ขี้เถ้าในกริมการ์แดนมายา: ความเป็นทีมของเหล่าเหลือเลือก

รูปจาก
http://pantip.com/topic/34342021
ตื่นเถอะ……
ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาด้วยเสียงปลุกเรียก
ตื่นขึ้นมาอยู่ในที่ๆไม่รู้ว่าคือที่ไหนแต่มืดมาก
ตนมาที่นี่ได้อย่างไร
แม้แต่ตัวเองเป็นใครก็จำไม่ได้
รอบๆตัวมีคนอื่นๆที่ตกที่นั่งเดียวกันอยู่ด้วย มีรูปร่างลักษณะและเพศคละกันไป
คนที่ดูท่าทางเหมือนจะเป็นนักเลงเสนอว่าควรจะหาทางออกจากที่นี่โดยตามแสงสว่างไป ทุกคนเห็นด้วยและเดินตามกันไป
ที่ทางออกได้พบคนที่อ้างตัวว่าเป็นผู้นำทางชื่อฮิโยมูอาสานำทางไปยังที่แห่งหนึ่ง
พอออกมาแล้วจึงได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่ไม่คุ้นตา
ตนเองเคยอยู่ที่นี่รึ ไม่ ถึงจำไม่ได้แต่รู้สึกได้ว่าไม่เคยอยู่ที่นี่แน่
และพอได้เห็นเหล่าผู้ร่วมชะตากรรมชัดๆ มีคนหลากหลายแบบจริงๆ
มีคนที่ดูเข้ากับคนง่าย
คนผมหยิกพูดมากและกวนประสาท
คนที่ตัวสูงใหญ่ เห็นว่าสูงตั้ง185cm
มีผู้หญิงด้วยทั้งหมดสี่คน สาวที่แต่งตัวจัดจาน สาวม.ปลายสองคน? ม.ปลายคืออะไร?
มีเด็กด้วย?
ระหว่างทางความทรงจำคนในกลุ่มก็เริ่มกลับมาแต่ไม่มาก จำได้เพียงแค่ชื่อ
ผมจำชื่อตัวเองได้แล้ว ฮารุฮิโระ นั้นเอง
ฮิโยมูได้นำทางมายัง กองทหารอาสามัครประจำชายแดนแห่งออลทาน่า เรดมูน และส่งไม้ต่อให้หัวหน้าประจำสำนักงานที่เรียกตัวเองว่าบุริจังเป็นผู้อธิบาย
“ที่นี่คือที่ทำการกองทหารอาสามัคร หมายความว่าพวกเราต้องเป็นทหารอาสารึ” คนที่ชื่อมานาโตะถามขึ้น
บุริจังตอบมาว่าไม่ นี่เป็นเพียงข้อเสนอเท่านั้นแต่เป็นข้อเสนอที่ดีที่สุดที่พวกเราจะหา คนที่ไม่ต้องการเป็นทหารอาสาสามารถปฎิเสธได้แต่ก็ต้องพึงระลึกด้วยว่าหลังจากนี้จะดำรงชีวิตอย่างไรทั้งเรื่องที่พัก,อาหารและเงิน การหางานอื่นนั้นไม่ง่ายและค่าแรงที่ได้รับก็ไม่ดีเท่าการเป็นทหารอาสาโดยยังไม่รวมถึงสิทธิพิเศษต่างๆที่จะได้รับอีกด้วย แล้วบุริจังก็หยิบถุงพร้อมเหรียญตรารูปจันเสี้ยวสีออกแดงขึ้นมาครบจำนวนคน
คนที่รับข้อเสนอให้หยิบถุงเงินที่มีเงินให้ 10เหรียญเงินพร้อมเหรียญตราแสดงสถานะเป็นทหารอาสาฝึกหัดไปได้
แต่หลังจากนี้ไป การจะค้นหาว่าควรจะทำอะไรอย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่พวกเธอต้องค้นหารวบรวมข้อมูลและตัดสินใจเอาเอง
คนที่ดูเป็นนักเลงชื่อเรนจินั้นหยิบเป็นคนแรกตามด้วยคนอื่นๆจากนั้นเรนจิก็คัดเลือกคนในกลุ่มรวบรวมสมาชิกตั้งเป็นทีมขึ้นแล้วจากไป มานาโตะหยิบถุงและเหรียญตราแล้วออกไป มีทหารอาสาเต็มตัวที่บังเอิญมาที่สำนักงานถูกใจคนที่สูง185 ชื่อโมกุโซ แล้วพาตัวไป
