[CR] เดินช้าๆ ฝ่าลมหนาวที่สวิส เยอรมัน และออสเตรีย ตอนที่ 5

16.    เบิร์น เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์

เมื่อคืนวางแผนไว้ว่าวันนี้นั่งรถไฟเที่ยวเมืองต่างๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ที่ใช้เวลาเดินทางทางรถไฟไม่เกิน 2 ชั่วโมงและจะได้ใช้สวิสพาสให้คุ้มค่า เมืองเบิร์นจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะที่สุด ( จริงๆ แล้ววางแผนมาจากประเทศไทยแล้วล่ะ แหะๆ แต่มาเช็คที่นี่อีกที) จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ตั้งใจจะมานั่งเรือล่องทะเลสาปธูนกัน แต่ว่าพวกเรามาถึงที่อินเทอร์ลาเก้นช้าไปพอเข้าหน้าหนาวจะไม่มีเรือรอบเช้า ตอนทานอาหารเช้าก็เจอกับคุณพี่สองสามี – ภรรยาคู่เดิมอีกแล้วครับ วันนี้พี่เขาจะเที่ยวในอินเทอร์ลาเก้น และเดินทางไปซูริคตอนบ่ายครับ เราก็บอกว่าพวกเราจะไปเบิร์นทางรถไฟ พี่ผู้ชายแกบอกว่าถ้ามาเร็วกว่านี้สัก 3 วันก็ได้นั่งเรือไปแล้วแบบที่พวกเขาทำมาก่อนหน้านี้แล้วก็บรรยายเรื่องทิวทัศน์สองฝั่งทะเลสาปทำให้พวกเรายิ่งเสียดายไปอีก แต่พี่ผู้หญิงบอกว่าทางรถไฟก็ขนานกับทะเลสาปแหละสวยเหมือนกัน พวกเราร่ำลาพี่ทั้งสองออกเดินไปสถานีรถไฟ

พวกเราเล็งว่าจะขึ้นรถไฟรอบ 9:11 น. ไปลงที่เมืองสเปียซ โดยยืนรอไม่นานรถไฟเที่ยวที่พวกเรารอก็มา เลือกที่นั่งตามสบายเลย ขึ้นไปหาที่นั่งกันสบายเลยโดยเลือกที่นั่งฝั่งที่จะเห็นทะเลสาบธูน นั่งชมวิวเพลินๆ ไม่นานก็ถึงเมืองสเปียซ พวกเราขอแวะที่เมืองนี้แป๊บๆ เพื่อชมวิวริมทะลสาปธูนที่สวยงามซึ่งก็สวยสงบจริงๆ ในเมืองนี่แทบไม่เห็นคนเดินเลย



พวกเราแวะเข้าร้านขายเสื้อผ้ากันหนาวและติดอยู่ใน้รานจนไม่ได้เดินไปไหนต่อเลย เดินหิ้วถุงใส่หมวกกันหนาวอย่างหนาราคา 2 ฟรังสวิสออกมาขึ้นรถไฟตอน 9:50 น. เพราะรถไฟที่จะเดินทางไปเมืองเบิร์นจะมาถึงตอน 9:02 น. โดยพวกเราเลือกขึ้นรถไฟไปเมืองธูนกันก่อนเพื่อเปลี่ยนรถไฟอีกขบวนโดยมีเวลารอรถไฟขบวนต่อไปประมาณ 30 นาที ที่เมืองธูนเดินออกมานอกสถานีรถไฟเพื่อดินชมเมืองสักเล็กน้อยระหว่างรอรถไฟขบวนต่อไปรวมทั้งไปดูเรือที่พวกเราอยากจะนั่งมาจากเมืองอินเทอร์ลาเก้นสักเล็กน้อย







พอเวลา 10 โมงกว่าๆ พวกเราก็พาตัวเองมายืนรอที่ชานชาลา 2 เพื่อขึ้นรถไฟไปเมืองเบิร์นกัน เมือถึงสถานีรถไฟเมืองเบิร์นเดินขึ้นมาจากสถานีรถไฟตรงทางออกที่มา Spitalgasse เพื่อเดินเข้าไปในเขตเมืองของเมืองเบิร์นเก่ากัน และต้องการเดินไปให้สุดทางข้ามแม่น้ำไปชมสัญลักษณ์ของเมืองเบิร์นซึ่งก็คือหมีที่บ่อหมี เมื่ออกจากสถานีรถไฟฟจะเจอกับ Church of Holy Ghost



พวกเราเดินผ่านหน้าโบสถ์นี้ไปเพื่อไปยังถนน Spitalgasse ถนน Spitalgasse นี้เป็นถนนคนเดินที่อนุญาตให้รถรางวิ่งไปมาเท่านั้นแต่ก็ต้องระมัดระวังกันด้วยเพราะรถรางมากันถี่ใช่เล่น และวิ่งกันค่อนข้างเร็วด้วย บนถนนนี้มีน้ำพุตั้งอยู่ซึ่งช่วยเพิ่มบรรยากาศความน่าสนใจกับเสริมบรรยากาศเข้ากับอาคารที่เรียงรายตลอดสองฝั่งถนน เมืองเบิร์นมีชื่อเล่นอีกชื่อว่า “เมือง 100 น้ำพุ” เพราะมีน้ำพุเยอะจริงๆ เมืองนี้ แต่ไม่รู้ถึง 100 แห่งมั้ยนะไม่มีเวลานับเหมือนกัน



