หน้าแรก
คอมมูนิตี้
ห้อง
แท็ก
คลับ
ห้อง
แก้ไขปักหมุด
ดูทั้งหมด
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
แท็ก
แก้ไขปักหมุด
ดูเพิ่มเติม
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
{room_name}
{name}
{description}
กิจกรรม
แลกพอยต์
อื่นๆ
ตั้งกระทู้
เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก
เว็บไซต์ในเครือ
Bloggang
Pantown
PantipMarket
Maggang
ติดตามพันทิป
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้
เกี่ยวกับเรา
กฎ กติกา และมารยาท
คำแนะนำการโพสต์แสดงความเห็น
นโยบายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
สิทธิ์การใช้งานของสมาชิก
ติดต่อทีมงาน Pantip
ติดต่อลงโฆษณา
ร่วมงานกับ Pantip
Download App Pantip
Pantip Certified Developer
[CR] เดินช้าๆ ฝ่าลมหนาวที่สวิส เยอรมัน และออสเตรีย ตอนที่ 5
กระทู้รีวิว
บันทึกนักเดินทาง
Backpack
เที่ยวต่างประเทศ
16. เบิร์น เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์
เมื่อคืนวางแผนไว้ว่าวันนี้นั่งรถไฟเที่ยวเมืองต่างๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ที่ใช้เวลาเดินทางทางรถไฟไม่เกิน 2 ชั่วโมงและจะได้ใช้สวิสพาสให้คุ้มค่า เมืองเบิร์นจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะที่สุด ( จริงๆ แล้ววางแผนมาจากประเทศไทยแล้วล่ะ แหะๆ แต่มาเช็คที่นี่อีกที) จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ตั้งใจจะมานั่งเรือล่องทะเลสาปธูนกัน แต่ว่าพวกเรามาถึงที่อินเทอร์ลาเก้นช้าไปพอเข้าหน้าหนาวจะไม่มีเรือรอบเช้า ตอนทานอาหารเช้าก็เจอกับคุณพี่สองสามี – ภรรยาคู่เดิมอีกแล้วครับ วันนี้พี่เขาจะเที่ยวในอินเทอร์ลาเก้น และเดินทางไปซูริคตอนบ่ายครับ เราก็บอกว่าพวกเราจะไปเบิร์นทางรถไฟ พี่ผู้ชายแกบอกว่าถ้ามาเร็วกว่านี้สัก 3 วันก็ได้นั่งเรือไปแล้วแบบที่พวกเขาทำมาก่อนหน้านี้แล้วก็บรรยายเรื่องทิวทัศน์สองฝั่งทะเลสาปทำให้พวกเรายิ่งเสียดายไปอีก แต่พี่ผู้หญิงบอกว่าทางรถไฟก็ขนานกับทะเลสาปแหละสวยเหมือนกัน พวกเราร่ำลาพี่ทั้งสองออกเดินไปสถานีรถไฟ
พวกเราเล็งว่าจะขึ้นรถไฟรอบ 9:11 น. ไปลงที่เมืองสเปียซ โดยยืนรอไม่นานรถไฟเที่ยวที่พวกเรารอก็มา เลือกที่นั่งตามสบายเลย ขึ้นไปหาที่นั่งกันสบายเลยโดยเลือกที่นั่งฝั่งที่จะเห็นทะเลสาบธูน นั่งชมวิวเพลินๆ ไม่นานก็ถึงเมืองสเปียซ พวกเราขอแวะที่เมืองนี้แป๊บๆ เพื่อชมวิวริมทะลสาปธูนที่สวยงามซึ่งก็สวยสงบจริงๆ ในเมืองนี่แทบไม่เห็นคนเดินเลย
พวกเราแวะเข้าร้านขายเสื้อผ้ากันหนาวและติดอยู่ใน้รานจนไม่ได้เดินไปไหนต่อเลย เดินหิ้วถุงใส่หมวกกันหนาวอย่างหนาราคา 2 ฟรังสวิสออกมาขึ้นรถไฟตอน 9:50 น. เพราะรถไฟที่จะเดินทางไปเมืองเบิร์นจะมาถึงตอน 9:02 น. โดยพวกเราเลือกขึ้นรถไฟไปเมืองธูนกันก่อนเพื่อเปลี่ยนรถไฟอีกขบวนโดยมีเวลารอรถไฟขบวนต่อไปประมาณ 30 นาที ที่เมืองธูนเดินออกมานอกสถานีรถไฟเพื่อดินชมเมืองสักเล็กน้อยระหว่างรอรถไฟขบวนต่อไปรวมทั้งไปดูเรือที่พวกเราอยากจะนั่งมาจากเมืองอินเทอร์ลาเก้นสักเล็กน้อย