ตอนนี้เหลือเพียงฮารุฮิโระ รันตะ และสองสาวม.ปลายที่ชื่อยูเมะและชิโฮรุเท่านั้นในสำนักงาน
กลุ่มผู้เหลือเลือกที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
“พวกเธอน่ะคิดจะอยู่ตรงนั้นไปถึงเมื่อไหร่ ถ้าแค่ยืนหัวโด่แล้วไม่ทำอะไรเลยชั้นจะไล่แล้วน่ะ”บุริจังว่า
ผมบอกตามตรงว่าตอนไปซื้อหนังสือที่งานหนังสือ เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในรายการที่ผมจะซื้อด้วยซ้ำเพราะอ่านเรื่องย่อหลังปกแล้วเหมือนแนวแฟนตาซีร่วมสมัยแนวเกมออนไลน์ที่มีเกร่อไปหมด ต้องขอบคุณระบบคิวที่ทำให้ผมต้องรีบทำเวลาเพื่อให้คนอื่นได้เข้ามาเลือกหนังสือได้ที่ทำให้ผมเผลอหยิบเรื่องนี้ใส่ตะกล้า
การจะพูดถึงเรื่องนี้นั้น เล่าตามลำดับความประทับใจของเรื่องจะง่ายกว่า
การที่กลุ่มตัวเอกเป็นกลุ่มเหลือเลือกที่ไม่มีใครต้องการนั้นทำให้ผมระลึกถึงสมัยเป็นนักเรียนนักศึกษา
ที่ใครๆก็อยากอยู่กลุ่มคนเก่ง คนเก่งก็อยากอยู่กับคนเก่ง พอจับกลุ่มไปๆมาๆก็จะเลือกแต่คนไม่เก่งที่ต้องจับกลุ่มกันเอง
นึกย้อนไปแล้วมันเป็นอะไรที่ท้าท้ายมากที่ต้องช่วยกันประคับประคองเอาตัวรอดกันให้ได้
งานภาพถือว่าจัดเต็ม ไม่มีรูปไหนเลยที่ดูโล่ง การลงสีและลายละเอียดก็เต็มหน้ากระดาษทุกรูป ตัวละครตาอาจจะดูตาแหลมแปลกๆอยู่บ้างแต่ผมโอเคอยู่
เรื่องราวในช่วงต้นนั้น ช้าและน่าเบื่อมาก
แต่พออ่านไปเรื่อยๆทำให้ผมนึกถามตัวเองว่า
นี่เราเคยชินกับแนวที่เปิดเรื่องด้วยความหวือหวามากเกินไปรึเปล่า นิยายจำเป็นไหมที่ต้องหวือหวาตั้งแต่ต้น
คำตอบที่ผมมีคือ ไม่ และอ่านเรื่องนี้ต่อไปพรางคิดว่าตัวเองเริ่มมีนิสัยเสียในการอ่านนิยายแล้ว
และเมื่ออ่านๆไปทำไหมรายละเอียดมันเยอะจัง
เริ่มตั้งแต่การพูดคุยรวบรวมข้อมูลการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐาน
เรียนรู้อัตราค่าเงินและการธนาคาร
การบริหารค่าใช้จ่าย
การเปลี่ยนอาชีพและจัดรูปแบบทีมผจญภัย
อาวุธเครื่องสวมใส่ จุดเด่นด้อยของแต่ละอาชีพ
การเรียนสกิล
บราๆๆ
ผมกลับนึกถึงอะไรบ้างอย่างได้ ความรู้สึกนี้
ความละเอียดของระบบที่มากมายแบบนี้
เหมือนครั้งแรกที่ผมเล่น RPG ตะวันตกเลย
จุดเปลี่ยนที่ผมมีต่อเรื่องนี้เริ่มขึ้นเมื่อเหล่าตัวเอกไปเปลี่ยนอาชีพกันมาตามแผนที่วางไว้
ไม่ว่าจะในเรื่องหรือชีวิตจริง ต้องมีอย่างนั้นสักคนเสมอเลยสิน่า
และมีเดจาวูแบบนี้มาบ่อยๆด้วย
การผจญภัยล่ามอนสเตอร์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
