ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตะลุยเมียนม่าร์ ตอนที่ 8 (ไจ้ทิโย)
(ภาพไจ้ทิโย ที่ส่งมาฝากไว้ในไลน์ หายเกือบหมด)
..........รถออกจากสถานีพะโคไปยังสถานีไจ้ถู่กินเวลาราว 3 ชม. ถึงไจ้ถู่เวลา 01.30 น. หาที่อาบน้ำแล้วนั่งรถ 2 แถวใหญ่ไปยังพระธาตุอินแขวน หรือ ไจ้ทิโย ในภาษาพม่า
เวลาขนาดนั้นกับคนที่มีศรัทธาแรงกล้าทำให้บริเวณทางขึ้นไจ้ทิโยคับคั่งด้วยผู้คนจากทุกสารทิศในเมียนมาร์ไปรวมตัวกันจนทำให้เกิดธุรกิจหลายอย่าง
การที่เราไม่รู้ว่ามีทางรถยนต์ขึ้นไจ้ทิโยก็เลยทำให้เราได้เห็นศรัทธาอันแรงกล้าที่มีต่อการสักการะบูชาเจดีย์ของชาวพม่าในยุคก่อนด้วยการเดินขึ้นเขาพร้อมๆ กับชาวเมียนม่าร์อีกหลายร้อยคน ธุรกิจที่เกิดขึ้นที่ไจ้ทิโย หรือ พระธาตุอินแขวน ได้แก่ การจัดที่นอนและที่อาบน้ำ ที่ทำรายได้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน แค่ยกพื้นแล้วปูด้วยเสื่อที่ทำจากไม้ไผ่สานก็เก็บค่านอนได้แล้วเพราะคนที่ไปสักการะเขาเชื่อว่า ต้องเดินขึ้นลง 3 รอบจึงจะบรรลุ....
ดังนั้นจึงต้องค้างคืน และการเดินขึ้นลงไปกลับ 8+8 ไมล์ถ้าไม่ได้อาบน้ำคงแย่แน่ๆ ห้องส้วมก็จำเป็น พวกเขาก็แค่ทำห้องน้ำรวม โดยทำที่เก็บน้ำและเตรียมผ้านุ่งอาบน้ำสำหรับสตรี ส่วนบุรุษแค่อ่างอาบน้ำกับขันก็พอ ห้องส้วมเก็บเงินต่างหาก

โยเดีย 2 คนเห็นเขาเดินหายไปไม่กลับออกมาก็คิดว่า ทางนั้นเป็นทางขึ้นเขาเมื่อตามเข้าไปดูเห็นเขาจ่ายเงินก็จ่ายตามเขาเพราะคิดว่าเป็นค่าผ่านทาง....งง....อ้าว! ทำไมถูกจัง แค่ 100 จั๊ท พอจ่ายเงินเสร็จเขาก็ชี้ให้ดู เอ๊ะ! อย่างไง....ทางขึ้นเขาทำไมห้องเรียงเป็นตับ....อุ๊ต๊ะ....นั่นมันห้องส้วมนี่นา555555
ตอนนั้นใกล้ๆจะตี 3 ลองเดินออกไปข้างนอกถามเขาโดยพูดคำว่า ไจ้ทิโย เขาชี้ไปทางหมู่บ้านจึงเดินไปแบบงงๆ มันจะหลงมั้ยว้าาาา
จนกระทั่งมีกลุ่มหม่องเดินตามจึงคิดว่า เราให้เขานำหน้าดีกว่า....ระหว่างทางมีไฟฉายขาย เพราะทางเดินตามซอกเขาไม่เรียบอาจสะดุดก้อนหินบาดเจ็บ ทางเดินขึ้นสูงและชันสลับกับขั้นบันไดหินสลับปูนพวกหม่องเดินเก่งมากและไม่ค่อยพักเขาหันมาถามเราบ่อยๆ ว่า โอเค้? ตอนแรกเราก็บอกว่า โอเค พอเดินไปนานๆ เราบอกว่า โนเค เขาหัวเราะแต่ก็ห่วงเรามาก เราจึงบอกว่า ยูโกโก แล้วทำมือให้เขาไปก่อนไม่ต้องห่วงเรา