พอเวลา 10 โมงกว่าๆ พวกเราก็พาตัวเองมายืนรอที่ชานชาลา 2 เพื่อขึ้นรถไฟไปเมืองเบิร์นกัน เมือถึงสถานีรถไฟเมืองเบิร์นเดินขึ้นมาจากสถานีรถไฟตรงทางออกที่มา Spitalgasse เพื่อเดินเข้าไปในเขตเมืองของเมืองเบิร์นเก่ากัน และต้องการเดินไปให้สุดทางข้ามแม่น้ำไปชมสัญลักษณ์ของเมืองเบิร์นซึ่งก็คือหมีที่บ่อหมี เมื่ออกจากสถานีรถไฟฟจะเจอกับ Church of Holy Ghost
พวกเราเดินผ่านหน้าโบสถ์นี้ไปเพื่อไปยังถนน Spitalgasse ถนน Spitalgasse นี้เป็นถนนคนเดินที่อนุญาตให้รถรางวิ่งไปมาเท่านั้นแต่ก็ต้องระมัดระวังกันด้วยเพราะรถรางมากันถี่ใช่เล่น และวิ่งกันค่อนข้างเร็วด้วย บนถนนนี้มีน้ำพุตั้งอยู่ซึ่งช่วยเพิ่มบรรยากาศความน่าสนใจกับเสริมบรรยากาศเข้ากับอาคารที่เรียงรายตลอดสองฝั่งถนน เมืองเบิร์นมีชื่อเล่นอีกชื่อว่า “เมือง 100 น้ำพุ” เพราะมีน้ำพุเยอะจริงๆ เมืองนี้ แต่ไม่รู้ถึง 100 แห่งมั้ยนะไม่มีเวลานับเหมือนกัน
จริงๆ แล้วการไปเขตเมืองเก่าสามารถนั่งรถรางไปได้แต่พวกเราเลือกที่จะเดินไปและนั่งรถรางกลับมา เพราะว่าจะได้แวะสถานที่ต่างๆ หรือว่าเดินชมบรรยากาศได้สบายๆ ก่อนจะนั่งพักขากลับมาที่สถานีรถไฟ พวกเราสามคนเดินตามแผนที่ที่เตรียมมาจากประเทศไทย เมืองเบิร์นเป็นเมืองหลวงที่อาภัพนักเพราะไม่ค่อยมีคนรู้จักมากเท่าเมืองซูริค สนามบินที่นี่ก็เล็กกว่าซูริคมากนัก เขตเมืองเก่าของเบิร์นที่สร้างมาตั้งแต่สมัยยุคกลางและปัจจุบันยังมีทั้งประตูเมือง หอคอย หอนาฬิกา ที่ได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดีจนได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกจากยูเนสโกด้วย สองข้างทางของถนน Spitalgasse เป็นร้านค้าแบรนด์เนมทั้งนั้นน่าจะถูกใจขาช็อปทั้งหลาย แต่พวกเราขอเดินผ่านเฉยๆ ละกัน เดินมาถึงประตูเมืองเก่า Kafigturm จึงจะเห็นตลาดนัดเล็กๆ ที่ขายผลไม้ ดอกไม้ และของพื้นเมืองหลายอย่าง อยู่ตรงที่ว่างสองฟากฝั่งของประตูเมืองนี้
พวกเราเดินลอดประตูเมืองเก่าที่ครั้งหนึ่งเคยถูกใช้เป็นคุกขังนักโทษอยู่หลายสิบปีบนประตูมีนาฬิกา และเมื่อเดินลอดประตูมาจะเป็นถนน Marktgasse ที่ยังคงเป็นถนนคนเดินเช่นเดิมแต่ที่เพิ่มเติมคือ มีร้านค้าขนาดเล็กที่อยู่ชั้นใต้ดินใต้อาคารทั้งสองฝั่งถนนนี้โดยทางเข้าจะเป็นบันไดลงไปด้านล่าง บางร้านก็มีการตั้งหุ่นโชว์เสื้อผ้า หรือตู้โชว์สินค้าด้านบนเพื่อบ่งบอกว่าร้านของตนเองนั้นขายอะไรรวมทั้งเป็นการสร้างความน่าสนใจให้กับคนที่เดินผ่านไปมา