ความประทับใจต่อมาคือการล่าก๊อปลิน มอนสเตอร์ตัวแรก ที่อนาจสมความเป็นกลุ่มมือใหม่รวมบ๋วย
ถึงจุดนี้ผมรู้สึกได้ถึงอะไรที่LNญี่ปุ่นแทบไม่ค่อยกล่าวถึง
Team work
มันไม่ใช่อะไรที่จะพูดกันได้ง่ายๆ การปฏิบัติยิ่งยากกว่าร้อยเท่า
ไม่ใช่อะไรที่จะแค่แบ่งหน้าที่กันแล้วจบ
ซึ่งเรื่องนี้จะพูดถึงประเด็นที่กล่าวอย่างลงลึกชนิดที่ผมไม่เคยอ่านเจอจากLNเรื่องไหนที่เคยอ่านมาเลย
การรักษาตำแหน่งหน้าที่การทำงานของตนตามแผน
มิตรภาพของเพื่อน
เข้าไปช่วยเมื่อมีใครพลาด
สถานการณ์เปลี่ยนก็ต้องปรับแผนรับมือทันที
การทำความเข้าใจกับเพื่อนร่วมทีมและหน้าที่ที่ต้องรักษา
ปัญหาระหว่างคนในทีม
ช่วยกันปลอบในเวลาแห่งความลำบาก
ทุกคนล้วนมีส่วนร่วมสำคัญ
และมุ่งสู่จุดหมายไปด้วยกัน
ด้วยความเป็นทีม
ไม่ใช่ความเป็นเทพ
สรุป ถือว่าผู้เขียนกล้ามากที่เขียนเรื่องแนวนี้ออกมาในขณะที่แนวตลาดส่วนใหญ่ไปในทางฮาเร็มหรือพระเอกเทพกันสะส่วนใหญ่ และผมคิดว่าคนที่ชอบแนวนี้ในตลาดอาจจะมีน้อยด้วยซ้ำ แต่อย่างไรก็ตาม ผมอยากให้เพื่อนๆนักอ่านลองอ่านดูสักครั้ง
เรื่องที่ไม่มีตัวละครเทพๆมาโชว์เหนืออย่างเท่ มีแต่คนธรรมดาที่ช่วยกันฟันฝ่าสู่จุดหมาย ร่วมทุกข์และสุขไปด้วยกัน
สี่ดาวครึ่งครับ ผมบวกให้อีกครึ่งดาวด้วยความอวยส่วนตัว
และนี่คือม้ามืดที่ผมแนะนำในไตรมาสสุดท้ายของปี2558
สวัสดีปีใหม่และพบกันปีหน้าครับ
[CR] New LN Review ขี้เถ้าในกริมการ์แดนมายา: ความเป็นทีมของเหล่าเหลือเลือก
รูปจาก http://pantip.com/topic/34342021
ตื่นเถอะ……
ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาด้วยเสียงปลุกเรียก
ตื่นขึ้นมาอยู่ในที่ๆไม่รู้ว่าคือที่ไหนแต่มืดมาก
ตนมาที่นี่ได้อย่างไร
แม้แต่ตัวเองเป็นใครก็จำไม่ได้
รอบๆตัวมีคนอื่นๆที่ตกที่นั่งเดียวกันอยู่ด้วย มีรูปร่างลักษณะและเพศคละกันไป
คนที่ดูท่าทางเหมือนจะเป็นนักเลงเสนอว่าควรจะหาทางออกจากที่นี่โดยตามแสงสว่างไป ทุกคนเห็นด้วยและเดินตามกันไป
ที่ทางออกได้พบคนที่อ้างตัวว่าเป็นผู้นำทางชื่อฮิโยมูอาสานำทางไปยังที่แห่งหนึ่ง
พอออกมาแล้วจึงได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่ไม่คุ้นตา
ตนเองเคยอยู่ที่นี่รึ ไม่ ถึงจำไม่ได้แต่รู้สึกได้ว่าไม่เคยอยู่ที่นี่แน่
และพอได้เห็นเหล่าผู้ร่วมชะตากรรมชัดๆ มีคนหลากหลายแบบจริงๆ
มีคนที่ดูเข้ากับคนง่าย
คนผมหยิกพูดมากและกวนประสาท
คนที่ตัวสูงใหญ่ เห็นว่าสูงตั้ง185cm
มีผู้หญิงด้วยทั้งหมดสี่คน สาวที่แต่งตัวจัดจาน สาวม.ปลายสองคน? ม.ปลายคืออะไร?
มีเด็กด้วย?