เมื่อเดินไปนานๆก็เริ่มมีคนแซงเราไปทั้งชายและหญิง มีทั้งคนใส่กางเกงและนุ่งโสร่งทั้งเคี้ยวหมากและไม่เคี้ยวหมาก ทางเดินแดงเถือกไปด้วยน้ำหมากตอนกบางวันไม่ต้องกลัวหลงแต่ตอนที่เราไปยังไม่สว่าง เราจึงถูกพระชี้ให้เราขึ้นบันไดไปอีกทาง....อ้าว! มีแต่เณรน้อยกำลังงัวเงีย....เสียแรงเสียเวลา จะหลอกให้เราขึ้นไปทำบุญ....โนเดียงงกับพระบนเขาจริงๆ ดักอยู่เป็นจุดๆ สุมไฟรอ เอาเหรียญใส่บาตรหรือขันเขย่าให้คนทำบุญทั้งพระทั้งชี
หากินกับความศรัทธาของคน มีซุ้มที่มีรูปปั้นพระหรือหลวงจีนดักให้คนเข้าไปไหว้แล้วสวดให้คนทำบุญ 3 จุดมีพระรูปหนึ่งเดินสวนลงเขาสะดุดหินมาชนเป้ที่คุณชายสะพายหน้าหลังเพราะป้าเป็นคนหนักไม่เอาแต่เบาสู้ลุงจึงต้องแบกเป้ 2 ใบ พอชนเป้คุณชายก็เลยถอยหลังไปสะดุดกระป๋องเบียร์ทีนี้สมาธิหลุดเตะกระป๋องกระเด็นแล้วก็คราง ฮื่ย! โยเดียงง....ใครผิดแว้?
ยิ่งขึ้นสูงก็ยิ่งเจอร้านขายของสารพัด เสื้อกล้าม รองเท้าแตะ น้ำ ส้ม แอ๊ปเปิ้ล กล้วย แตงโม กระทิงแดง เอ็ม 150 แม็กซ์ สารพัดเครื่องดื่มจากไทยที่ดื่มแล้วพวกเขาคิดว่าดูมีระดับแต่ในไทยคนที่ใช้แรงงานกับคนต้องการให้ตื่นดื่มกันมีขวดและกระป๋องให้สะดุดไปตลอดทาง ไฟฉายจึงจำเป็นมาก
ยิ่งสูงของยิ่งแพง อาชีพที่ทำเงินของชนเผ่าตามรายทางคือการทำปืนจากไม้ไผ่พันธุ์ที่หาได้ทั้งเด็กเล็กเด็กหนุ่มล้วนชอบเล่นและซื้อติดมือตอนขาลงเป็นของเล่นที่หายจากเมืองไทยไปหลายสิบปีแล้ว ลงทุนแค่ตะปูไม่กี่ตัวเหลาไม้แล้วประกอบกันเป็นปืนมีตั้งแต่ปืนพกสั้น ปืนยาวและปืนกล ที่สำคัญเวลาเหนี่ยวไกต้องมีเสียงดังคล้ายๆจุดปะทัดแบบเล็กๆ ส่วนไม้เท้าขายดีขาขึ้นใช้ช่วยประคองตัวและเหนี่ยวขึ้นทางชันหรือที่สูงแค่เอาไม้ไผ่ลำตรงขนาดพอเหมาะมือมาคาดด้วยลวดแล้วนำไปลนไฟให้เกิดลวดลายก็ได้เงินใช้แล้ว
ความศรัทธาอย่างไม่มีขีดจำกัดของชาวพุทธเมียนม่าร์ทำให้พวกไม่มีอาชีพบางคนเห็นช่องทางทำมาหากินตั้งด่านที่ทำเป็นศาลที่ไม่แน่ใจว่าเป็นพระอะไรไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะไม่ชอบการถูกตื๊อขอเงินมีคนหนึ่งยืนรอสวดอยู่ข้างรูปปั้นพระ อีก 2-3 คน ใส่เสื้อขาวแขนยาวกางเกงขายาวสีดำยืนดักและพูดเสียงดังต้อนให้คนเข้าไปไหว้และฟังสวดแล้วทำบุญ ส่วนพระกับชีก็กวาดใบไม้สุมไฟเขย่าขันหรือบาตรดักเป็นระยะๆตามจุดคับขันที่คนต้องหยุดพักจากการไต่ขึ้นที่สูงชัน