นอกจากนี้ยังมีร้านค้าแบรนด์เนม ร้านอาหาร ร้านกาแฟเก๋ๆ อีกหลายร้านเรียงรายอยู่ตลอดสองฝั่งถนนนี้ ซึ่งถ้ารวมความยาวของถนนคนเดินทั้ง Spitagasse กับ Maktgasse จะได้ประมาณ 6 กิโลเมตรพอดีอาจจะเป็นถนนสายช็อปปิ้งหรือถนนคนเดินที่ยาวมากๆ สายหนึ่งในโลก อีกหนึ่งสถานที่ห้ามพลาดบนถนน Maktgasse คือหอนาฬิกาดาราศาสตร์ Zytglogge ที่สร้างขึ้นในปีค.ศ.1530 (พ.ศ.2073) ซึ่งแรกเริ่มสร้างเพื่อเป็นประตูเมืองแต่เมื่อเมืองขยายออกไปจึงปรับมาเป็นหอนาฬิกาแทน แต่หอปัจจุบันนั้นสร้างขึ้นแทนหอเดิมที่โดนไฟไหม้จนเสียหายไปหมด ที่ด้านล่างหอนาฬิกามีเครื่องชั่งน้ำหนักแบบโบราณจัดแสดงอยู่ด้วย หอนาฬิกานี้จะมีตุ๊กตาออกมาเต้นระบำทุกชั่วโมงแต่เป็นการเต้นตามจังหวะการตีของนาฬิกา ดังนั้น การเต้นของตุ๊กตาจะสั้น ยาวตามเวลาที่ต้องตีระฆังบอก
เมื่อลอดผ่านหอนาฬิกา Zytglogge มาก็จะเป็นถนน Kramgasse ที่มีน้ำพุอยู่ตรงกลางถนนเป็นระยะๆ พวกเราเดินตามถนนที่สวยงามนี้มาเรื่อยๆ แวะเข้าไปเยี่ยมชมบ้านไอน์สไตน์ที่ Einstein Haus ที่วนไปมาหลายรอบหาไม่เจอต้องถามคนสวิสแถวนั้น คนสวิสเปิด GPS ให้ดูพวกเราดูตำแหน่งก่อนจะชี้บอกทางมาคร่าวๆ จนหาเจอซึ่งคนสวิสคนนั้นบอกว่าให้ดูว่าด้านล่างเป็นร้านกาแฟ ด้านในจัดแสดงแบบพิพิธภัณฑ์โดยแสดงเอกสารการเรียนของไอน์สไตน์ รวมทั้งรูปถ่ายเก่าๆ ตั้งแต่สมัยเด็กๆ สมัยเรียนหนังสือ และสมัยยังหนุ่มๆ รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ บ้านหลังนี้เป็น 1 ในบ้าน 5 หลังของไอน์สไตน์ในเบิร์น แต่มีบ้านหลังนี้เท่านั้นที่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนหลังอื่นๆ มีคนครอบครองหรือทุบทิ้งไปแล้ว ไอน์สไตน์พักอยู่ที่นี่แค่ช่วงเวลาไม่นานคือตั้งแต่ปีค.ศ.1903 ถึงประมาณเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1905 เท่านั้นแต่เป็นช่วงที่ไอน์สไตน์สร้างผลงานอันโด่งดัง คือ ทฤษฎีควอนตัมของแสงที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบล รวมทั้งทฤษฎีสัมพันธภาพที่เรารู้จักกันดี
พวกเราออกจากบ้านไอน์สไตน์ด้วยความรู้สึกดีกว่าตอนไปบ้านโมสาร์ทอาจจะเพราะรู้จักและคุ้นเคยมากกว่า พวกเราจะมุดผ่านทางเดินลอดอาคารมายังโบสถ์ Nerner Muster ซึ่งเป็นโบสถ์ประจำเมืองเบิร์นรวมทั้งเป็นโบสถ์ที่สำคัญ และใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ด้วย โบสถ์นี้เริ่มสร้างในปีค.ศ.1421 และมาเสร็จสมบูรณ์แบบที่เห็นในปัจจุบันตอนปีค.ศ.1893 แต่แบ่งการสร้างออกเป็น 2 ช่วงนะไม่ได้สร้างต่อเนื่องกัน ช่วงไม่กี่ปีก่อนที่จะเสร็จสมบูรรืเป็นการก่อสร้างส่วนของหอคอยที่สูงกว่า 100 เมตรสูงที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งหอคอยนี้เปิดให้คนทั่วไปขึ้นไปชมวิวด้านบนได้ด้วย แต่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ขาแข็งแรงเท่านั้น เพราะว่าไม่มีลิฟท์ต้องเดินขึ้นบันไดไป ด้านในโบสถ์ก็สวยงามอลังการตามสไตล์โกธิคโดยเฉพาะกระจกสีตรงหน้าต่าง
ผมกับภรรยาจ่ายค่าเดินขึ้นบันได 285 ขั้นไปคนละ 5 ฟรังสวิส บันไดที่เดินขึ้นไปก็เป็นบันไดหินวนไปมาในหอคอยที่ช่วงแรกๆ ไม่มีช่องแสงหรือช่องระบายอากาศเลย แต่พอขึ้นไปสักระยะจึงจะมีช่องแสงที่สามารถมองเห็นวิวด้านนอกได้ชัดเจนทำให้มีกำลังใจที่จะเดินขึ้นต่อไป