ระหว่างทางความทรงจำคนในกลุ่มก็เริ่มกลับมาแต่ไม่มาก จำได้เพียงแค่ชื่อ
ผมจำชื่อตัวเองได้แล้ว ฮารุฮิโระ นั้นเอง
ฮิโยมูได้นำทางมายัง กองทหารอาสามัครประจำชายแดนแห่งออลทาน่า เรดมูน และส่งไม้ต่อให้หัวหน้าประจำสำนักงานที่เรียกตัวเองว่าบุริจังเป็นผู้อธิบาย
“ที่นี่คือที่ทำการกองทหารอาสามัคร หมายความว่าพวกเราต้องเป็นทหารอาสารึ” คนที่ชื่อมานาโตะถามขึ้น
บุริจังตอบมาว่าไม่ นี่เป็นเพียงข้อเสนอเท่านั้นแต่เป็นข้อเสนอที่ดีที่สุดที่พวกเราจะหา คนที่ไม่ต้องการเป็นทหารอาสาสามารถปฎิเสธได้แต่ก็ต้องพึงระลึกด้วยว่าหลังจากนี้จะดำรงชีวิตอย่างไรทั้งเรื่องที่พัก,อาหารและเงิน การหางานอื่นนั้นไม่ง่ายและค่าแรงที่ได้รับก็ไม่ดีเท่าการเป็นทหารอาสาโดยยังไม่รวมถึงสิทธิพิเศษต่างๆที่จะได้รับอีกด้วย แล้วบุริจังก็หยิบถุงพร้อมเหรียญตรารูปจันเสี้ยวสีออกแดงขึ้นมาครบจำนวนคน
คนที่รับข้อเสนอให้หยิบถุงเงินที่มีเงินให้ 10เหรียญเงินพร้อมเหรียญตราแสดงสถานะเป็นทหารอาสาฝึกหัดไปได้
แต่หลังจากนี้ไป การจะค้นหาว่าควรจะทำอะไรอย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่พวกเธอต้องค้นหารวบรวมข้อมูลและตัดสินใจเอาเอง
คนที่ดูเป็นนักเลงชื่อเรนจินั้นหยิบเป็นคนแรกตามด้วยคนอื่นๆจากนั้นเรนจิก็คัดเลือกคนในกลุ่มรวบรวมสมาชิกตั้งเป็นทีมขึ้นแล้วจากไป มานาโตะหยิบถุงและเหรียญตราแล้วออกไป มีทหารอาสาเต็มตัวที่บังเอิญมาที่สำนักงานถูกใจคนที่สูง185 ชื่อโมกุโซ แล้วพาตัวไป
ตอนนี้เหลือเพียงฮารุฮิโระ รันตะ และสองสาวม.ปลายที่ชื่อยูเมะและชิโฮรุเท่านั้นในสำนักงาน
กลุ่มผู้เหลือเลือกที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
“พวกเธอน่ะคิดจะอยู่ตรงนั้นไปถึงเมื่อไหร่ ถ้าแค่ยืนหัวโด่แล้วไม่ทำอะไรเลยชั้นจะไล่แล้วน่ะ”บุริจังว่า
ผมบอกตามตรงว่าตอนไปซื้อหนังสือที่งานหนังสือ เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในรายการที่ผมจะซื้อด้วยซ้ำเพราะอ่านเรื่องย่อหลังปกแล้วเหมือนแนวแฟนตาซีร่วมสมัยแนวเกมออนไลน์ที่มีเกร่อไปหมด ต้องขอบคุณระบบคิวที่ทำให้ผมต้องรีบทำเวลาเพื่อให้คนอื่นได้เข้ามาเลือกหนังสือได้ที่ทำให้ผมเผลอหยิบเรื่องนี้ใส่ตะกล้า
การจะพูดถึงเรื่องนี้นั้น เล่าตามลำดับความประทับใจของเรื่องจะง่ายกว่า
การที่กลุ่มตัวเอกเป็นกลุ่มเหลือเลือกที่ไม่มีใครต้องการนั้นทำให้ผมระลึกถึงสมัยเป็นนักเรียนนักศึกษา
ที่ใครๆก็อยากอยู่กลุ่มคนเก่ง คนเก่งก็อยากอยู่กับคนเก่ง พอจับกลุ่มไปๆมาๆก็จะเลือกแต่คนไม่เก่งที่ต้องจับกลุ่มกันเอง
นึกย้อนไปแล้วมันเป็นอะไรที่ท้าท้ายมากที่ต้องช่วยกันประคับประคองเอาตัวรอดกันให้ได้