ร้านค้าตั้งอยู่เกือบทุกที่ที่พ้นจากความสูงชันมีที่นั่งพักตั้งเสาด้วยต้นไม้เล็กที่นั่งปูด้วยลำไม้ไผ่และทำราวให้พิงแยกจากส่วนที่ให้ลูกค้านั่งในร้านที่มีร่มเวลามุงด้วยใบตาล
พวกเขาก็แค่ร้องขายเสียงดังไม่มีการต้อนหน้าต้อนหลัง ไม่ซื้อก็ไม่ว่ากัน ขนาดร้านขายน้ำยังมีหม้อน้ำดื่มไว้บริการ แสดงให้เห็นความใจบุญสุญทานจริงๆความแตกต่างที่กลมกลืนที่เห็นได้ชัดคือบ้านชนเผ่าที่นับถือผีมีศาลผีที่พวกเขาเซ่นไหว้ด้วยดอกไม้และของกินเขาปลูกดอกไม้บริเวณบ้าน ในขณะที่คนพุทธเดินผ่านขึ้นลงเพื่อสักการะไจ้ทิโย
เห็นขนเม่นที่ปักไว้ขายลองถามราคา"ตาตริ๊ตี่" ชาวเขาชายตอบว่า "ไฟ้ว์จั๊ท" กะซื้อเสียบผมและฝากเพื่อนคิดว่าจะได้ใช้ จั๊ทเล็กๆ 50 จั๊ทที่มีอยู่จึงเลือก 10 อัน พอควักออกมาจ่ายเขาบอกว่า 5,000 kts. อ้าว! โยเดีย งงละสิ.... แพงเกินไป โยเดียไม่ซื้อตัวเม่นก็กินไปแล้วขนเม่นยังขายด้วยราคาแพงลิบ....เอาไว้ขายให้พวกเมียนม่าร์ละกานนนน!
ลุงหิวจัดให้ถามราคากล้วยลูกอ้วนกลมไม่รู้กล้วยอะไรปลูกบนเขานั่นแหละป้าจับหวีกล้วยแล้วถามแม้ค้าตอบว่า โต ป้าเห็นว่าราคาเท่าที่เคยซื้อจากสถานีรถไฟแถวๆ กะลอว์ จึงบอกโอเค แล้วยกนิ้วชี้ 1 นิ้ว แม่ค้าลองบิดลูกริมสุดมันไม่ออกจึงเปลี่ยนลูกกลาง 1 ลูกส่งให้ อ้าว! โยเดียงง... ตกลงว่า ลูกละ 300 ลุงบอกไม่ไหวแล้วหิวมากแต่ก็หัวเราะแล้วปอกกิน...รอดตายไปได้....เพราะกล้วยลูกนั้นทำให้เดินทางกลับลงเขาโดยสวัสดิภาพ
ยิ่งสูงของยิ่งแพง อาชีพที่ทำเงินของชนเผ่าตามรายทางคือการทำปืนจากไม้ไผ่พันธุ์ที่หาได้ทั้งเด็กเล็กเด็กหนุ่มล้วนชอบเล่นและซื้อติดมือตอนขาลงเป็นของเล่นที่หายจากเมืองไทยไปหลายสิบปีแล้ว ลงทุนแค่ตะปูไม่กี่ตัวเหลาไม้แล้วประกอบกันเป็นปืนมีตั้งแต่ปืนพกสั้น ปืนยาวและปืนกล ที่สำคัญเวลาเหนี่ยวไกต้องมีเสียงดังคล้ายๆจุดปะทัดแบบเล็กๆ ส่วนไม้เท้าขายดีขาขึ้นใช้ช่วยประคองตัวและเหนี่ยวขึ้นทางชันหรือที่สูงแค่เอาไม้ไผ่ลำตรงขนาดพอเหมาะมือมาคาดด้วยลวดแล้วนำไปลนไปให้เกิดลวดลายก็ได้เงินใช้แล้ว