ตลอดเวลาที่พวกเราเดินขึ้นไปนี่ไม่มีใครเดินแซงหรือว่าเดินสวนลงมามีกันแค่ 2 คนเท่านั้น ยิ่งเดินขึ้นไปสูงๆ ยิ่งรู้สึกเสียวๆ ขาสั่นเหมือนกันนะ เพราะสูงจากพื้นดินเป็น 100 เมตร ขึ้นไปถึงด้านบนสุดเป็นทางเดินรอบยอดโบสถ์เพื่อชมวิวได้รอบทิศทาง ซึ่งเมื่อขึ้นมาถึงด้านบนแล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขตเมืองเก่าได้รับการสถาปนาเป็นเมืองมรดกโลกสมศักดิ์ศรีจริงๆ ครับ ยังมีบันไดเดินขึ้นไปอีกสำหรับคนที่ยังมีแรงเหลือ ซึ่งพวกเราก็ปีนกันขึ้นไปจนได้เพราะว่ามีป้ายติดไว้ว่าถ้ามองไปทางทิศนี้จะเห็นยอดเขาต่างๆ ของเทือกเขารวมทั้งจุงเฟราด้วย แต่พวกเราขึ้นไปตอนที่ท้องฟ้าไม่แจ่มใสเท่าที่ควรทำให้เห็นเทือกเขาได้รางๆ เท่านั้นยิ่งในกล้องถายรูปยิ่งมองแทบไม่เห็นเลย
ชื่อสินค้า:
การเดินทา'ท่องเที่ยวในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน และออสเตรียของพวกเรา 3 คน
คะแนน:
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
▼
กำลังโหลดข้อมูล...
▼
แสดงความคิดเห็น
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
ยอดเขาริกิ (Rigi kulm) ราชินีแห่งขุนเขา…กาลครั้งหนึ่งที่ได้ไปเยือนหกสุดยอดเขาของ สวิตเซอร์แลนด์ Ep1
ยอดเขาริกิ (Rigi kulm) ราชินีแห่งขุนเขา…กาลครั้งหนึ่งที่ได้ไปเยือนหกสุดยอดเขาของ สวิตเซอร์แลนด์ Ep1 บ่ายมากๆ ขณะที่กำลังถ่ายรูปอยู่ที่หอนาฬิกา เมืองซุก(Zug) เมืองเล็กๆริมทะเลสาบ ฝนก็
คน ฟ้า ป่า น้ำ
🇨🇭 {Switzerland} แวะดูพี่หมี ที่ “กรุงเบิร์น” (Bern) เดินเพลินไปทั้งวัน
สวัสดีค่ะ วันนี้จะพาไปเดินชมเมืองแบบสั้นๆที่ กรุงเบิร์น (Bern) ประเทศ Switzerland กันค่ะ . ก่อนอื่นเช่นเคยนะคะ มาดูกันว่า Bern มันอยู่ตรงส่วนไหนของประเทศสวิตเซอร์แลนด์กัน นี่เลย ตั้งอยู่เกือบกึ่งกลาง
Are you for real ?
รวมข้อมูลการเที่ยวที่สนใจ
https://pantip.com/topic/39348943 https://www.swiss-pass.ch/ รถไฟสายโรแมนติกมั้ยคะ มีอยู่ 4 สาย คือ 1.รถไฟเบอร์นิน่าเอ็กซ์เพรส (Bernina Express) -
สมาชิกหมายเลข 1429169
100 สถานที่คุณควรไป 1. ห้องน้ำสาธารณะ 2. ห้องน้ำในห้าง 3. ห้องน้ำสนามกีฬา 4. ห้องน้ำสวนสาธารณะ 5. ห้องน้ำดาดฟ้
100 สถานที่คุณควรไป 1. ห้องน้ำสาธารณะ 2. ห้องน้ำในห้าง 3. ห้องน้ำสนามกีฬา 4. ห้องน้ำสวนสาธารณะ 5. ห้องน้ำดาดฟ้าอาคาร 6. ห้องน้ำร้านกาแฟ 7. ห้องน้ำโรงแรม 8. ห้องน้ำมหาวิทยาลัย 9. ห้อง
สมาชิกหมายเลข 802627
[Munich, Germany] <3 พาเที่ยวเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมัน เสน่ห์แห่งแคว้นบาวาเรีย พร้อมวิธีการเดินทาง
มิวนิค ประเทศเยอรมัน (Munich, Germany) หรือในภาษาเยอรมันเรียกเมืองนี้ว่า มึนเซน (Munchen) เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่ามีเสน่ห์แห่งแคว้นบาวาเรียเลยค่ะ ซึ่งเป็นอีกเมืองในยุโรปที่มีบรรยากาศดีและสวยงามมากค่ะ วั
Angelic Hill
นาฬิกา ฮามิลตัน Hamilton.. จากนาฬิกาพก สู่ นาฬิกาทหาร.... ...เล่าสู่กันฟัง...