งานภาพถือว่าจัดเต็ม ไม่มีรูปไหนเลยที่ดูโล่ง การลงสีและลายละเอียดก็เต็มหน้ากระดาษทุกรูป ตัวละครตาอาจจะดูตาแหลมแปลกๆอยู่บ้างแต่ผมโอเคอยู่
เรื่องราวในช่วงต้นนั้น ช้าและน่าเบื่อมาก
แต่พออ่านไปเรื่อยๆทำให้ผมนึกถามตัวเองว่า
นี่เราเคยชินกับแนวที่เปิดเรื่องด้วยความหวือหวามากเกินไปรึเปล่า นิยายจำเป็นไหมที่ต้องหวือหวาตั้งแต่ต้น
คำตอบที่ผมมีคือ ไม่ และอ่านเรื่องนี้ต่อไปพรางคิดว่าตัวเองเริ่มมีนิสัยเสียในการอ่านนิยายแล้ว
และเมื่ออ่านๆไปทำไหมรายละเอียดมันเยอะจัง
เริ่มตั้งแต่การพูดคุยรวบรวมข้อมูลการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐาน
เรียนรู้อัตราค่าเงินและการธนาคาร
การบริหารค่าใช้จ่าย
การเปลี่ยนอาชีพและจัดรูปแบบทีมผจญภัย
อาวุธเครื่องสวมใส่ จุดเด่นด้อยของแต่ละอาชีพ
การเรียนสกิล
บราๆๆ
ผมกลับนึกถึงอะไรบ้างอย่างได้ ความรู้สึกนี้
ความละเอียดของระบบที่มากมายแบบนี้
เหมือนครั้งแรกที่ผมเล่น RPG ตะวันตกเลย
จุดเปลี่ยนที่ผมมีต่อเรื่องนี้เริ่มขึ้นเมื่อเหล่าตัวเอกไปเปลี่ยนอาชีพกันมาตามแผนที่วางไว้
ไม่ว่าจะในเรื่องหรือชีวิตจริง ต้องมีอย่างนั้นสักคนเสมอเลยสิน่า
และมีเดจาวูแบบนี้มาบ่อยๆด้วย
การผจญภัยล่ามอนสเตอร์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
ความประทับใจต่อมาคือการล่าก๊อปลิน มอนสเตอร์ตัวแรก ที่อนาจสมความเป็นกลุ่มมือใหม่รวมบ๋วย
ถึงจุดนี้ผมรู้สึกได้ถึงอะไรที่LNญี่ปุ่นแทบไม่ค่อยกล่าวถึง
Team work
มันไม่ใช่อะไรที่จะพูดกันได้ง่ายๆ การปฏิบัติยิ่งยากกว่าร้อยเท่า
ไม่ใช่อะไรที่จะแค่แบ่งหน้าที่กันแล้วจบ
ซึ่งเรื่องนี้จะพูดถึงประเด็นที่กล่าวอย่างลงลึกชนิดที่ผมไม่เคยอ่านเจอจากLNเรื่องไหนที่เคยอ่านมาเลย
การรักษาตำแหน่งหน้าที่การทำงานของตนตามแผน
มิตรภาพของเพื่อน
เข้าไปช่วยเมื่อมีใครพลาด
สถานการณ์เปลี่ยนก็ต้องปรับแผนรับมือทันที
การทำความเข้าใจกับเพื่อนร่วมทีมและหน้าที่ที่ต้องรักษา
ปัญหาระหว่างคนในทีม
ช่วยกันปลอบในเวลาแห่งความลำบาก
ทุกคนล้วนมีส่วนร่วมสำคัญ
และมุ่งสู่จุดหมายไปด้วยกัน
ด้วยความเป็นทีม
ไม่ใช่ความเป็นเทพ
สรุป ถือว่าผู้เขียนกล้ามากที่เขียนเรื่องแนวนี้ออกมาในขณะที่แนวตลาดส่วนใหญ่ไปในทางฮาเร็มหรือพระเอกเทพกันสะส่วนใหญ่ และผมคิดว่าคนที่ชอบแนวนี้ในตลาดอาจจะมีน้อยด้วยซ้ำ แต่อย่างไรก็ตาม ผมอยากให้เพื่อนๆนักอ่านลองอ่านดูสักครั้ง
เรื่องที่ไม่มีตัวละครเทพๆมาโชว์เหนืออย่างเท่ มีแต่คนธรรมดาที่ช่วยกันฟันฝ่าสู่จุดหมาย ร่วมทุกข์และสุขไปด้วยกัน
สี่ดาวครึ่งครับ ผมบวกให้อีกครึ่งดาวด้วยความอวยส่วนตัว
และนี่คือม้ามืดที่ผมแนะนำในไตรมาสสุดท้ายของปี2558
สวัสดีปีใหม่และพบกันปีหน้าครับ