ช่วยติชมการบรรยายหน่อยครับกังวลมาก พึ่งแต่งเรื่องแรก กลัวว่าจะบรรยายวกไปวนมาเกินไปหรือป่าว
ผีเสื้อสีเหลืองอร่ามโบยบินมาหยุดที่ใบไม้เบื้องหน้าผม ยามค่ำคืน อะไรบางอย่างดลใจให้ผมเอื้อมมือไปจับมัน
มือของผมยื่นออกไปสู่เบื้องหน้าผ่านโลก4มิติ ที่ประกอบด้วยกว้างxยาวxสูง และดำเนินไปภายใต้เวลา จากปัจจุบันสู่อนาคต และจากจุดๆนี้ผมยื่นมือไปสู่อนาคตที่มีผีเสื้อเป็นจุดหมาย ผมสงสัยเหลือเกินว่า เราก้าวเข้ามาอยู่ ณ ดินแดนแห่งนี้ได้ยังไง มันเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์ และถ้าคุณนึกไม่ออก ลองจินตนาการว่าคุณนั่งดูภาพยนตร์และสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยตัวเอกของเรื่องได้ มันมหัศจรรย์ใช่ไหม แต่ความรู้สึกของผมมันยิ่งกว่า
อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แม้ว่าเราจะกำหนดไว้แล้ว ผีเสื้อก็เช่นกัน เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่มือของผมจะเอื้อมไปแตะโดนตัวมัน มันกระโดดขึ้นจากใบไม้และโบยบินอีกครั้ง ทิ้งห่างผมออกไปเรื่อย จนผมอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นตามมันไป มันบินต่อไปอย่างใจเย็น ในขณะที่ผมกำลังวิ่งตาม วิ่งมาไกลจนผมไม่รู้ว่าขณะนี้ตัวผมอยู่ที่ไหน มันเป็นอุโมงค์ทอดยาวจนไม่รู้ระยะทางที่แน่ชัด มีเพียงแสงสว่างเจิดจรัสที่อีกฝาก ผมเงยหน้าขึ้นมองผีเสื้อและพบว่า ภายในอุโมงค์นี้มีผีเสื้ออีกมากมายเหลือเกิน มากเสียจนผมจำผีเสื้อตัวนั้นไม่ได้แล้ว ผมสับสนและมองหาทางออก ผมไม่น่าเลย ไม่น่าตามมันมา ในขณะที่ผมกำลังหันซ้ายหันขวา เสียงของอะไรบางอย่างวิ่งตรงมาจากอีกฝากของอุโมงค์ แหวกฝูงผีเสื้อนับร้อยให้แตกออกอย่างไม่เป็นระเบียบ มันเป็นเสียงของแตรรถไฟ ดังควบคู่มากับแสงสีขาวที่กำลังวิ่งมุ่งหน้ามาทางผม ใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น แสงสว่างทำให้ผมต้องยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาบังตา บัดนี้แสงสว่างได้เข้ามาแทนฝูงผีเสื้อและทุกสิ่ง
Hello,Hello,Hello,How Low !
เสียงเพลงร็อคยุค80 ทะลุผ่านฝันชั้นที่ลึกที่สุด เพื่อดึงผมกลับมาในโลกแห่งความเป็นจริง และมันคงเป็นที่มาของเสียงรถไฟในอุโมงค์นั้น มันไม่ใช่เสียงของนาฬิกาปลุกที่ผมตั้งเอาไว้ตอน8โมง แต่มันเป็นเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ผม ผมงัวเงีย และ หัวเสียนิดหน่อย ก่อนจะเอื้อมมือไปควานหาโทรศัพท์ที่โต๊ะโคมไฟข้างเตียง เมื่อผมหยิบได้ก็กดรับทันที ไม่แม้แต่จะลืมตาดูชื่อของคนที่โทรเข้ามา
“คุณ…คุณหมออดัมใช่ไหมคะ” เสียงของใครบางคนขาดๆหายๆ และดูวิตกดังออกมาจากโทรศัพท์ มันทำให้ผมต้องขยับตัวขึ้นนั่ง และเอามืออีกข้างขยี้ตาเพื่อสลัดความงัวเงีย ด้วยกลัวว่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วน
“เอ่อ ใช่ครับ มีอะไรหรือป่าว” ผมตอบกลับ
“คุณหมออดัมคะ แมค แย่แล้ว! ได้โปรดมาที่ โรงพยาบาลด่วน” เสียงจากปลายสายปนสะอื้น ผมรีบตอบตกลงเพราะแมคเป็นคนไข้ที่ผมเป็นห่วงมากที่สุด เขาเป็นเด็กวัย12ที่ผมคิดว่า เขากำลังสับสนในหลายเรื่อง และเรื่องที่ผมเป็นห่วงมากที่สุด คือเขากำลังคิดว่า
‘เขาถูกคุกคามโดย ซาตาน!’
