สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
นี้คือปัญหาของคนไทยที่บางครั้งแยกไม่ออกระหว่างโรคฉุกเฉิน
กึ่งฉุกเฉินหรือรีบด่วน รอได้ และไม่จำเป็นต้องพบแพทย์
ถ้าในเวลาหยุดราชการ โรงพยาบาลของรัฐจะเปิดบริการที่แผนกฉุกเฉินเท่านั้น
เพื่อรองรับผู้ป่วยผู้ป่วยฉุกเฉินและกึ่งฉุกเฉินหรือรีบด่วน โดยเน้นที่ฉุกเฉินก่อน
ถ้าไม่ฉุกเฉินก็ต้องรอจนกว่าจะเคลียร์ผู้ป่วยฉุกเฉินให้เรียบร้อยก่อน
ที่นี้ในบางสถานพยาบาลของรัฐอาจจัดให้มีบริการสำหรับผู้ป่วยที่รอได้(แต่ไม่รู้ว่ารอได้ หรือไม่หนัก)
โดยอาจเปิดห้องตรวจที่แยกจากห้องฉุกเฉิน(ขอเน้นว่าบางสถานพยาบาลเท่านั้น)
โดยมีแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปที่ไม่เฉพาะทางหรือพยาบาลเวชปฏิบัติมาดูแลแทนเพื่อสั่งการรักษาเบื้องต้น
และนัดให้มาตรวจซ้ำเพื่อพบแพทย์หรือแพทย์เฉพาะทางในเวลาราชการ
ที่นี้กรณีของ จยกท อยู่ในกลุ่มที่รอได้(ตามที่มีคนอธิบายแล้ว) นั่นคือระบบโดยปกติของสถานพยาบาล
ซึ่งถ้า จขกทกังวลก็ไปเอกชนได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
อยากบอกเพิ่มเติมน่ะ กรณีแบบ จขกท บางประเทศเขาบอกว่าไม่ต้องพบแพทย์น่ะ
ประเทศเหล่านี้ สถานพยาบาลไม่รับตรวจเลยน่ะ ไม่ทำบัตรเพื่อเข้ารับการตรวจ บอกให้ไปรักษาตามขั้นตอน
หรือบางประเทศให้ผ่านแพทย์คลินิคหรือแพทย์ครอบครัวก่อนด้วยซ้ำ
บางที่อีกสามวันค่อยได้สิทธิมาตรวจที่โรงพยาบาล หรือไม่ให้มาด้วยซ้ำ
เรื่องแบบนี้ประชาชนต้องเริ่มที่จะเรียนรู้แล้วน่ะครับ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องเกิดแน่ในอนาคต
เหมือนหลายประเทศในปัจจุบันนี้ เช่นใกล้ๆก็มาเลเซีย สิงคโปร์
เกาหลี ญี่ปุ่นทำมานานแล้ว ในยุโรปเกือบทุกประเทศ อเมริกาก็ใช่
เหตุผลที่ต้องเกิดคือ มีการมาใช้บริการห้องตรวจฉุกเฉินของคนไทยมากว่าที่ควรจะเป็น
สิ่งซึ่งตามมาคือ ผู้ป่วยที่ฉุกเฉินจริง สมควรได้รับการรักษารีบด่วนเพื่อให้ชีวิตปลอดภัย
ส่วนหนึ่งก็เพราะบุคลากรเกิดการล้า ขาดสมาธิจากภาระงานที่ไม่จำเป็นมากเกินไป
ไม่ได้รับการรักษาแบบรีบด่วนอย่างแท้จริง ทำให้เกิดความเจ็บป่วยที่มากขึ้น
หรือการเสียชีวิตอย่างไม่สมควรมากขึ้นเรื่อยๆ
และการรองเรียนแบบ จขกท นี่แหละ ทำให้สถานพยาบาลต้องหาวิธี
ที่จะป้องกันความเสี่ยงเหล่านี้ ไม่ให้มีภาระงานที่มากเกินความจำเป็น
เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยได้ดีขึ้น
ผมยกตัวอย่างที่มีเรื่องเกิดไม่นาน มีแม่ผู้ป่วยเด็กเป็นไข้มาตอนดึก
มาถึงก็ร้องโวยวายให้แพทย์และพยาบาลรีบมาดูแลหลังจากรอนานครึ่งชั่วโมง
บอกว่าจะร้องเรียนถ้าไม่มารีบดูเด็กให้เขา