แม้การพิชิตไจ้ทิโยในครั้งนี้จะไม่สำเร็จแต่เราก็ได้ประสบการณ์ที่น่าประทับใจหลายอย่างที่เราคิดว่าถ้าเราไปรถยนต์เราจะไม่ได้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เมื่อลงไปถึงลานจอดรถและที่พักสำหรับคนแสวงบุญเราไปใช้บริการอาบน้ำและกินอาหารกลางวัน เราได้พบกับสาวเมียนม่าร์หลายคนที่ทำงานในเมืองไทยแต่อยู่ในระหว่างลากลับบ้าน พวกเธอดีต่อเรามากๆ

คนเมียนม่าร์ที่เคยมาทำงานเมืองไทยจะมีน้ำใจกับนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นพิเศษ การเดินทางจากไจ้ทิโยไปย่างกุ้งเราก็ได้รับการประสานงานการติดต่อรถบัสจากไจ้ทิโยถึงย่างกุ้งจากสาวเมียนม่าร์ที่กลับบ้านไปสักการะไจ้ทิโย คนพวกนั้นรักคนไทยและบอกสามีภรรยากับญาติๆ ว่าต้องดีกับคนไทยให้มากๆ เพราะคนไทยมีบุญคุณ
ตอนแรกเราไม่มีข้อมูลเลยว่า มีรถจากไจ้ทิโยตรงไปย่างกุ้งได้ พวกเธอแนะนำสามีให้เรารู้จักและแนะนำคนที่จะพาเราไปส่งขึ้นรถไปย่างกุ้ง เป็นรถ VIP ค่ารถ 7,000 จั๊ท เป็นราคาชาวต่างชาติ คนเมียนม่าร์ราคา 5,000 จั๊ท ทั้งๆ ที่เป็นรถคันเดียวกัน แต่ก็นั่งสบายวิ่งเรียบตลอดทางทำให้ไม่เห็นว่าระหว่างทางมีอะไรบ้างเพราะหลังจากออกจากไจ้ทิโยได้ไม่กี่นาทีก็หลับยาวเนื่องจากไม่ได้นอนมาเลยเป็นเวลาอย่างน้อย 24ชั่วโมง
รถจอดพักให้เข้าห้องน้ำและรับประทานอาหาร 20 นาที แต่เราแค่เข้าห้องน้ำเพราะยังไม่รู้สึกหิว จากนั้นก็วิ่งยาวไปถึงสถานีขนส่งก่อนเวลา 20.00 น. เล็กน้อย เราลงไปถามหารถประจำทางเข้าเมืองแต่พวกแท็กซี่ฟังไม่รู้เรื่อง เขาตามคนที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้มาให้ซึ่งเขาบอกว่าไม่มีรถประจำทางต้องไปแท็กซี่เท่านั้น เมื่อถามราคาเขาบอกว่า 20 ดอลล่าร์ แพงมากแต่เราไม่มีทางเลือกเพราะไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้นอกจากเขาคนเดียว
ความจริงถ้าเดินออกไปข้างนอกมีรถประจำทางวิ่งผ่านแต่เพราะมันเป็นเวลากลางคืนและเราก็ใหม่ต่อสถานที่เราจึงอยู่ในภาวะจำยอมให้เขาพาไปส่งที่พักย่านซูเลซึ่งเขาตกลงและขึ้นไปพร้อมเราแต่เขาลงกลางทางแล้วให้คนขับซึ่งไม่รู้ภาษาอังกฤษเลยไปส่งเรา ไม่ว่าจะถามหรือคุยอะไรเขาก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆทั้งสิ้น