แสงไฟจากเกาะแมนฮัตตันรอดผ่านกระจกบานใหญ่ของห้องผม บนชั้น19 มันเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหลแม้ในเวลาตี3:49นาที ผมรีบร้อนขณะใส่โค้ทยาวสีน้ำตาลกับรองเท้าหนัง ไม่ลืมที่จะคว้ากระเป๋าทำงานไปด้วย ผมวิ่งตรงไปที่ลิฟท์ที่บัดนี้ระหว่างทางเดินมีแต่ความเงียบงัน และกดมันไปที่ชั้นใต้ดิน เพื่อไปยังรถของผม
ทันทีที่รถของผมรอดผ่านประตูทางออกของอาคาร และแล่นสู่ถนน ฝนเม็ดแรกก็ล่วงหล่นลงมา และดูจะหนักขึ้นเรื่อยๆราวกับว่า รู้เรื่องราวที่ผมกำลังจะไปเผชิญ รถของผมแล่นไปตามถนนเรื่อยๆ ไฟสีส้มที่สูงขึ้นไปเรียงตัวกันยาวไปตลอดทาง คนเร่ร่อนที่ข้างถนนบางคนตื่นแล้วและกำลังจัดการกับถังขยะสาธารณะ เพียงไม่กี่อึดใจรถของผมก็เคลื่อนมาหยุดลงหน้าโรงพยาบาล บรุกลิน พร้อมๆกับฝนที่ดูเหมือนจะชะลอลง
ผมวิ่งตรงไปที่แผนกฉุกเฉินผ่านเคานท์เตอร์รับยา และห้องตรวจต่างที่ร้างไร้ผู้คน มีเพียงความมืดที่โดนไฟจากทางเดินเจือจางจนกลายเป็นสีเทา อยู่หลังกระจก เก้าอี้ทุกตัวว่างป่าว แต่ภาพผู้ป่วยที่พลุกพล่านกลับผุดขึ้นมาในหัวผมและค่อยจางหายไป ก่อนผมจะมาหยุดที่ประตูหน้าห้องฉุกเฉิน ผมก้มหน้าและถอนหายใจ ก่อนจะตัดสินใจผลักประตูเข้าไป
หญิงผมสีทองวัย30กว่าๆที่ผมคุ้นหน้า นั่งกุมขมับอยู่ตรงที่นั่งสำหรับญาติผู้ป่วย ผมสังเกตเห็นคนป่วยหลายคนกำลังนอนทรมานอยู่บนเตียง แต่ผมมองไม่เห็นแม็ค คนป่วยส่วนมากที่อยู่ในห้องนี้ล้วนประสบอุบัติเหตุและเมาจนขาดสติบางคนมีเลือดที่ใบหน้าและดูใกล้ความตาย พยาบาลและหมอส่วนหนึ่งกำลังวุ่น และบางคนแค่นั่งเล่นเฟสบุ๊ค ซูซาน คือหญิงผมสีทองที่ผมพูดถึง และเธอคือแม่ของแม็ค ความวิตกกังวลแสดงออกมาบนใบหน้าควบคู่กับน้ำตาเล็กน้อยที่คลออยู่บริเวณรอบดวงตา ปากของเธองึมงำอะไรบางอย่างคล้ายกับกำลังสวดมนต์ แต่เชื่อผมเถอะ ผมมองไม่เห็นพระเจ้าอยู่ที่นี่
ผมเดินไปแตะไหล่เธอเบาๆ ก่อนจะเรียกเธอ“ซูซาน”เธอไม่ได้ยิน “คุณซูซานครับ” ผมแตะไหล่เธอแรงขึ้นอีก และเสียงของผมคงจะดึงเธอออกจากภวังค์ เธอเงยหน้าขึ้นมองผมเป็นจังหวะเดียวกับที่น้ำตาของเธอทิ้งตัวลงมาตามแนวแก้ม เธอดูสับสนและหดหู่ สายตาเธอดูลังเล มือของเธอสั่นเทาราวกับหัวใจกำลังจะแหลกสลาย และแล้วเสียงที่ดูสิ้นหวังของเธอก็เปล่งออกมา
“เอ่อ…คือ”เธอสะอื้น “ฉันไม่รู้ว่า…ทำไมถึงโทรเรียกคุณแต่…”ซูซานหยุดพูด และถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอไม่แม้แต่จะมองหน้าผม
“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่ของผม” ผมกล่าว