หลายๆ คนเคยได้ยิน แบรนด์ อเมริกา นาฬิกาฮามิลตัน. Hamilton ก่อตั้งขึ้นในปี 1892 ที่เมืองแลงคาสเตอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย. ในช่วงต้นยุค 1900s Hamilton ได้เป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดวิธีการบอกเวลาที่แม่
สมาชิกหมายเลข 4478942
สำรวจ “ป่าในเมือง” เส้นทางเดินศึกษาป่าชายเลนที่ยาวกว่า 7 กิโลเมตร จังหวัดระยอง
โครงการป่าชายเลนพระเจดีย์กลางน้ำ พื้นที่ป่าชายเลน 500 ไร่ที่อยู่ร่วมกับเมืองอย่างลงตัว เป็นพื้นที่สีเขียว เป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาธรรมชาติ ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และยังเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวระยอง ป่า
Kanupee
ใครเคยเจอผีที่ค่ายสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช ตำบล อุดมทรัพย์ อำเภอวังน้ำเขียว นครราชสีมา นี้บ้างครับผมพึ่งไปเจอเลย
สวัสดีครับผมชื่อปั้นนะครับเรื่องพึีงเกิดขึ้นสดๆร้อนๆเลยครับในวันที้22-23ส.ค.2568ครับ ผมได้ไปเจอเรื่องนี้มา คืนนั้น…ป่าที่สะแกราชเงียบสนิท มีเพียงเสียงจิ้งหรีดกับลมพัดเบา ๆ หอสวรรค์ลิขิตตั้งตระห
สมาชิกหมายเลข 9022283
รีวิวที่พักใกล้ถนนคนเดินพิษณุโลก @ iRiver coffee
หลังจากจบงานฌาปนกิจแล้ว จขกท.ออกจาก อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย มุ่งหน้ากรุงเทพฯ แต่ค่ำแล้วจึงอยากจะแวะเดินเที่ยวถนนคนเดินพิษณุโลก จึงได้เสริชหาที่พักใกล้ถนนคนเดิน ได้โทรติดต่อสอบถามและจองห้องพักที่ iRiver c
จินดาหรา
รบกวนช่วยดูแผนเที่ยวสวิส วันที่ 27-31 ธ.ค.68 ไปครั้งแรกหาข้อมูลจากเว็บต่าง ๆ มารวม ๆ กันขอคำแนะนำด้วยนะคะ
หากเพื่อนมีข้อมูลแนะนำสำหรับการเตรียมตัวเที่ยวช่วงนี้แนะนำได้นะคะ เล่นสกีไม่เป็นนะคะ แค่มีเวลาที่ลางานได้ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงที่มีหิมะตกหรือเปล่าและการเดินทางโดยรถไฟเป็นปกติไหมคะ ทริปที่ทำไว้อาจจะแน่น
DreamDestination
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
บันทึกนักเดินทาง
Backpack
เที่ยวต่างประเทศ
บนสุด
ล่างสุด
อ่านเฉพาะข้อความเจ้าของกระทู้
หน้า:
หน้า
จาก
แชร์ :
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ยอมรับ
[CR] เดินช้าๆ ฝ่าลมหนาวที่สวิส เยอรมัน และออสเตรีย ตอนที่ 5