[CR] ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตะลุยเมียนมาร์ ตอนที่ 4 ไจ้ทิโย
(ภาพไจ้ทิโย ที่ส่งมาฝากไว้ในไลน์ หายเกือบหมด)
..........รถออกจากสถานีพะโคไปยังสถานีไจ้ถู่กินเวลาราว 3 ชม. ถึงไจ้ถู่เวลา 01.30 น. หาที่อาบน้ำแล้วนั่งรถ 2 แถวใหญ่ไปยังพระธาตุอินแขวน หรือ ไจ้ทิโย ในภาษาพม่า
เวลาขนาดนั้นกับคนที่มีศรัทธาแรงกล้าทำให้บริเวณทางขึ้นไจ้ทิโยคับคั่งด้วยผู้คนจากทุกสารทิศในเมียนมาร์ไปรวมตัวกันจนทำให้เกิดธุรกิจหลายอย่าง
การที่เราไม่รู้ว่ามีทางรถยนต์ขึ้นไจ้ทิโยก็เลยทำให้เราได้เห็นศรัทธาอันแรงกล้าที่มีต่อการสักการะบูชาเจดีย์ของชาวพม่าในยุคก่อนด้วยการเดินขึ้นเขาพร้อมๆ กับชาวเมียนม่าร์อีกหลายร้อยคน ธุรกิจที่เกิดขึ้นที่ไจ้ทิโย หรือ พระธาตุอินแขวน ได้แก่ การจัดที่นอนและที่อาบน้ำ ที่ทำรายได้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน แค่ยกพื้นแล้วปูด้วยเสื่อที่ทำจากไม้ไผ่สานก็เก็บค่านอนได้แล้วเพราะคนที่ไปสักการะเขาเชื่อว่า ต้องเดินขึ้นลง 3 รอบจึงจะบรรลุ....
ดังนั้นจึงต้องค้างคืน และการเดินขึ้นลงไปกลับ 8+8 ไมล์ถ้าไม่ได้อาบน้ำคงแย่แน่ๆ ห้องส้วมก็จำเป็น พวกเขาก็แค่ทำห้องน้ำรวม โดยทำที่เก็บน้ำและเตรียมผ้านุ่งอาบน้ำสำหรับสตรี ส่วนบุรุษแค่อ่างอาบน้ำกับขันก็พอ ห้องส้วมเก็บเงินต่างหาก
โยเดีย 2 คนเห็นเขาเดินหายไปไม่กลับออกมาก็คิดว่า ทางนั้นเป็นทางขึ้นเขาเมื่อตามเข้าไปดูเห็นเขาจ่ายเงินก็จ่ายตามเขาเพราะคิดว่าเป็นค่าผ่านทาง....งง....อ้าว! ทำไมถูกจัง แค่ 100 จั๊ท พอจ่ายเงินเสร็จเขาก็ชี้ให้ดู เอ๊ะ! อย่างไง....ทางขึ้นเขาทำไมห้องเรียงเป็นตับ....อุ๊ต๊ะ....นั่นมันห้องส้วมนี่นา555555
ตอนนั้นใกล้ๆจะตี 3 ลองเดินออกไปข้างนอกถามเขาโดยพูดคำว่า ไจ้ทิโย เขาชี้ไปทางหมู่บ้านจึงเดินไปแบบงงๆ มันจะหลงมั้ยว้าาาา
จนกระทั่งมีกลุ่มหม่องเดินตามจึงคิดว่า เราให้เขานำหน้าดีกว่า....ระหว่างทางมีไฟฉายขาย เพราะทางเดินตามซอกเขาไม่เรียบอาจสะดุดก้อนหินบาดเจ็บ ทางเดินขึ้นสูงและชันสลับกับขั้นบันไดหินสลับปูนพวกหม่องเดินเก่งมากและไม่ค่อยพักเขาหันมาถามเราบ่อยๆ ว่า โอเค้? ตอนแรกเราก็บอกว่า โอเค พอเดินไปนานๆ เราบอกว่า โนเค เขาหัวเราะแต่ก็ห่วงเรามาก เราจึงบอกว่า ยูโกโก แล้วทำมือให้เขาไปก่อนไม่ต้องห่วงเรา
