ผมใฝ่ฝันอยากให้ผู้คนในประเทศเราพัฒนาความคิดที่ยึดมั่นในเหตุผลมากกว่าปัจจุบัน
อยาให้มีสิ่งที่เรียกว่า scientific mind ซึ่งผมเชื่อโดยส่วนตัวว่า สังคมไทยยังขาดscientific mind(อย่างรุนแรง)
เราจะโทษอะไร โทษการศึกษาใช่มั้ย???
เท่าที่เราทราบก็คือ การศึกษาของไทยอยู่อันดับที่แย่ๆมาตลอดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค
ทั้งที่บางประเทศก็พัฒนาในระดับเดียวกับเรา หรือบางทีก็ด้อยกว่าเราด้วยซ้ำ แต่การศึกษาเรายังรั้งท้ายมาตลอด
ผมเห็นเราเปลี่ยนแปลงลองผิดลองถูกกับการศึกษามาตั้งหลายอย่าง
บางทีเราก็เฉไปโทษการเมืองบ้าง ข้าราชการครูบ้าง หลักสูตรบ้าง ไปจนถึงโทษสถานบันเทิงบ้าง
สิ่งเหล่านี้ก็คงจะเป็นสาเหตุปัญหาในระดับนึง แต่เราก็แก้แล้วแก้อีกไม่รู้กี่ครั้ง
ทำไมเราไม่ลองมองไปแก้ไขเหตุอื่นๆที่ไม่เคยถูกแตะต้องเลยบ้าง อย่ามัวหลงไปโทษแต่เรื่องเดิมๆ(โทษมาตั้งแต่ผมยังจำความได้)
ผมเชื่อว่าสภาพสังคมอันงมงายที่เราเป็นอยู่นี่แหละ เป็นต้นเหตุ
อาจจะไม่ใช่ตัวการใหญ่เพียงอันเดียว แต่เป็นสิ่งที่ไม่เคยถูกแก้ไขเลย ไม่เคยแม้แต่จะถูกท้าทาย(อาจมีการท้าทายบ้างในระดับที่เบาบางมาก)
ถ้าเราทุกคนมั่นใจ(เหมือนประเทศอื่นๆร่วมโลกในปัจจุบัน) ว่า...
หลักคิดแบบวิทยาศาสตร์คือสิ่งที่มนุษยชาติให้คุณค่าอย่างแท้จริง และพัฒนาสังคมมนุษย์ได้จริง
ถ้าเราเชื่อมั่นเช่นนั้น เราต้องกำจัดตัวถ่วงรั้งการพัฒนาscientific mind ออกไปจากสังคมไทย
ผมอยากให้รัฐกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปจากสังคมไทย โดยจะรัฐจะต้องมั่นใจว่า...
ถึงจะยอมรับว่าความเชื่อ(แม้จะงมงาย)นี้เป็นเสรีภาพส่วนบุคคล แต่จะเที่ยวไปเผยแพร่ความงมงายไปสู่สาธารณะ ไม่ได้เด็ดขาด
คือไม่ใช่จะกำจัดเสรีภาพ แต่ไม่ให้เผยแพร่ในที่สาธารณะ ให้เก็บไปเชื่อที่บ้าน ถ้าเผยแพร่จะต้องถูกปราบปรามทันที
พวกหมอดูทางสื่อสารมวลชน ม้าทรง พวกจิตสัมผัส แก้กรรม ฟันธงสแกนกรรม บ้าบอคอแตก กำจัดไปจากที่ทางสาธารณะให้หมด
รวมไปถึงคนท้องถิ่นบางกลุ่มที่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา แล้วมาขัดขวางความคิดทางวิทยาศาสตร์ ก็ต้องปราบปรามด้วย
เช่น ถ้าเกิดมีใครตั้งข้อสงสัยทางประวัติศาสตร์ ชี้ชวนให้โต้เถียงด้วยเหตุผล เอาหลักฐานมาสู้กัน แบบนี้รัฐต้องคุ้มครองเต็มที่
ถ้ามีชาวท้องถิ่นผู้รักใคร่ในย่ายายคุณพ่อคุณแม่ประจำเมืองออกมาข่มขู่คุกคาม รัฐจะต้องเข้าควบคุมคนพวกนี้ (เว้นแต่ออกมาฟาดฟันด้วยหลักฐานและเหตุผลอันนี้ต้องสนับสนุน)
ไม่ใช่กลับไปควบคุมฝ่ายวิทยาศาสตร์แทน(โดยอ้างว่าเพื่อให้สังคมสงบสุข!!!)
บรรดารายการขายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เสริมดวง ดูดวง ล่าท้าผี ชวนทำบุญ รัฐควรกำจัดไปจากสื่อสาธารณะให้หมด
ไม่ใช่แค่ขึ้นตัววิ่งว่า”เป็นความเชื่อส่วนบุคคล” แค่นั้นไม่พอ ต้องกำจัดรายการพวกนี้ออกไปเลย
เพราะความงมงายพวกนี้ มันสะสมอยู่ในสังคมมาตลอดเวลา
และผู้คนที่ถูกสิ่งเหล่านี้หล่อหลอมก็มักจะขาดขันติธรรม อดรนทนไม่ได้กับการถูกท้าทายด้วยเหตุผล(ที่เรียกว่าลบหลู่) จนนำไปสู่ความรุนแรง(เพราะไม่สามารถต่อสู้ได้ด้วยหลักการหรือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์)
ตั้งแต่ระดับคำพูดข่มขู่ การใช้hate speechให้เกิดความเกลียดชัง ไปจนถึงการใช้กำลังคุกคามจริงๆ
สิ่งเหล่านี้ถ้ามันครอบงำอยู่ในสังคมไทย เมื่อไหร่การศึกษาบ้านเราจะพัฒนาคนได้จริงๆซักที
จะปลูกฝังเท่าไหร่ เด็กก็ยากจะพัฒนาความคิดตรรกะเหตุผลได้อย่างที่ควรจะเป็น เพราะบรรดาสิ่งงมงายเหล่านี้มันอบอวนถ่วงรั้งอยู่ตลอดเวลาและไม่มีใครขัดขวางห้ามปรามได้เลย
***ผมอยากเห็นอนาคตของชาติดีกว่านี้ อยากผู้คนในสังคมมีคุณภาพทางความคิดมากขึ้นกว่านี้***
อยากให้รัฐปราบปราม”ความงมงาย”อย่างจริงจัง
อยาให้มีสิ่งที่เรียกว่า scientific mind ซึ่งผมเชื่อโดยส่วนตัวว่า สังคมไทยยังขาดscientific mind(อย่างรุนแรง)
เราจะโทษอะไร โทษการศึกษาใช่มั้ย???
เท่าที่เราทราบก็คือ การศึกษาของไทยอยู่อันดับที่แย่ๆมาตลอดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค
ทั้งที่บางประเทศก็พัฒนาในระดับเดียวกับเรา หรือบางทีก็ด้อยกว่าเราด้วยซ้ำ แต่การศึกษาเรายังรั้งท้ายมาตลอด
ผมเห็นเราเปลี่ยนแปลงลองผิดลองถูกกับการศึกษามาตั้งหลายอย่าง
บางทีเราก็เฉไปโทษการเมืองบ้าง ข้าราชการครูบ้าง หลักสูตรบ้าง ไปจนถึงโทษสถานบันเทิงบ้าง
สิ่งเหล่านี้ก็คงจะเป็นสาเหตุปัญหาในระดับนึง แต่เราก็แก้แล้วแก้อีกไม่รู้กี่ครั้ง
ทำไมเราไม่ลองมองไปแก้ไขเหตุอื่นๆที่ไม่เคยถูกแตะต้องเลยบ้าง อย่ามัวหลงไปโทษแต่เรื่องเดิมๆ(โทษมาตั้งแต่ผมยังจำความได้)
ผมเชื่อว่าสภาพสังคมอันงมงายที่เราเป็นอยู่นี่แหละ เป็นต้นเหตุ
อาจจะไม่ใช่ตัวการใหญ่เพียงอันเดียว แต่เป็นสิ่งที่ไม่เคยถูกแก้ไขเลย ไม่เคยแม้แต่จะถูกท้าทาย(อาจมีการท้าทายบ้างในระดับที่เบาบางมาก)
ถ้าเราทุกคนมั่นใจ(เหมือนประเทศอื่นๆร่วมโลกในปัจจุบัน) ว่า...