เมื่อคืนวางแผนไว้ว่าวันนี้นั่งรถไฟเที่ยวเมืองต่างๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ที่ใช้เวลาเดินทางทางรถไฟไม่เกิน 2 ชั่วโมงและจะได้ใช้สวิสพาสให้คุ้มค่า เมืองเบิร์นจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะที่สุด ( จริงๆ แล้ววางแผนมาจากประเทศไทยแล้วล่ะ แหะๆ แต่มาเช็คที่นี่อีกที) จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ตั้งใจจะมานั่งเรือล่องทะเลสาปธูนกัน แต่ว่าพวกเรามาถึงที่อินเทอร์ลาเก้นช้าไปพอเข้าหน้าหนาวจะไม่มีเรือรอบเช้า ตอนทานอาหารเช้าก็เจอกับคุณพี่สองสามี – ภรรยาคู่เดิมอีกแล้วครับ วันนี้พี่เขาจะเที่ยวในอินเทอร์ลาเก้น และเดินทางไปซูริคตอนบ่ายครับ เราก็บอกว่าพวกเราจะไปเบิร์นทางรถไฟ พี่ผู้ชายแกบอกว่าถ้ามาเร็วกว่านี้สัก 3 วันก็ได้นั่งเรือไปแล้วแบบที่พวกเขาทำมาก่อนหน้านี้แล้วก็บรรยายเรื่องทิวทัศน์สองฝั่งทะเลสาปทำให้พวกเรายิ่งเสียดายไปอีก แต่พี่ผู้หญิงบอกว่าทางรถไฟก็ขนานกับทะเลสาปแหละสวยเหมือนกัน พวกเราร่ำลาพี่ทั้งสองออกเดินไปสถานีรถไฟ
พวกเราเล็งว่าจะขึ้นรถไฟรอบ 9:11 น. ไปลงที่เมืองสเปียซ โดยยืนรอไม่นานรถไฟเที่ยวที่พวกเรารอก็มา เลือกที่นั่งตามสบายเลย ขึ้นไปหาที่นั่งกันสบายเลยโดยเลือกที่นั่งฝั่งที่จะเห็นทะเลสาบธูน นั่งชมวิวเพลินๆ ไม่นานก็ถึงเมืองสเปียซ พวกเราขอแวะที่เมืองนี้แป๊บๆ เพื่อชมวิวริมทะลสาปธูนที่สวยงามซึ่งก็สวยสงบจริงๆ ในเมืองนี่แทบไม่เห็นคนเดินเลย
พวกเราแวะเข้าร้านขายเสื้อผ้ากันหนาวและติดอยู่ใน้รานจนไม่ได้เดินไปไหนต่อเลย เดินหิ้วถุงใส่หมวกกันหนาวอย่างหนาราคา 2 ฟรังสวิสออกมาขึ้นรถไฟตอน 9:50 น. เพราะรถไฟที่จะเดินทางไปเมืองเบิร์นจะมาถึงตอน 9:02 น. โดยพวกเราเลือกขึ้นรถไฟไปเมืองธูนกันก่อนเพื่อเปลี่ยนรถไฟอีกขบวนโดยมีเวลารอรถไฟขบวนต่อไปประมาณ 30 นาที ที่เมืองธูนเดินออกมานอกสถานีรถไฟเพื่อดินชมเมืองสักเล็กน้อยระหว่างรอรถไฟขบวนต่อไปรวมทั้งไปดูเรือที่พวกเราอยากจะนั่งมาจากเมืองอินเทอร์ลาเก้นสักเล็กน้อย
พอเวลา 10 โมงกว่าๆ พวกเราก็พาตัวเองมายืนรอที่ชานชาลา 2 เพื่อขึ้นรถไฟไปเมืองเบิร์นกัน เมือถึงสถานีรถไฟเมืองเบิร์นเดินขึ้นมาจากสถานีรถไฟตรงทางออกที่มา Spitalgasse เพื่อเดินเข้าไปในเขตเมืองของเมืองเบิร์นเก่ากัน และต้องการเดินไปให้สุดทางข้ามแม่น้ำไปชมสัญลักษณ์ของเมืองเบิร์นซึ่งก็คือหมีที่บ่อหมี เมื่ออกจากสถานีรถไฟฟจะเจอกับ Church of Holy Ghost
พวกเราเดินผ่านหน้าโบสถ์นี้ไปเพื่อไปยังถนน Spitalgasse ถนน Spitalgasse นี้เป็นถนนคนเดินที่อนุญาตให้รถรางวิ่งไปมาเท่านั้นแต่ก็ต้องระมัดระวังกันด้วยเพราะรถรางมากันถี่ใช่เล่น และวิ่งกันค่อนข้างเร็วด้วย บนถนนนี้มีน้ำพุตั้งอยู่ซึ่งช่วยเพิ่มบรรยากาศความน่าสนใจกับเสริมบรรยากาศเข้ากับอาคารที่เรียงรายตลอดสองฝั่งถนน เมืองเบิร์นมีชื่อเล่นอีกชื่อว่า “เมือง 100 น้ำพุ” เพราะมีน้ำพุเยอะจริงๆ เมืองนี้ แต่ไม่รู้ถึง 100 แห่งมั้ยนะไม่มีเวลานับเหมือนกัน