จริงๆ แล้วการไปเขตเมืองเก่าสามารถนั่งรถรางไปได้แต่พวกเราเลือกที่จะเดินไปและนั่งรถรางกลับมา เพราะว่าจะได้แวะสถานที่ต่างๆ หรือว่าเดินชมบรรยากาศได้สบายๆ ก่อนจะนั่งพักขากลับมาที่สถานีรถไฟ พวกเราสามคนเดินตามแผนที่ที่เตรียมมาจากประเทศไทย เมืองเบิร์นเป็นเมืองหลวงที่อาภัพนักเพราะไม่ค่อยมีคนรู้จักมากเท่าเมืองซูริค สนามบินที่นี่ก็เล็กกว่าซูริคมากนัก เขตเมืองเก่าของเบิร์นที่สร้างมาตั้งแต่สมัยยุคกลางและปัจจุบันยังมีทั้งประตูเมือง หอคอย หอนาฬิกา ที่ได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดีจนได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกจากยูเนสโกด้วย สองข้างทางของถนน Spitalgasse เป็นร้านค้าแบรนด์เนมทั้งนั้นน่าจะถูกใจขาช็อปทั้งหลาย แต่พวกเราขอเดินผ่านเฉยๆ ละกัน เดินมาถึงประตูเมืองเก่า Kafigturm จึงจะเห็นตลาดนัดเล็กๆ ที่ขายผลไม้ ดอกไม้ และของพื้นเมืองหลายอย่าง อยู่ตรงที่ว่างสองฟากฝั่งของประตูเมืองนี้





พวกเราเดินลอดประตูเมืองเก่าที่ครั้งหนึ่งเคยถูกใช้เป็นคุกขังนักโทษอยู่หลายสิบปีบนประตูมีนาฬิกา และเมื่อเดินลอดประตูมาจะเป็นถนน Marktgasse ที่ยังคงเป็นถนนคนเดินเช่นเดิมแต่ที่เพิ่มเติมคือ มีร้านค้าขนาดเล็กที่อยู่ชั้นใต้ดินใต้อาคารทั้งสองฝั่งถนนนี้โดยทางเข้าจะเป็นบันไดลงไปด้านล่าง บางร้านก็มีการตั้งหุ่นโชว์เสื้อผ้า หรือตู้โชว์สินค้าด้านบนเพื่อบ่งบอกว่าร้านของตนเองนั้นขายอะไรรวมทั้งเป็นการสร้างความน่าสนใจให้กับคนที่เดินผ่านไปมา







นอกจากนี้ยังมีร้านค้าแบรนด์เนม ร้านอาหาร ร้านกาแฟเก๋ๆ อีกหลายร้านเรียงรายอยู่ตลอดสองฝั่งถนนนี้ ซึ่งถ้ารวมความยาวของถนนคนเดินทั้ง Spitagasse กับ Maktgasse จะได้ประมาณ 6 กิโลเมตรพอดีอาจจะเป็นถนนสายช็อปปิ้งหรือถนนคนเดินที่ยาวมากๆ สายหนึ่งในโลก อีกหนึ่งสถานที่ห้ามพลาดบนถนน Maktgasse คือหอนาฬิกาดาราศาสตร์ Zytglogge ที่สร้างขึ้นในปีค.ศ.1530 (พ.ศ.2073) ซึ่งแรกเริ่มสร้างเพื่อเป็นประตูเมืองแต่เมื่อเมืองขยายออกไปจึงปรับมาเป็นหอนาฬิกาแทน แต่หอปัจจุบันนั้นสร้างขึ้นแทนหอเดิมที่โดนไฟไหม้จนเสียหายไปหมด ที่ด้านล่างหอนาฬิกามีเครื่องชั่งน้ำหนักแบบโบราณจัดแสดงอยู่ด้วย หอนาฬิกานี้จะมีตุ๊กตาออกมาเต้นระบำทุกชั่วโมงแต่เป็นการเต้นตามจังหวะการตีของนาฬิกา ดังนั้น การเต้นของตุ๊กตาจะสั้น ยาวตามเวลาที่ต้องตีระฆังบอก