แต่หารู้ใม่ว่าแพทย์ พยาบาลที่อยู่ด้านในห้องฉุกเฉินที่กั้นม่านไว้
กำลังช่วยปั๊มหัวใจพ่อของคนโวยวายอยู่ด้วยหัวใจขาดเลือด
โดยที่อยู่บ้านคนละที่กัน ไม่ทราบว่าที่โดนปั๊มหัวใจคือพ่อของตัวเองอยู่
กึ่งฉุกเฉินหรือรีบด่วน รอได้ และไม่จำเป็นต้องพบแพทย์
ถ้าในเวลาหยุดราชการ โรงพยาบาลของรัฐจะเปิดบริการที่แผนกฉุกเฉินเท่านั้น
เพื่อรองรับผู้ป่วยผู้ป่วยฉุกเฉินและกึ่งฉุกเฉินหรือรีบด่วน โดยเน้นที่ฉุกเฉินก่อน
ถ้าไม่ฉุกเฉินก็ต้องรอจนกว่าจะเคลียร์ผู้ป่วยฉุกเฉินให้เรียบร้อยก่อน
ที่นี้ในบางสถานพยาบาลของรัฐอาจจัดให้มีบริการสำหรับผู้ป่วยที่รอได้(แต่ไม่รู้ว่ารอได้ หรือไม่หนัก)
โดยอาจเปิดห้องตรวจที่แยกจากห้องฉุกเฉิน(ขอเน้นว่าบางสถานพยาบาลเท่านั้น)
โดยมีแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปที่ไม่เฉพาะทางหรือพยาบาลเวชปฏิบัติมาดูแลแทนเพื่อสั่งการรักษาเบื้องต้น
และนัดให้มาตรวจซ้ำเพื่อพบแพทย์หรือแพทย์เฉพาะทางในเวลาราชการ
ที่นี้กรณีของ จยกท อยู่ในกลุ่มที่รอได้(ตามที่มีคนอธิบายแล้ว) นั่นคือระบบโดยปกติของสถานพยาบาล
ซึ่งถ้า จขกทกังวลก็ไปเอกชนได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
อยากบอกเพิ่มเติมน่ะ กรณีแบบ จขกท บางประเทศเขาบอกว่าไม่ต้องพบแพทย์น่ะ
ประเทศเหล่านี้ สถานพยาบาลไม่รับตรวจเลยน่ะ ไม่ทำบัตรเพื่อเข้ารับการตรวจ บอกให้ไปรักษาตามขั้นตอน
หรือบางประเทศให้ผ่านแพทย์คลินิคหรือแพทย์ครอบครัวก่อนด้วยซ้ำ
บางที่อีกสามวันค่อยได้สิทธิมาตรวจที่โรงพยาบาล หรือไม่ให้มาด้วยซ้ำ
เรื่องแบบนี้ประชาชนต้องเริ่มที่จะเรียนรู้แล้วน่ะครับ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องเกิดแน่ในอนาคต
เหมือนหลายประเทศในปัจจุบันนี้ เช่นใกล้ๆก็มาเลเซีย สิงคโปร์
เกาหลี ญี่ปุ่นทำมานานแล้ว ในยุโรปเกือบทุกประเทศ อเมริกาก็ใช่
เหตุผลที่ต้องเกิดคือ มีการมาใช้บริการห้องตรวจฉุกเฉินของคนไทยมากว่าที่ควรจะเป็น
สิ่งซึ่งตามมาคือ ผู้ป่วยที่ฉุกเฉินจริง สมควรได้รับการรักษารีบด่วนเพื่อให้ชีวิตปลอดภัย
ส่วนหนึ่งก็เพราะบุคลากรเกิดการล้า ขาดสมาธิจากภาระงานที่ไม่จำเป็นมากเกินไป
ไม่ได้รับการรักษาแบบรีบด่วนอย่างแท้จริง ทำให้เกิดความเจ็บป่วยที่มากขึ้น
หรือการเสียชีวิตอย่างไม่สมควรมากขึ้นเรื่อยๆ
และการรองเรียนแบบ จขกท นี่แหละ ทำให้สถานพยาบาลต้องหาวิธี
ที่จะป้องกันความเสี่ยงเหล่านี้ ไม่ให้มีภาระงานที่มากเกินความจำเป็น
เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยได้ดีขึ้น
ผมยกตัวอย่างที่มีเรื่องเกิดไม่นาน มีแม่ผู้ป่วยเด็กเป็นไข้มาตอนดึก
มาถึงก็ร้องโวยวายให้แพทย์และพยาบาลรีบมาดูแลหลังจากรอนานครึ่งชั่วโมง