จริงๆ แล้วการไปเขตเมืองเก่าสามารถนั่งรถรางไปได้แต่พวกเราเลือกที่จะเดินไปและนั่งรถรางกลับมา เพราะว่าจะได้แวะสถานที่ต่างๆ หรือว่าเดินชมบรรยากาศได้สบายๆ ก่อนจะนั่งพักขากลับมาที่สถานีรถไฟ พวกเราสามคนเดินตามแผนที่ที่เตรียมมาจากประเทศไทย เมืองเบิร์นเป็นเมืองหลวงที่อาภัพนักเพราะไม่ค่อยมีคนรู้จักมากเท่าเมืองซูริค สนามบินที่นี่ก็เล็กกว่าซูริคมากนัก เขตเมืองเก่าของเบิร์นที่สร้างมาตั้งแต่สมัยยุคกลางและปัจจุบันยังมีทั้งประตูเมือง หอคอย หอนาฬิกา ที่ได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดีจนได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกจากยูเนสโกด้วย สองข้างทางของถนน Spitalgasse เป็นร้านค้าแบรนด์เนมทั้งนั้นน่าจะถูกใจขาช็อปทั้งหลาย แต่พวกเราขอเดินผ่านเฉยๆ ละกัน เดินมาถึงประตูเมืองเก่า Kafigturm จึงจะเห็นตลาดนัดเล็กๆ ที่ขายผลไม้ ดอกไม้ และของพื้นเมืองหลายอย่าง อยู่ตรงที่ว่างสองฟากฝั่งของประตูเมืองนี้
พวกเราเดินลอดประตูเมืองเก่าที่ครั้งหนึ่งเคยถูกใช้เป็นคุกขังนักโทษอยู่หลายสิบปีบนประตูมีนาฬิกา และเมื่อเดินลอดประตูมาจะเป็นถนน Marktgasse ที่ยังคงเป็นถนนคนเดินเช่นเดิมแต่ที่เพิ่มเติมคือ มีร้านค้าขนาดเล็กที่อยู่ชั้นใต้ดินใต้อาคารทั้งสองฝั่งถนนนี้โดยทางเข้าจะเป็นบันไดลงไปด้านล่าง บางร้านก็มีการตั้งหุ่นโชว์เสื้อผ้า หรือตู้โชว์สินค้าด้านบนเพื่อบ่งบอกว่าร้านของตนเองนั้นขายอะไรรวมทั้งเป็นการสร้างความน่าสนใจให้กับคนที่เดินผ่านไปมา
นอกจากนี้ยังมีร้านค้าแบรนด์เนม ร้านอาหาร ร้านกาแฟเก๋ๆ อีกหลายร้านเรียงรายอยู่ตลอดสองฝั่งถนนนี้ ซึ่งถ้ารวมความยาวของถนนคนเดินทั้ง Spitagasse กับ Maktgasse จะได้ประมาณ 6 กิโลเมตรพอดีอาจจะเป็นถนนสายช็อปปิ้งหรือถนนคนเดินที่ยาวมากๆ สายหนึ่งในโลก อีกหนึ่งสถานที่ห้ามพลาดบนถนน Maktgasse คือหอนาฬิกาดาราศาสตร์ Zytglogge ที่สร้างขึ้นในปีค.ศ.1530 (พ.ศ.2073) ซึ่งแรกเริ่มสร้างเพื่อเป็นประตูเมืองแต่เมื่อเมืองขยายออกไปจึงปรับมาเป็นหอนาฬิกาแทน แต่หอปัจจุบันนั้นสร้างขึ้นแทนหอเดิมที่โดนไฟไหม้จนเสียหายไปหมด ที่ด้านล่างหอนาฬิกามีเครื่องชั่งน้ำหนักแบบโบราณจัดแสดงอยู่ด้วย หอนาฬิกานี้จะมีตุ๊กตาออกมาเต้นระบำทุกชั่วโมงแต่เป็นการเต้นตามจังหวะการตีของนาฬิกา ดังนั้น การเต้นของตุ๊กตาจะสั้น ยาวตามเวลาที่ต้องตีระฆังบอก
เมื่อลอดผ่านหอนาฬิกา Zytglogge มาก็จะเป็นถนน Kramgasse ที่มีน้ำพุอยู่ตรงกลางถนนเป็นระยะๆ พวกเราเดินตามถนนที่สวยงามนี้มาเรื่อยๆ แวะเข้าไปเยี่ยมชมบ้านไอน์สไตน์ที่ Einstein Haus ที่วนไปมาหลายรอบหาไม่เจอต้องถามคนสวิสแถวนั้น คนสวิสเปิด GPS ให้ดูพวกเราดูตำแหน่งก่อนจะชี้บอกทางมาคร่าวๆ จนหาเจอซึ่งคนสวิสคนนั้นบอกว่าให้ดูว่าด้านล่างเป็นร้านกาแฟ ด้านในจัดแสดงแบบพิพิธภัณฑ์โดยแสดงเอกสารการเรียนของไอน์สไตน์ รวมทั้งรูปถ่ายเก่าๆ ตั้งแต่สมัยเด็กๆ สมัยเรียนหนังสือ และสมัยยังหนุ่มๆ รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ บ้านหลังนี้เป็น 1 ในบ้าน 5 หลังของไอน์สไตน์ในเบิร์น แต่มีบ้านหลังนี้เท่านั้นที่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนหลังอื่นๆ มีคนครอบครองหรือทุบทิ้งไปแล้ว ไอน์สไตน์พักอยู่ที่นี่แค่ช่วงเวลาไม่นานคือตั้งแต่ปีค.