เมื่อลอดผ่านหอนาฬิกา Zytglogge มาก็จะเป็นถนน Kramgasse ที่มีน้ำพุอยู่ตรงกลางถนนเป็นระยะๆ พวกเราเดินตามถนนที่สวยงามนี้มาเรื่อยๆ แวะเข้าไปเยี่ยมชมบ้านไอน์สไตน์ที่ Einstein Haus ที่วนไปมาหลายรอบหาไม่เจอต้องถามคนสวิสแถวนั้น คนสวิสเปิด GPS ให้ดูพวกเราดูตำแหน่งก่อนจะชี้บอกทางมาคร่าวๆ จนหาเจอซึ่งคนสวิสคนนั้นบอกว่าให้ดูว่าด้านล่างเป็นร้านกาแฟ ด้านในจัดแสดงแบบพิพิธภัณฑ์โดยแสดงเอกสารการเรียนของไอน์สไตน์ รวมทั้งรูปถ่ายเก่าๆ ตั้งแต่สมัยเด็กๆ สมัยเรียนหนังสือ และสมัยยังหนุ่มๆ รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ บ้านหลังนี้เป็น 1 ในบ้าน 5 หลังของไอน์สไตน์ในเบิร์น แต่มีบ้านหลังนี้เท่านั้นที่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนหลังอื่นๆ มีคนครอบครองหรือทุบทิ้งไปแล้ว ไอน์สไตน์พักอยู่ที่นี่แค่ช่วงเวลาไม่นานคือตั้งแต่ปีค.ศ.1903 ถึงประมาณเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1905 เท่านั้นแต่เป็นช่วงที่ไอน์สไตน์สร้างผลงานอันโด่งดัง คือ ทฤษฎีควอนตัมของแสงที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบล รวมทั้งทฤษฎีสัมพันธภาพที่เรารู้จักกันดี







พวกเราออกจากบ้านไอน์สไตน์ด้วยความรู้สึกดีกว่าตอนไปบ้านโมสาร์ทอาจจะเพราะรู้จักและคุ้นเคยมากกว่า พวกเราจะมุดผ่านทางเดินลอดอาคารมายังโบสถ์ Nerner Muster ซึ่งเป็นโบสถ์ประจำเมืองเบิร์นรวมทั้งเป็นโบสถ์ที่สำคัญ และใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ด้วย โบสถ์นี้เริ่มสร้างในปีค.ศ.1421 และมาเสร็จสมบูรณ์แบบที่เห็นในปัจจุบันตอนปีค.ศ.1893 แต่แบ่งการสร้างออกเป็น 2 ช่วงนะไม่ได้สร้างต่อเนื่องกัน ช่วงไม่กี่ปีก่อนที่จะเสร็จสมบูรรืเป็นการก่อสร้างส่วนของหอคอยที่สูงกว่า 100 เมตรสูงที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งหอคอยนี้เปิดให้คนทั่วไปขึ้นไปชมวิวด้านบนได้ด้วย แต่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ขาแข็งแรงเท่านั้น เพราะว่าไม่มีลิฟท์ต้องเดินขึ้นบันไดไป  ด้านในโบสถ์ก็สวยงามอลังการตามสไตล์โกธิคโดยเฉพาะกระจกสีตรงหน้าต่าง





ผมกับภรรยาจ่ายค่าเดินขึ้นบันได 285 ขั้นไปคนละ 5 ฟรังสวิส บันไดที่เดินขึ้นไปก็เป็นบันไดหินวนไปมาในหอคอยที่ช่วงแรกๆ ไม่มีช่องแสงหรือช่องระบายอากาศเลย แต่พอขึ้นไปสักระยะจึงจะมีช่องแสงที่สามารถมองเห็นวิวด้านนอกได้ชัดเจนทำให้มีกำลังใจที่จะเดินขึ้นต่อไป



ตลอดเวลาที่พวกเราเดินขึ้นไปนี่ไม่มีใครเดินแซงหรือว่าเดินสวนลงมามีกันแค่ 2 คนเท่านั้น ยิ่งเดินขึ้นไปสูงๆ ยิ่งรู้สึกเสียวๆ ขาสั่นเหมือนกันนะ เพราะสูงจากพื้นดินเป็น 100 เมตร ขึ้นไปถึงด้านบนสุดเป็นทางเดินรอบยอดโบสถ์เพื่อชมวิวได้รอบทิศทาง ซึ่งเมื่อขึ้นมาถึงด้านบนแล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขตเมืองเก่าได้รับการสถาปนาเป็นเมืองมรดกโลกสมศักดิ์ศรีจริงๆ ครับ ยังมีบันไดเดินขึ้นไปอีกสำหรับคนที่ยังมีแรงเหลือ ซึ่งพวกเราก็ปีนกันขึ้นไปจนได้เพราะว่ามีป้ายติดไว้ว่าถ้ามองไปทางทิศนี้จะเห็นยอดเขาต่างๆ ของเทือกเขารวมทั้งจุงเฟราด้วย แต่พวกเราขึ้นไปตอนที่ท้องฟ้าไม่แจ่มใสเท่าที่ควรทำให้เห็นเทือกเขาได้รางๆ เท่านั้นยิ่งในกล้องถายรูปยิ่งมองแทบไม่เห็นเลย



ชื่อสินค้า:   การเดินทา'ท่องเที่ยวในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน และออสเตรียของพวกเรา 3 คน
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่