“ฉันรู้..ว่าเราควรจะเชื่อคุณแต่…พ่อของเขาไม่”เธอพูดติดๆขัดๆ “เรากลัวว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นซักวัน”หลังจากคำพูดเธอร้องไห้อย่างหนักแล้วยกมือขึ้นกุมขมับ ผมไม่เร่งร้อนที่จะถามเธอต่อถึงแม้ว่าตอนนี้ผมอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม็คเต็มที ผมยกมือขึ้นสัมผัสตัวที่แดงก่ำของเธอ หลังจากนั้นไม่ถึงนาที เธอสูดหายใจอย่างแรงจนเต็มปอดเพื่อเรียกสติกลับคืน และกล่าวต่อ “แม็คก้าวร้าวขึ้นทุกวันหลังจากที่เราไม่ได้พาเขามาหาคุณ จนกระทั่ง”เธอสะอื้นและหน้าเสียเล็กน้อย แต่ยังพอมีสติ “คืนนี้ พ่อของเขาได้ยินเสียงบางอย่างในห้องครัวและลงไปดู แม็คกำลังถือมีด….”เธอหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อตั้งสติและกลั้นน้ำตาเอาไว้
“เขาใช้มีดทำครัวแทงที่ท้องพ่อของเขาหลายครั้ง และอ้างว่าซาตานเป็นคนสั่ง”
หลังจากคำพูดที่ดูยาวนานนับชั่วโมงของเธอ น้ำตาของผู้เป็นแม่และภรรยาก็หลั่งไหลออกมาไม่ขาดสายจนแทบจะเป็นสายเลือด คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวผม แต่ยังไม่ใช่ในเวลานี้ที่ผมจะถามเธอ อย่างน้อยก็ควรให้เธอตั้งสติได้ก่อน
เข็มของนาฬิกาค่อยๆเดินไปอย่างช้าๆบนแป้นวงกลม แต่เวลานั้นผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ เห็นเพียงแสงจางๆของดวงอาทิตย์ที่ปลายขอบฟ้าทางทิศตะวันออก มันจะใช่แสงแห่งความหวังสำหรับครอบครัวของซูซานหรือป่าว
ฝนที่หยุดตกไปพักใหญ่ ทิ้งหยดน้ำเล็กๆไว้บนบานกระจกของห้องฉุกเฉิน ผมนั่งครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องของแม็คตลอดระยะเวลาที่แสนจะยาวนานในความรู้สึก ความรู้สึกผิดเริ่มพลั่งพลูออกมาแทนคำว่าหน้าที่ ผมควรจะรักษาเขาให้ได้ ก่อนที่พวกเขาจะหมดความมั่นใจในตัวผม และหันไปพึ่งบาทหลวงจากโบสถ์คาทอลิค ผมไม่ทราบว่าตอนนี้แม็คอยู่ที่ไหนแต่หลังจากนี้ เขาอาจถูกนักสังคมสงเคราะห์ส่งไปรักษาในโรงพยาบาลทางด้านจิตเวชโดยตรง
ซูซานนั่งอยู่ที่เดิม ความเย็นของแอร์ในโรงพยาบาลเอกชนทำให้เธอขดตัวเป็นกุ้ง สายตาเหม่อลอยจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง สู่ท้องฟ้าสีขมุกขมัว ราวกับว่ากำลังมองหาพระเจ้าหลังก้อนเมฆสีเทา ผมคลายมือที่กุมกันแน่นในขณะที่คิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อเห็นอาการสั่นเทาของซูซาน ผมหยิบเสื้อโค้ทตัวยาวที่ถอดมันออกมาสักครู่หนึ่งแล้ว ลุกขึ้นไป และใช้มันคลุมตัวเธอ อาการสั่นเทาเบาบางลง เธอเงยหน้าขึ้นมาและยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก ถึงจะเป็นรอยยิ้มแรกในหลายชั่วโมง แต่มันกลับเป็นรอยยิ้มที่ดูทุกข์ใจเป็นที่สุด
“แล้วตอนนี้ แม็ค อยู่ไหนครับ” ผมเอ่ยถามเธอ
“เขาปลอดภัยดีที่ สถานีตำรวจ ” เธอกล่าว “ตำรวจไม่ได้ขังเขา เพียงแต่ช่วยสงบสติอารมณ์ เขาเองก็ไม่เชื่อสิ่งที่เขาทำลงไป”