ศ.1903 ถึงประมาณเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1905 เท่านั้นแต่เป็นช่วงที่ไอน์สไตน์สร้างผลงานอันโด่งดัง คือ ทฤษฎีควอนตัมของแสงที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบล รวมทั้งทฤษฎีสัมพันธภาพที่เรารู้จักกันดี
พวกเราออกจากบ้านไอน์สไตน์ด้วยความรู้สึกดีกว่าตอนไปบ้านโมสาร์ทอาจจะเพราะรู้จักและคุ้นเคยมากกว่า พวกเราจะมุดผ่านทางเดินลอดอาคารมายังโบสถ์ Nerner Muster ซึ่งเป็นโบสถ์ประจำเมืองเบิร์นรวมทั้งเป็นโบสถ์ที่สำคัญ และใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ด้วย โบสถ์นี้เริ่มสร้างในปีค.ศ.1421 และมาเสร็จสมบูรณ์แบบที่เห็นในปัจจุบันตอนปีค.ศ.1893 แต่แบ่งการสร้างออกเป็น 2 ช่วงนะไม่ได้สร้างต่อเนื่องกัน ช่วงไม่กี่ปีก่อนที่จะเสร็จสมบูรรืเป็นการก่อสร้างส่วนของหอคอยที่สูงกว่า 100 เมตรสูงที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งหอคอยนี้เปิดให้คนทั่วไปขึ้นไปชมวิวด้านบนได้ด้วย แต่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ขาแข็งแรงเท่านั้น เพราะว่าไม่มีลิฟท์ต้องเดินขึ้นบันไดไป ด้านในโบสถ์ก็สวยงามอลังการตามสไตล์โกธิคโดยเฉพาะกระจกสีตรงหน้าต่าง
ผมกับภรรยาจ่ายค่าเดินขึ้นบันได 285 ขั้นไปคนละ 5 ฟรังสวิส บันไดที่เดินขึ้นไปก็เป็นบันไดหินวนไปมาในหอคอยที่ช่วงแรกๆ ไม่มีช่องแสงหรือช่องระบายอากาศเลย แต่พอขึ้นไปสักระยะจึงจะมีช่องแสงที่สามารถมองเห็นวิวด้านนอกได้ชัดเจนทำให้มีกำลังใจที่จะเดินขึ้นต่อไป
ตลอดเวลาที่พวกเราเดินขึ้นไปนี่ไม่มีใครเดินแซงหรือว่าเดินสวนลงมามีกันแค่ 2 คนเท่านั้น ยิ่งเดินขึ้นไปสูงๆ ยิ่งรู้สึกเสียวๆ ขาสั่นเหมือนกันนะ เพราะสูงจากพื้นดินเป็น 100 เมตร ขึ้นไปถึงด้านบนสุดเป็นทางเดินรอบยอดโบสถ์เพื่อชมวิวได้รอบทิศทาง ซึ่งเมื่อขึ้นมาถึงด้านบนแล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขตเมืองเก่าได้รับการสถาปนาเป็นเมืองมรดกโลกสมศักดิ์ศรีจริงๆ ครับ ยังมีบันไดเดินขึ้นไปอีกสำหรับคนที่ยังมีแรงเหลือ ซึ่งพวกเราก็ปีนกันขึ้นไปจนได้เพราะว่ามีป้ายติดไว้ว่าถ้ามองไปทางทิศนี้จะเห็นยอดเขาต่างๆ ของเทือกเขารวมทั้งจุงเฟราด้วย แต่พวกเราขึ้นไปตอนที่ท้องฟ้าไม่แจ่มใสเท่าที่ควรทำให้เห็นเทือกเขาได้รางๆ เท่านั้นยิ่งในกล้องถายรูปยิ่งมองแทบไม่เห็นเลย