หลักคิดแบบวิทยาศาสตร์คือสิ่งที่มนุษยชาติให้คุณค่าอย่างแท้จริง และพัฒนาสังคมมนุษย์ได้จริง
ถ้าเราเชื่อมั่นเช่นนั้น เราต้องกำจัดตัวถ่วงรั้งการพัฒนาscientific mind ออกไปจากสังคมไทย
ผมอยากให้รัฐกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปจากสังคมไทย โดยจะรัฐจะต้องมั่นใจว่า...
ถึงจะยอมรับว่าความเชื่อ(แม้จะงมงาย)นี้เป็นเสรีภาพส่วนบุคคล แต่จะเที่ยวไปเผยแพร่ความงมงายไปสู่สาธารณะ ไม่ได้เด็ดขาด
คือไม่ใช่จะกำจัดเสรีภาพ แต่ไม่ให้เผยแพร่ในที่สาธารณะ ให้เก็บไปเชื่อที่บ้าน ถ้าเผยแพร่จะต้องถูกปราบปรามทันที
พวกหมอดูทางสื่อสารมวลชน ม้าทรง พวกจิตสัมผัส แก้กรรม ฟันธงสแกนกรรม บ้าบอคอแตก กำจัดไปจากที่ทางสาธารณะให้หมด
รวมไปถึงคนท้องถิ่นบางกลุ่มที่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา แล้วมาขัดขวางความคิดทางวิทยาศาสตร์ ก็ต้องปราบปรามด้วย
เช่น ถ้าเกิดมีใครตั้งข้อสงสัยทางประวัติศาสตร์ ชี้ชวนให้โต้เถียงด้วยเหตุผล เอาหลักฐานมาสู้กัน แบบนี้รัฐต้องคุ้มครองเต็มที่
ถ้ามีชาวท้องถิ่นผู้รักใคร่ในย่ายายคุณพ่อคุณแม่ประจำเมืองออกมาข่มขู่คุกคาม รัฐจะต้องเข้าควบคุมคนพวกนี้ (เว้นแต่ออกมาฟาดฟันด้วยหลักฐานและเหตุผลอันนี้ต้องสนับสนุน)
ไม่ใช่กลับไปควบคุมฝ่ายวิทยาศาสตร์แทน(โดยอ้างว่าเพื่อให้สังคมสงบสุข!!!)
บรรดารายการขายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เสริมดวง ดูดวง ล่าท้าผี ชวนทำบุญ รัฐควรกำจัดไปจากสื่อสาธารณะให้หมด
ไม่ใช่แค่ขึ้นตัววิ่งว่า”เป็นความเชื่อส่วนบุคคล” แค่นั้นไม่พอ ต้องกำจัดรายการพวกนี้ออกไปเลย
เพราะความงมงายพวกนี้ มันสะสมอยู่ในสังคมมาตลอดเวลา
และผู้คนที่ถูกสิ่งเหล่านี้หล่อหลอมก็มักจะขาดขันติธรรม อดรนทนไม่ได้กับการถูกท้าทายด้วยเหตุผล(ที่เรียกว่าลบหลู่) จนนำไปสู่ความรุนแรง(เพราะไม่สามารถต่อสู้ได้ด้วยหลักการหรือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์)
ตั้งแต่ระดับคำพูดข่มขู่ การใช้hate speechให้เกิดความเกลียดชัง ไปจนถึงการใช้กำลังคุกคามจริงๆ
สิ่งเหล่านี้ถ้ามันครอบงำอยู่ในสังคมไทย เมื่อไหร่การศึกษาบ้านเราจะพัฒนาคนได้จริงๆซักที
จะปลูกฝังเท่าไหร่ เด็กก็ยากจะพัฒนาความคิดตรรกะเหตุผลได้อย่างที่ควรจะเป็น เพราะบรรดาสิ่งงมงายเหล่านี้มันอบอวนถ่วงรั้งอยู่ตลอดเวลาและไม่มีใครขัดขวางห้ามปรามได้เลย
***ผมอยากเห็นอนาคตของชาติดีกว่านี้ อยากผู้คนในสังคมมีคุณภาพทางความคิดมากขึ้นกว่านี้***