เมื่อเดินไปนานๆก็เริ่มมีคนแซงเราไปทั้งชายและหญิง มีทั้งคนใส่กางเกงและนุ่งโสร่งทั้งเคี้ยวหมากและไม่เคี้ยวหมาก ทางเดินแดงเถือกไปด้วยน้ำหมากตอนกบางวันไม่ต้องกลัวหลงแต่ตอนที่เราไปยังไม่สว่าง เราจึงถูกพระชี้ให้เราขึ้นบันไดไปอีกทาง....อ้าว! มีแต่เณรน้อยกำลังงัวเงีย....เสียแรงเสียเวลา จะหลอกให้เราขึ้นไปทำบุญ....โนเดียงงกับพระบนเขาจริงๆ ดักอยู่เป็นจุดๆ สุมไฟรอ เอาเหรียญใส่บาตรหรือขันเขย่าให้คนทำบุญทั้งพระทั้งชี
หากินกับความศรัทธาของคน มีซุ้มที่มีรูปปั้นพระหรือหลวงจีนดักให้คนเข้าไปไหว้แล้วสวดให้คนทำบุญ 3 จุดมีพระรูปหนึ่งเดินสวนลงเขาสะดุดหินมาชนเป้ที่คุณชายสะพายหน้าหลังเพราะป้าเป็นคนหนักไม่เอาแต่เบาสู้ลุงจึงต้องแบกเป้ 2 ใบ พอชนเป้คุณชายก็เลยถอยหลังไปสะดุดกระป๋องเบียร์ทีนี้สมาธิหลุดเตะกระป๋องกระเด็นแล้วก็คราง ฮื่ย! โยเดียงง....ใครผิดแว้?
ยิ่งขึ้นสูงก็ยิ่งเจอร้านขายของสารพัด เสื้อกล้าม รองเท้าแตะ น้ำ ส้ม แอ๊ปเปิ้ล กล้วย แตงโม กระทิงแดง เอ็ม 150 แม็กซ์ สารพัดเครื่องดื่มจากไทยที่ดื่มแล้วพวกเขาคิดว่าดูมีระดับแต่ในไทยคนที่ใช้แรงงานกับคนต้องการให้ตื่นดื่มกันมีขวดและกระป๋องให้สะดุดไปตลอดทาง ไฟฉายจึงจำเป็นมาก
ยิ่งสูงของยิ่งแพง อาชีพที่ทำเงินของชนเผ่าตามรายทางคือการทำปืนจากไม้ไผ่พันธุ์ที่หาได้ทั้งเด็กเล็กเด็กหนุ่มล้วนชอบเล่นและซื้อติดมือตอนขาลงเป็นของเล่นที่หายจากเมืองไทยไปหลายสิบปีแล้ว ลงทุนแค่ตะปูไม่กี่ตัวเหลาไม้แล้วประกอบกันเป็นปืนมีตั้งแต่ปืนพกสั้น ปืนยาวและปืนกล ที่สำคัญเวลาเหนี่ยวไกต้องมีเสียงดังคล้ายๆจุดปะทัดแบบเล็กๆ ส่วนไม้เท้าขายดีขาขึ้นใช้ช่วยประคองตัวและเหนี่ยวขึ้นทางชันหรือที่สูงแค่เอาไม้ไผ่ลำตรงขนาดพอเหมาะมือมาคาดด้วยลวดแล้วนำไปลนไฟให้เกิดลวดลายก็ได้เงินใช้แล้ว
ความศรัทธาอย่างไม่มีขีดจำกัดของชาวพุทธเมียนม่าร์ทำให้พวกไม่มีอาชีพบางคนเห็นช่องทางทำมาหากินตั้งด่านที่ทำเป็นศาลที่ไม่แน่ใจว่าเป็นพระอะไรไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะไม่ชอบการถูกตื๊อขอเงินมีคนหนึ่งยืนรอสวดอยู่ข้างรูปปั้นพระ อีก 2-3 คน ใส่เสื้อขาวแขนยาวกางเกงขายาวสีดำยืนดักและพูดเสียงดังต้อนให้คนเข้าไปไหว้และฟังสวดแล้วทำบุญ ส่วนพระกับชีก็กวาดใบไม้สุมไฟเขย่าขันหรือบาตรดักเป็นระยะๆตามจุดคับขันที่คนต้องหยุดพักจากการไต่ขึ้นที่สูงชัน
