จตุพร ชี้มติปปช.ไม่เกี่ยวคดีฆ่าคนตาย ขออดทนรอนำคนสั่งฆ่ามาลงโทษอาญา

กระทู้คำถาม
คำแถลงแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติhttp://thai-peace-tv.blogspot.com/2015/12/blog-post_30.html?spref=tw





นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการมองไกล ผ่านยูทูปเมื่อ 30 ธ.ค.นี้ ด้วยการเรียกร้องให้ประชาชน ญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อ 10 เม.ย. - 19 พ.ค. 2553 ได้อดทนรอการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในกรณีเขตอำนาจศาลว่า คดีฆ่าคนตายและพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 นั้น เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอาญาหรือไม่

ส่วนมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ให้ยกคำร้องข้อกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการสั่งสลายการชุมนุมนั้น นายจตุพร กล่าวว่า เป็นคนละกรณีกับคดีฆ่าคนตายและพยายามฆ่า โดย ป.ป.ช.พิจารณาตามสำนวนกล่าวหาให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เท่านั้น แต่กลับอธิบายให้เกิดผลคุ้มครองไปถึงคดีฆ่าคนตายและพยายามฆ่าด้วย

"เรื่องราวในการอธิบายของ ป.ป.ช. พยายามไปคุ้มครองถึงคดีอาญาฐานฆ่าคนตายนั้น เป็นหน้าที่อะไรของ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นคนละกรณีการกับยื่นถอดถอนตาม ม.157 ผมบอกได้เลยไม่มีความคาดหวังใดกับ ป.ป.ช.ทั้งสิ้น และเรื่องนี้ไม่ควรมาที่การพิจารณาของ ป.ป.ช. ด้วย เพราะเป็นคดี ม.288 ฐานฆ่าและพยานฆ่าคนตาย ดังนั้น พวกเราต้องรอให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เป็นอำนาจของศาลอาญาหรือไม่ในคดีความผิดฐานฆ่าคนตายและพยายามฆ่า อีกทั้งยังมีขั้นตอนถึงศาลฎีกาด้วย เพราะมีความตายในราชอาณาจักรแต่ไม่สามารถดำเนินคดีกับใครได้ เรายังมีหนทางอยู่โดยญาติคนตายและผู้บาดเจ็บยังสามารถดำเนินคดีต่อไปได้ ในส่วนศาลอาญาระหว่างประเทศก็มีการฟ้องนายอภิสิทธิ์ในฐานะคนอังกฤษ ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่จบ และเราไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ต้องรอศาลอุทธรณ์ ใครจะหน้าชื่นก็ว่าไป ส่วนเราต้องอดทน มีจิตใจเข้มแข็ง เพราะพวกเขาพร้อมจะยั่วเราอยู่แล้ว"

นายจตุพร กล่าวว่า ป.ป.ช.จงใจเลือกวันแถลงมติ และไม่แจ้งมาก่อนเลย เพื่อต้องเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนไปจากการแถลงผลการสอบสวนการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ของคณะกรรมการชุดกระทรวงกลาโหมที่แถลงในช่วงบ่ายของวันที่ 30 ธ.ค.นี้เท่านั้น

มติของ ป.ป.ช.ดังกล่าวมีความสับสนกับการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. ชุดใหม่ที่ยังไม่ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ แต่ได้ประชุมร่วมกับ ป.ป.ช.ชุดเก่าเพื่อเลือก ประธาน ป.ป.ช.คนใหม่ ดังนั้น จึงทำให้มี ป.ป.ช. 2 ชุด ในขณะที่ ป.ป.ช.ชุดเก่ายังรักษาการอยู่ กระทั่งมีมติยกคำร้องกล่าวหาละเว้นการ เพิกเฉยกานปฏิบัติหน้าที่ในกรณีสลายการชุมนุมของ นปช.เมื่อ 10 เม.ย.-19 พ.ค. 2553

นายจตุพร กล่าวว่า การสลายการชุมนุมของ นปช.เมื่อปี 2553 มีประชาชนเสียชีวิต 99 ศพ และบาดเจ็บอีกนับพันคนนั้น เป็นคดีความถึง 2 ข้อหาสำคัญ คือ ข้อหาฆ่าคนตายและพยายามฆ่าตามมาตรา 288 และเกี่ยวพันกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ในช่วงปลายเมื่อมีนาคม 2554 ซึ่งต้องยื่นต่อ ป.ป.ช.ให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งทางการเมืองด้วย ดังนั้น มติของ ป.ป.ช.ที่ยกคำร้องจึงเป็นกรณีของการถอดถอนออกจากตำแหน่ง และยุติการส่งเรื่องไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย

ส่วนคดีอาญาฐานฆ่าคนตายและพยายามฆ่าผู้อื่นตาม มาตรา 288 เป็นผลจากการยื่นต่อศาลอาญาให้พิสูจน์ศพถึงสาเหตุการเสียชีวิต เพื่อจะดำเนินคิดกับคนทำและร่วมทำให้ตาย โดยในช่วงปลายของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ( ดีเอสไอ) ทำ 13 สำนวนไต่สวนพิสูจน์สาเหตุการตายยื่นต่ออัยการ แล้วยื่นศาลอาญา ซึ่งผลการพิสูจน์สาเหตุการตาย ศาลระบุชัดเจนเหมือนกันหมดว่า เกิดจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งโดยอ้างว่า ปฏิบัติตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และศาลยังระบุด้วยว่า ไม่มีชายชุดดำ อัยการจึงยื่นฟ้องในดีฆ่าคนตายตาม มาตรา 288 จากเหตุการณ์ตายในวัดปทุมวนาราม 6 ศพ และอีก 2 ศพที่ได้พิสูจน์สาเหตุการตายแล้ว

แต่นายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลอาญาว่า ไม่ได้เป็นเขตอำนาจของศาลอาญา แต่เป็นอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและญาติคนตายและผู้บาดเจ็บจึงเรื่องต่อศาลอุทธรณ์ ต้องรอการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในประเด็นเขตอำนาจศาล ซึ่งขณะนี้อยู่ในศาลอุทธรณ์

นายจตุพร กล่าวว่า ตนไม่สงสัยมติของ ป.ป.ช.เลย เพราะคาดถึงผลลัพธ์ต้องออกมาเช่นนี้ ร่วมทั้งมติ ป.ป.ช. ไม่มีรายละเอียด เป็นการวินิจฉัยตามสำนวนการถอดถอนทางการเมืองอันเป็นผลจากการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ สิ่งสำคัญที่สุด คือ ระหว่างการไต่สวนคำร้องนั้น ป.ป.ช.ไม่ได้นำผู้กล่าวหามาไต่สวนด้วย แต่ไต่สวนเฉพาะผู้ถูกกล่าวหาและพยานของผู้ถูกกกล่าวหาทั้งสิ้น

นอกจากนี้ ป.ป.ช. เคยวินิจฉัยการสลายการชุมนุมเมื่อ 7 ต.ค. 2551 เป็นเหตุให้มีคนตาย 2 ศพ โดยชี้มูลความผิดยื่นให้วุฒิสภาถอดถอน นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์ อดีต รมว.มหาดไทย และพล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. แต่วุฒิสภามีมติไม่ถอดถอน รวมทั้งอัยการไม่สั่งฟ้องต่อศาล แต่ ป.ป.ช.กลับทำคดีฟ้องศาลฎีกาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เองในข้อหาสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีคนตาย ทั้งที่นายสมชายในขณะที่เกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมเพียงวันเดียวนั้น ยังไม่ได้ปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีอย่างสมบูรณ์ และขณะนี้เรื่องอยู่ในการพิจารณาของศาล

แต่เหตุการณ์ 10 เม.ษ.- 19 พ.ค. 2553 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และทหารใช้เวลาถึง 39 วันในการสลายการชุมนุม แต่ ป.ป.ช.กลับชี้ว่า ไม่มีพฤติการต่อเนื่อง ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงวันเดียวเมื่อ 7 ต.ค 2551 กลับระบุว่า เป็นพฤติการณ์ปฏิบัติหน้าที่ต่อเนื่อง ดังนั้นจึงการอธิบายที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และยัง โดยไม่อธิบายถึงความตาย 6 ศพในวัดปทุมวนารามเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 รวมทั้งไม่ไต่สวนถึงการใช้กระสุนจริงและอาวุธสงครามที่เบิกออกมาร่วม 300,000 นัด ที่ใช้ไปร่วม 200,000 นัด เฉพาะปืนสไนเปอร์ใช้ไปถึง 2,500 นัด

นายจตุพร กล่าวว่า ป.ป.ช. นำคำสั่งของศาลแพ่งมาอ้างนั้น ศาลแพ่งได้ระบุชัดเจนว่า ไม่ให้ใช้กำลังในการสลายการชุมนุม ให้ปฏิบัติตามหลักสากล จากเบาไปหาหนัก ดังนั้น คำสั่งศาลแพ่งไม่ได้อนุญาตให้ไปฆ่าใคร แต่ ป.ป.ช.กลับให้เป็นความผิดของเจ้าหน้าที่ นายทหาร และระดับผู้ใต้บังคับบัญชาโดย ดีเอสไอ.ได้รวบรวมความตาย 89 ศพจาก 21 จุด เกิดจากหน่วยทหารใดและนำโดยใครในการปฏิบัติหน้าที่บริเวณนั้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่