บอกว่าจะร้องเรียนถ้าไม่มารีบดูเด็กให้เขา
แต่หารู้ใม่ว่าแพทย์ พยาบาลที่อยู่ด้านในห้องฉุกเฉินที่กั้นม่านไว้
กำลังช่วยปั๊มหัวใจพ่อของคนโวยวายอยู่ด้วยหัวใจขาดเลือด
โดยที่อยู่บ้านคนละที่กัน ไม่ทราบว่าที่โดนปั๊มหัวใจคือพ่อของตัวเองอยู่
ความคิดเห็นที่ 3
ไข้วันเดียวตรวจไงก็ไม่เจอ
ไปคลีนิค เจออัดยาหนัก ๆมา ถ้าเป็นไข้เลือดออกจะซวยเอาเม็ดเลือดแตก
ปัญหาที่เจอไม่ใช่ปฎิเสธ
แต่เป็นการสื่อสารกัน
คนไปโรงบาลทุกคนจะเป็นจะตายหมด
ไอ้คนเรียนมามันรู้อันไหนใกล้ตาย อันไหนรอได้
แต่สื่อสารทั้งสองฝั่งไม่ค่อยเข้าใจตรงกัน
โดยเฉพาะญาติ ๆ ที่ไม่ไปฟัง กับพยาบาลขี้วีน
เลยไฟว้กันประจำ
ไปคลีนิค เจออัดยาหนัก ๆมา ถ้าเป็นไข้เลือดออกจะซวยเอาเม็ดเลือดแตก
ปัญหาที่เจอไม่ใช่ปฎิเสธ
แต่เป็นการสื่อสารกัน
คนไปโรงบาลทุกคนจะเป็นจะตายหมด
ไอ้คนเรียนมามันรู้อันไหนใกล้ตาย อันไหนรอได้
แต่สื่อสารทั้งสองฝั่งไม่ค่อยเข้าใจตรงกัน
โดยเฉพาะญาติ ๆ ที่ไม่ไปฟัง กับพยาบาลขี้วีน
เลยไฟว้กันประจำ
แสดงความคิดเห็น
โรงพยาบาลปฎิเสธคนไข้ได้?
ฉันเคยดูแฉแต่เช้าอยู่เทปหนึ่งที่เขาเชิญ คุณตุ่ม นักชกมวยที่เป็นสาวประเภทสองมาออก แล้วเขาเล่าเรื่องคุณพ่อที่เสียไป.....แต่ฉันข้องใจอยู่หนึ่งอย่างคือ เขาพาพ่อมา รพ. แล้วรอหมอนานมาก เกือบทั้งวันแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตรวจ พยาบาลบอกให้มาวันอื่น ทั้งๆที่บอกให้รอมาทั้งวันแล้วพ่อเขาก็ป่วยหนัก จึงตัดสินใจไป รพ. อื่น ด้วยความที่ฉันเป็นเพียงคนดูทำได้แค่เห็นใจและสงสัยบ้างก็เท่านั้น.
แต่วันนี้ 2-01-2559 น้องฉันไม่สบาย น้องฉันอายุเเค่ 17 ปี แม่ฉันก็ให้กินยาลดไข้ปกติตามประสาคนบ้านๆเขาทำกันแล้วก็คอยเช็ดตัวดูแลตลอด จน 3 ทุ่ม ไข้ก็ไม่ลด แม่ก็กลัวว่าน้องจะเป็นไข้เลือดออก จะไปคลินิคก็คงจะปิดหมดแล้ว เลยตัดสินใจไป รพ.รัฐฯ แห่งหนึ่งที่น้องมีบัตรทองอยู่ พ่อแม่พาน้องไปเเต่ฉันไม่ได้ไปด้วย พอพวกเขากลับมา ฉันก็ถามแม่ปกติ "แม่หมอบอกน้องเป็นไร?" แม่ก็บอกฉันว่า "ไม่รู้....ไม่ได้ตรวจ เขาบอกให้ไปตรวจวันจันทร์(วันนี้วันเสาร์) เเต่เขาบอกอาจจะเป็นไข้เลือดออกหรือไม่ก็ไข้หวัดใหญ่." ฉันฟังแล้วตกใจมาก คือไม่พอใจอ่ะ โมโหมากด้วย....มีการคาดเดาอาการคนไข้ขนาดนี้แต่ไม่มีการได้พบเจอหมอเลย แล้วยาที่ได้มามีเเค่3-4แผง และผงเกลือแร่ แล้วเวลานี้ก็ตี 5 ครึ่ง ของอีกวัน ไข้น้องฉันก็ไม่ลดอาการก็ไม่ดีขึ้น
มันเป็นข้อสงสัยที่เคืองใจฉันมากว่า การที่ รพ. ปฎิเสธคนไข้แบบนี้ หรือ บอกว่าค่อยมาตรวจวันหลัง ทั้งที่อาการเขาก็ไม่ดีแบบนี้ได้ด้วยหรอ? เพราะฉันไม่รู้การทำงานของ รพ.