ร้านค้าตั้งอยู่เกือบทุกที่ที่พ้นจากความสูงชันมีที่นั่งพักตั้งเสาด้วยต้นไม้เล็กที่นั่งปูด้วยลำไม้ไผ่และทำราวให้พิงแยกจากส่วนที่ให้ลูกค้านั่งในร้านที่มีร่มเวลามุงด้วยใบตาล
พวกเขาก็แค่ร้องขายเสียงดังไม่มีการต้อนหน้าต้อนหลัง ไม่ซื้อก็ไม่ว่ากัน ขนาดร้านขายน้ำยังมีหม้อน้ำดื่มไว้บริการ แสดงให้เห็นความใจบุญสุญทานจริงๆความแตกต่างที่กลมกลืนที่เห็นได้ชัดคือบ้านชนเผ่าที่นับถือผีมีศาลผีที่พวกเขาเซ่นไหว้ด้วยดอกไม้และของกินเขาปลูกดอกไม้บริเวณบ้าน ในขณะที่คนพุทธเดินผ่านขึ้นลงเพื่อสักการะไจ้ทิโย
เห็นขนเม่นที่ปักไว้ขายลองถามราคา"ตาตริ๊ตี่" ชาวเขาชายตอบว่า "ไฟ้ว์จั๊ท" กะซื้อเสียบผมและฝากเพื่อนคิดว่าจะได้ใช้ จั๊ทเล็กๆ 50 จั๊ทที่มีอยู่จึงเลือก 10 อัน พอควักออกมาจ่ายเขาบอกว่า 5,000 kts. อ้าว! โยเดีย งงละสิ.... แพงเกินไป โยเดียไม่ซื้อตัวเม่นก็กินไปแล้วขนเม่นยังขายด้วยราคาแพงลิบ....เอาไว้ขายให้พวกเมียนม่าร์ละกานนนน!
ลุงหิวจัดให้ถามราคากล้วยลูกอ้วนกลมไม่รู้กล้วยอะไรปลูกบนเขานั่นแหละป้าจับหวีกล้วยแล้วถามแม้ค้าตอบว่า โต ป้าเห็นว่าราคาเท่าที่เคยซื้อจากสถานีรถไฟแถวๆ กะลอว์ จึงบอกโอเค แล้วยกนิ้วชี้ 1 นิ้ว แม่ค้าลองบิดลูกริมสุดมันไม่ออกจึงเปลี่ยนลูกกลาง 1 ลูกส่งให้ อ้าว! โยเดียงง... ตกลงว่า ลูกละ 300 ลุงบอกไม่ไหวแล้วหิวมากแต่ก็หัวเราะแล้วปอกกิน...รอดตายไปได้....เพราะกล้วยลูกนั้นทำให้เดินทางกลับลงเขาโดยสวัสดิภาพ
ยิ่งสูงของยิ่งแพง อาชีพที่ทำเงินของชนเผ่าตามรายทางคือการทำปืนจากไม้ไผ่พันธุ์ที่หาได้ทั้งเด็กเล็กเด็กหนุ่มล้วนชอบเล่นและซื้อติดมือตอนขาลงเป็นของเล่นที่หายจากเมืองไทยไปหลายสิบปีแล้ว ลงทุนแค่ตะปูไม่กี่ตัวเหลาไม้แล้วประกอบกันเป็นปืนมีตั้งแต่ปืนพกสั้น ปืนยาวและปืนกล ที่สำคัญเวลาเหนี่ยวไกต้องมีเสียงดังคล้ายๆจุดปะทัดแบบเล็กๆ ส่วนไม้เท้าขายดีขาขึ้นใช้ช่วยประคองตัวและเหนี่ยวขึ้นทางชันหรือที่สูงแค่เอาไม้ไผ่ลำตรงขนาดพอเหมาะมือมาคาดด้วยลวดแล้วนำไปลนไปให้เกิดลวดลายก็ได้เงินใช้แล้ว