หลังจากเธอพูดจบ ผมสังเกตเห็นชายในชุดกาวน์สีขาวกำลังซุบซิบอะไรบางอย่างกับพยาบาล และสีหน้าพวกเขาดูไม่ดีนัก ก่อนจะเดินตรงมาทางผม ซูซานดูให้ความสนใจหมอคนนี้มากจน ผมลืมสังเกตน้ำตาบนใบหน้าเธอ ยังไม่ทันที่หมอโนแวกจะหยุดเดิน ซูซานก็ลุกขึ้นพุ่งตรงไปที่เขา
“สามีฉันเป็นยังไงบ้างคะ….เขาปลอดภัยใช่ไหม”
หมอโนแวกยังไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้มหน้า และมองมาทางผม เป็นการให้สัญญาณว่า เขาต้องการคุยกับซูซานอย่างเป็นส่วนตัว ผมพยักหน้ารับและถอยห่างออกมา ไกลพอที่จะไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา หมอโนแวกเริ่ม กล่าวบทสนทนาบางอย่าง ผมได้แต่เอาใจช่วยให้เป็นสิ่งที่ ซูซานอยากได้ยิน แต่คงจะไม่ใช่เช่นนั้น
ช่วยติชมการบรรยายหน่อยครับกังวลมาก พึ่งแต่งเรื่องแรก
ผีเสื้อสีเหลืองอร่ามโบยบินมาหยุดที่ใบไม้เบื้องหน้าผม ยามค่ำคืน อะไรบางอย่างดลใจให้ผมเอื้อมมือไปจับมัน
มือของผมยื่นออกไปสู่เบื้องหน้าผ่านโลก4มิติ ที่ประกอบด้วยกว้างxยาวxสูง และดำเนินไปภายใต้เวลา จากปัจจุบันสู่อนาคต และจากจุดๆนี้ผมยื่นมือไปสู่อนาคตที่มีผีเสื้อเป็นจุดหมาย ผมสงสัยเหลือเกินว่า เราก้าวเข้ามาอยู่ ณ ดินแดนแห่งนี้ได้ยังไง มันเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์ และถ้าคุณนึกไม่ออก ลองจินตนาการว่าคุณนั่งดูภาพยนตร์และสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยตัวเอกของเรื่องได้ มันมหัศจรรย์ใช่ไหม แต่ความรู้สึกของผมมันยิ่งกว่า
อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แม้ว่าเราจะกำหนดไว้แล้ว ผีเสื้อก็เช่นกัน เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่มือของผมจะเอื้อมไปแตะโดนตัวมัน มันกระโดดขึ้นจากใบไม้และโบยบินอีกครั้ง ทิ้งห่างผมออกไปเรื่อย จนผมอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นตามมันไป มันบินต่อไปอย่างใจเย็น ในขณะที่ผมกำลังวิ่งตาม วิ่งมาไกลจนผมไม่รู้ว่าขณะนี้ตัวผมอยู่ที่ไหน มันเป็นอุโมงค์ทอดยาวจนไม่รู้ระยะทางที่แน่ชัด มีเพียงแสงสว่างเจิดจรัสที่อีกฝาก ผมเงยหน้าขึ้นมองผีเสื้อและพบว่า ภายในอุโมงค์นี้มีผีเสื้ออีกมากมายเหลือเกิน มากเสียจนผมจำผีเสื้อตัวนั้นไม่ได้แล้ว ผมสับสนและมองหาทางออก ผมไม่น่าเลย ไม่น่าตามมันมา ในขณะที่ผมกำลังหันซ้ายหันขวา เสียงของอะไรบางอย่างวิ่งตรงมาจากอีกฝากของอุโมงค์ แหวกฝูงผีเสื้อนับร้อยให้แตกออกอย่างไม่เป็นระเบียบ มันเป็นเสียงของแตรรถไฟ ดังควบคู่มากับแสงสีขาวที่กำลังวิ่งมุ่งหน้ามาทางผม ใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น แสงสว่างทำให้ผมต้องยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาบังตา บัดนี้แสงสว่างได้เข้ามาแทนฝูงผีเสื้อและทุกสิ่ง
Hello,Hello,Hello,How Low !
