใต้ระบอบจักรวรรดินิยมหลังสงครามโลก
เช่นเดียวกับเมียนม่าร์ การศึกษาหยุดชะงัก การปกครองที่ไม่สามารถบริหารด้วยคนในชาติที่มีสิทธิในการออกเสียงด้วยตนเอง ทำให้ยังไปไม่ถึงไหน
เมื่อเมียนม่าร์หลุดจากจักรวรรดินิยม ก็ยังอยู่ภายใต้รัฐบาลทหารอีก แต่กัมพูชาวันนี้ที่พวกเขามีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง 4 ปีที่แล้วกับวันนี้จึงดูต่างกันมาก ความเจริญเขาไปเร็วจริงๆ
นักเรียนที่เคยต้องสลับกันเรียนภาคเช้าและบ่าย ด้วยข้อจำกัดของอาคารสถานที่และบุคลากรทางการศึกษา วันนี้พวกเขาเริ่มมีเวลาเรียนเพิ่มขึ้นและไม่มีเครื่องแบบมาจำกัดกรอบให้คนไม่มีเครื่องแบบไปเรียนไม่ได้ เด็กๆจึงมีโอกาสได้เรียนเพิ่มขึ้น
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น