แม้การพิชิตไจ้ทิโยในครั้งนี้จะไม่สำเร็จแต่เราก็ได้ประสบการณ์ที่น่าประทับใจหลายอย่างที่เราคิดว่าถ้าเราไปรถยนต์เราจะไม่ได้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เมื่อลงไปถึงลานจอดรถและที่พักสำหรับคนแสวงบุญเราไปใช้บริการอาบน้ำและกินอาหารกลางวัน เราได้พบกับสาวเมียนม่าร์หลายคนที่ทำงานในเมืองไทยแต่อยู่ในระหว่างลากลับบ้าน พวกเธอดีต่อเรามากๆ
คนเมียนม่าร์ที่เคยมาทำงานเมืองไทยจะมีน้ำใจกับนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นพิเศษ การเดินทางจากไจ้ทิโยไปย่างกุ้งเราก็ได้รับการประสานงานการติดต่อรถบัสจากไจ้ทิโยถึงย่างกุ้งจากสาวเมียนม่าร์ที่กลับบ้านไปสักการะไจ้ทิโย คนพวกนั้นรักคนไทยและบอกสามีภรรยากับญาติๆ ว่าต้องดีกับคนไทยให้มากๆ เพราะคนไทยมีบุญคุณ
ตอนแรกเราไม่มีข้อมูลเลยว่า มีรถจากไจ้ทิโยตรงไปย่างกุ้งได้ พวกเธอแนะนำสามีให้เรารู้จักและแนะนำคนที่จะพาเราไปส่งขึ้นรถไปย่างกุ้ง เป็นรถ VIP ค่ารถ 7,000 จั๊ท เป็นราคาชาวต่างชาติ คนเมียนม่าร์ราคา 5,000 จั๊ท ทั้งๆ ที่เป็นรถคันเดียวกัน แต่ก็นั่งสบายวิ่งเรียบตลอดทางทำให้ไม่เห็นว่าระหว่างทางมีอะไรบ้างเพราะหลังจากออกจากไจ้ทิโยได้ไม่กี่นาทีก็หลับยาวเนื่องจากไม่ได้นอนมาเลยเป็นเวลาอย่างน้อย 24ชั่วโมง
รถจอดพักให้เข้าห้องน้ำและรับประทานอาหาร 20 นาที แต่เราแค่เข้าห้องน้ำเพราะยังไม่รู้สึกหิว จากนั้นก็วิ่งยาวไปถึงสถานีขนส่งก่อนเวลา 20.00 น. เล็กน้อย เราลงไปถามหารถประจำทางเข้าเมืองแต่พวกแท็กซี่ฟังไม่รู้เรื่อง เขาตามคนที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้มาให้ซึ่งเขาบอกว่าไม่มีรถประจำทางต้องไปแท็กซี่เท่านั้น เมื่อถามราคาเขาบอกว่า 20 ดอลล่าร์ แพงมากแต่เราไม่มีทางเลือกเพราะไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้นอกจากเขาคนเดียว
ความจริงถ้าเดินออกไปข้างนอกมีรถประจำทางวิ่งผ่านแต่เพราะมันเป็นเวลากลางคืนและเราก็ใหม่ต่อสถานที่เราจึงอยู่ในภาวะจำยอมให้เขาพาไปส่งที่พักย่านซูเลซึ่งเขาตกลงและขึ้นไปพร้อมเราแต่เขาลงกลางทางแล้วให้คนขับซึ่งไม่รู้ภาษาอังกฤษเลยไปส่งเรา ไม่ว่าจะถามหรือคุยอะไรเขาก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆทั้งสิ้น
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น