เสียงเพลงร็อคยุค80 ทะลุผ่านฝันชั้นที่ลึกที่สุด เพื่อดึงผมกลับมาในโลกแห่งความเป็นจริง และมันคงเป็นที่มาของเสียงรถไฟในอุโมงค์นั้น มันไม่ใช่เสียงของนาฬิกาปลุกที่ผมตั้งเอาไว้ตอน8โมง แต่มันเป็นเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ผม ผมงัวเงีย และ หัวเสียนิดหน่อย ก่อนจะเอื้อมมือไปควานหาโทรศัพท์ที่โต๊ะโคมไฟข้างเตียง เมื่อผมหยิบได้ก็กดรับทันที ไม่แม้แต่จะลืมตาดูชื่อของคนที่โทรเข้ามา
“คุณ…คุณหมออดัมใช่ไหมคะ” เสียงของใครบางคนขาดๆหายๆ และดูวิตกดังออกมาจากโทรศัพท์ มันทำให้ผมต้องขยับตัวขึ้นนั่ง และเอามืออีกข้างขยี้ตาเพื่อสลัดความงัวเงีย ด้วยกลัวว่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วน
“เอ่อ ใช่ครับ มีอะไรหรือป่าว” ผมตอบกลับ
“คุณหมออดัมคะ แมค แย่แล้ว! ได้โปรดมาที่ โรงพยาบาลด่วน” เสียงจากปลายสายปนสะอื้น ผมรีบตอบตกลงเพราะแมคเป็นคนไข้ที่ผมเป็นห่วงมากที่สุด เขาเป็นเด็กวัย12ที่ผมคิดว่า เขากำลังสับสนในหลายเรื่อง และเรื่องที่ผมเป็นห่วงมากที่สุด คือเขากำลังคิดว่า
‘เขาถูกคุกคามโดย ซาตาน!’
แสงไฟจากเกาะแมนฮัตตันรอดผ่านกระจกบานใหญ่ของห้องผม บนชั้น19 มันเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหลแม้ในเวลาตี3:49นาที ผมรีบร้อนขณะใส่โค้ทยาวสีน้ำตาลกับรองเท้าหนัง ไม่ลืมที่จะคว้ากระเป๋าทำงานไปด้วย ผมวิ่งตรงไปที่ลิฟท์ที่บัดนี้ระหว่างทางเดินมีแต่ความเงียบงัน และกดมันไปที่ชั้นใต้ดิน เพื่อไปยังรถของผม
ทันทีที่รถของผมรอดผ่านประตูทางออกของอาคาร และแล่นสู่ถนน ฝนเม็ดแรกก็ล่วงหล่นลงมา และดูจะหนักขึ้นเรื่อยๆราวกับว่า รู้เรื่องราวที่ผมกำลังจะไปเผชิญ รถของผมแล่นไปตามถนนเรื่อยๆ ไฟสีส้มที่สูงขึ้นไปเรียงตัวกันยาวไปตลอดทาง คนเร่ร่อนที่ข้างถนนบางคนตื่นแล้วและกำลังจัดการกับถังขยะสาธารณะ เพียงไม่กี่อึดใจรถของผมก็เคลื่อนมาหยุดลงหน้าโรงพยาบาล บรุกลิน พร้อมๆกับฝนที่ดูเหมือนจะชะลอลง
ผมวิ่งตรงไปที่แผนกฉุกเฉินผ่านเคานท์เตอร์รับยา และห้องตรวจต่างที่ร้างไร้ผู้คน มีเพียงความมืดที่โดนไฟจากทางเดินเจือจางจนกลายเป็นสีเทา อยู่หลังกระจก เก้าอี้ทุกตัวว่างป่าว แต่ภาพผู้ป่วยที่พลุกพล่านกลับผุดขึ้นมาในหัวผมและค่อยจางหายไป ก่อนผมจะมาหยุดที่ประตูหน้าห้องฉุกเฉิน ผมก้มหน้าและถอนหายใจ ก่อนจะตัดสินใจผลักประตูเข้าไป
หญิงผมสีทองวัย30กว่าๆที่ผมคุ้นหน้า นั่งกุมขมับอยู่ตรงที่นั่งสำหรับญาติผู้ป่วย ผมสังเกตเห็นคนป่วยหลายคนกำลังนอนทรมานอยู่บนเตียง แต่ผมมองไม่เห็นแม็ค คนป่วยส่วนมากที่อยู่ในห้องนี้ล้วนประสบอุบัติเหตุและเมาจนขาดสติบางคนมีเลือดที่ใบหน้าและดูใกล้ความตาย พยาบาลและหมอส่วนหนึ่งกำลังวุ่น และบางคนแค่นั่งเล่นเฟสบุ๊ค ซูซาน คือหญิงผมสีทองที่ผมพูดถึง และเธอคือแม่ของแม็ค ความวิตกกังวลแสดงออกมาบนใบหน้าควบคู่กับน้ำตาเล็กน้อยที่คลออยู่บริเวณรอบดวงตา ปากของเธองึมงำอะไรบางอย่างคล้ายกับกำลังสวดมนต์ แต่เชื่อผมเถอะ ผมมองไม่เห็นพระเจ้าอยู่ที่นี่
ผมเดินไปแตะไหล่เธอเบาๆ ก่อนจะเรียกเธอ“ซูซาน”เธอไม่ได้ยิน “คุณซูซานครับ” ผมแตะไหล่เธอแรงขึ้นอีก และเสียงของผมคงจะดึงเธอออกจากภวังค์ เธอเงยหน้าขึ้นมองผมเป็นจังหวะเดียวกับที่น้ำตาของเธอทิ้งตัวลงมาตามแนวแก้ม เธอดูสับสนและหดหู่ สายตาเธอดูลังเล มือของเธอสั่นเทาราวกับหัวใจกำลังจะแหลกสลาย และแล้วเสียงที่ดูสิ้นหวังของเธอก็เปล่งออกมา
“เอ่อ…คือ”เธอสะอื้น “ฉันไม่รู้ว่า…ทำไมถึงโทรเรียกคุณแต่…”ซูซานหยุดพูด และถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอไม่แม้แต่จะมองหน้าผม
“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่ของผม” ผมกล่าว
“ฉันรู้..ว่าเราควรจะเชื่อคุณแต่…พ่อของเขาไม่”เธอพูดติดๆขัดๆ “เรากลัวว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นซักวัน”หลังจากคำพูดเธอร้องไห้อย่างหนักแล้วยกมือขึ้นกุมขมับ ผมไม่เร่งร้อนที่จะถามเธอต่อถึงแม้ว่าตอนนี้ผมอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม็คเต็มที ผมยกมือขึ้นสัมผัสตัวที่แดงก่ำของเธอ หลังจากนั้นไม่ถึงนาที เธอสูดหายใจอย่างแรงจนเต็มปอดเพื่อเรียกสติกลับคืน และกล่าวต่อ “แม็คก้าวร้าวขึ้นทุกวันหลังจากที่เราไม่ได้พาเขามาหาคุณ จนกระทั่ง”เธอสะอื้นและหน้าเสียเล็กน้อย แต่ยังพอมีสติ “คืนนี้ พ่อของเขาได้ยินเสียงบางอย่างในห้องครัวและลงไปดู แม็คกำลังถือมีด….”เธอหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อตั้งสติและกลั้นน้ำตาเอาไว้
“เขาใช้มีดทำครัวแทงที่ท้องพ่อของเขาหลายครั้ง และอ้างว่าซาตานเป็นคนสั่ง”
หลังจากคำพูดที่ดูยาวนานนับชั่วโมงของเธอ น้ำตาของผู้เป็นแม่และภรรยาก็หลั่งไหลออกมาไม่ขาดสายจนแทบจะเป็นสายเลือด คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวผม แต่ยังไม่ใช่ในเวลานี้ที่ผมจะถามเธอ อย่างน้อยก็ควรให้เธอตั้งสติได้ก่อน
เข็มของนาฬิกาค่อยๆเดินไปอย่างช้าๆบนแป้นวงกลม แต่เวลานั้นผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ เห็นเพียงแสงจางๆของดวงอาทิตย์ที่ปลายขอบฟ้าทางทิศตะวันออก มันจะใช่แสงแห่งความหวังสำหรับครอบครัวของซูซานหรือป่าว
ฝนที่หยุดตกไปพักใหญ่ ทิ้งหยดน้ำเล็กๆไว้บนบานกระจกของห้องฉุกเฉิน ผมนั่งครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องของแม็คตลอดระยะเวลาที่แสนจะยาวนานในความรู้สึก ความรู้สึกผิดเริ่มพลั่งพลูออกมาแทนคำว่าหน้าที่ ผมควรจะรักษาเขาให้ได้ ก่อนที่พวกเขาจะหมดความมั่นใจในตัวผม และหันไปพึ่งบาทหลวงจากโบสถ์คาทอลิค ผมไม่ทราบว่าตอนนี้แม็คอยู่ที่ไหนแต่หลังจากนี้ เขาอาจถูกนักสังคมสงเคราะห์ส่งไปรักษาในโรงพยาบาลทางด้านจิตเวชโดยตรง
ซูซานนั่งอยู่ที่เดิม ความเย็นของแอร์ในโรงพยาบาลเอกชนทำให้เธอขดตัวเป็นกุ้ง สายตาเหม่อลอยจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง สู่ท้องฟ้าสีขมุกขมัว ราวกับว่ากำลังมองหาพระเจ้าหลังก้อนเมฆสีเทา ผมคลายมือที่กุมกันแน่นในขณะที่คิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อเห็นอาการสั่นเทาของซูซาน ผมหยิบเสื้อโค้ทตัวยาวที่ถอดมันออกมาสักครู่หนึ่งแล้ว ลุกขึ้นไป และใช้มันคลุมตัวเธอ อาการสั่นเทาเบาบางลง เธอเงยหน้าขึ้นมาและยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก ถึงจะเป็นรอยยิ้มแรกในหลายชั่วโมง แต่มันกลับเป็นรอยยิ้มที่ดูทุกข์ใจเป็นที่สุด
“แล้วตอนนี้ แม็ค อยู่ไหนครับ” ผมเอ่ยถามเธอ
“เขาปลอดภัยดีที่ สถานีตำรวจ ” เธอกล่าว “ตำรวจไม่ได้ขังเขา เพียงแต่ช่วยสงบสติอารมณ์ เขาเองก็ไม่เชื่อสิ่งที่เขาทำลงไป”
หลังจากเธอพูดจบ ผมสังเกตเห็นชายในชุดกาวน์สีขาวกำลังซุบซิบอะไรบางอย่างกับพยาบาล และสีหน้าพวกเขาดูไม่ดีนัก ก่อนจะเดินตรงมาทางผม ซูซานดูให้ความสนใจหมอคนนี้มากจน ผมลืมสังเกตน้ำตาบนใบหน้าเธอ ยังไม่ทันที่หมอโนแวกจะหยุดเดิน ซูซานก็ลุกขึ้นพุ่งตรงไปที่เขา
“สามีฉันเป็นยังไงบ้างคะ….เขาปลอดภัยใช่ไหม”
หมอโนแวกยังไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้มหน้า และมองมาทางผม เป็นการให้สัญญาณว่า เขาต้องการคุยกับซูซานอย่างเป็นส่วนตัว ผมพยักหน้ารับและถอยห่างออกมา ไกลพอที่จะไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา หมอโนแวกเริ่ม กล่าวบทสนทนาบางอย่าง ผมได้แต่เอาใจช่วยให้เป็นสิ่งที่ ซูซานอยากได้ยิน แต่คงจะไม่ใช่เช่นนั้น