เราเคยได้ยินชื่อของ Amy Winehouse มานาน และรู้แค่ว่าเธอเป็นนักร้อง ไม่รู้ว่าแนวเพลงที่เธอร้องคือแนวไหน ไม่รู้ด้วยว่าเธอเป็นนักดนตรีและแต่งเพลงเองด้วย ที่แย่ที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเธอเสียชีวิตแล้ว จนกระทั่งหนังสารคดีเรื่อง Amy เข้าฉายในบ้านเรา ผมได้ข่าวหนังเรื่องนี้ก็เลยอยากดู และนั่นคือครั้งแรกที่ผมได้รู้ประวัติอันน่าทึ่งของเธอ
เวลาเราพูดถึงหนังสารคดี สิ่งแรกที่ผมกังวลคือ หนังจะน่าเบื่อหรือไม่ ประกอบกับความยาวของหนังถึง 128 นาที แต่เอาเข้าจริงหนังที่ดูน่าจะน่าเบื่อ กลับทำได้น่าติดตามมากๆ ขนาดตอนหนังจบ เรายังอยากจะดูต่ออยู่เลย ไม่อยากให้หนังจบ และที่สำคัญ ผมไม่อยากให้ถึงตอนจบของหนัง
การเล่าเรื่องเรียงลำดับเวลาตั้งแต่ช่วง Amy วัยรุ่นจนถึงวินาทีสุดท้ายในชีวิตของ Amy ทำได้ดีมาก หนังไม่ได้เน้นจุดใดจุดหนึ่งเป็นสำคัญ แต่เล่าโดยให้ความสำคัญของทุกช่วงในชีวิต ถือเป็นการให้เกียรติในการเล่าชีวประวัติของ Amy อย่างซื่อตรง หนังเล่าผ่านคำพูดของคนที่ใกล้ชิด Amy ในแต่ละช่วงเวลา มันทำให้เราเห็นมุมมองหลายๆมุมมองที่มีต่อ Amy ซึ่งผมชอบการเล่าเรื่องแบบนี้มาก
ดนตรีประกอบหลักในเรื่อง ก็คือเพลงของ Amy นั่นเอง ส่วนตัวผมเองที่ไม่ใช่แฟนเพลงของ Amy ก็รู้สึกว่า เพลงของ Amy ในอัลบั้มแรก Frank ถือว่าฟังยากสำหรับผม แต่ก็รู้สึกถึงการเล่าเรื่องของเธอผ่านบทเพลงที่เธอเขียน มาอัลบั้มที่ 2 Back to Black ผมว่าฟังง่ายขึ้นเยอะ แต่ที่ยังเหมือนเดิม คือการเล่าเรื่องผ่านบทเพลงของเธอ เรารู้สึกได้ถึงความรู้สึกในแต่ละบทเพลง (ส่วนตัวผมชอบเพลงที่เธอนำมา Cover อย่างเพลง Valerie มาก)
หนังเรื่องนี้ไม่มีการแสดงใดๆทั้งนั้น สิ่งที่เราเห็นคือภาพเหตุการณ์จริงของตัวละคร ซึ่งผมว่ามันเป็นจุดแข็งมากๆของหนังสารคดีเรื่องนี้ เพราะมันทำให้เราเชื่อในทุกการกระทำของตัวละคร Footage ที่มาจากกล้องวิดีโอส่วนตัวของเธอ มันดูเรียลมากๆ มันทำให้เห็นถึงสิ่งที่เธอเป็นจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะพยายามให้เธอเป็น
ผมชอบการยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเธอเป็น ชอบที่เธอไม่พยายามเป็นคนอื่นที่เธอไม่ได้เป็น เธอซื่อสัตย์กับตัวเองมากๆ ผมรู้สึกชื่นชมเธอมาก เธอแต่งเพลงของเธอเอง ผมรู้สึกถึงว่าเธอแต่งเพลง ไม่ใช่เพราะเธออยากจะเล่าเรื่องให้คนอื่นฟัง แต่เธอเพียงแค่ต้องการที่ระบายความรู้สึกที่อยู่ข้างในของเธอ และบทเพลงก็คือสิ่งที่ช่วยให้เธอระบายความรู้สึกได้ ผมดูการแสดงของเธอบนเวที เหมือนเธออยู่กับเรื่องราวของตัวเองตลอดเวลา ถ้าในการประกวดดนตรี Commentator อาจจะบอกว่า Amy ไม่สื่อสารกับคนดู แต่ผมรู้สึกว่า การอยู่กับตัวเองของเธอคือการสื่อสารที่จริงใจที่สุด โดยปราศจากการเสแสร้งใดๆทั้งสิ้น
เธอไม่ได้อยากเป็นคนดัง ผมชอบประเด็นนี้มาก บางครั้งเรารู้สึกว่า ดารานักร้องบางคนที่บอกว่าไม่ได้อยากมีชื่อเสียง ไม่ได้อยากดังนั้น มันไม่ได้รู้สึกเชื่อคำพูดของเค้าอย่าง 100% แต่สำหรับ Amy ในตอนต้นเรื่องที่เธอให้สัมภาษณ์รายการทีวี เธอพูดชัดเจนว่าเธอไมได้อยากมีชื่อเสียง เธอพูดแบบไม่ได้แคร์สิ่งนั้นจริงๆ สายตาของเธอมันทำให้เราเชื่อ ประกอบกับตอนท้ายเรื่อง ผ่านคำพูดของบอดี้การ์ดของเธอว่า ถ้าเลือกได้ว่าเป็นคนมีชื่อเสียงกับการเป็นคนธรรมดาบนท้องถนนทั่วไป เธอจะเลือกเป็นคนธรรมดา มันชัดเจนมาก เพราะเธอไม่ได้พูดออกสื่อ ไม่ได้พูดเพื่อสร้างภาพใดๆทั้งนั้น
ยาเสพย์ติดและแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่ไม่ดี เราคงไม่ต้องมาพูดถึงประเด็นนี้ แต่สิ่งที่ผมสนใจ คือ ทำไม Amy ต้องหันมาพึ่งยาเสพย์ติดและแอลกอฮอล์ จากที่ในหนังเล่า เริ่มแรกเธอเริ่มเสพย์จากการชักชวนของ Blake Fielder แฟนของเธอ นั่นอาจจะเพราะความอยากรู้ อาจจะเพราะความสนุก อาจจะเพราะแฟนของเธอชักชวนก็แล้วแต่ แต่ผมเดาเอาเองว่า สิ่งที่ทำให้ Amy ชอบสารเสพย์ติด คือ มันทำให้เธอได้เข้าไปสู่โลกอีกโลกหนึ่ง ผมคิดว่าเธอไม่ได้ชอบชีวิตจริงของตัวเอง แม้จะประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง แต่เธอไม่ได้ต้องการมัน เธอต้องการแค่แต่งเพลง เล่นดนตรี ใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป แต่ตอนนี้คนอื่นพยายามสร้างให้ Amy เป็นในแบบที่คนอื่นอยากให้ Amy เป็น เธอต้องการหนีจากสิ่งเหล่านี้ และสารเสพย์ติด ก็อาจช่วยเธอได้ในบางขณะ (ผมไม่ได้คิดว่าสารเสพย์ติดมันดี แต่เชื่อว่ามันสร้างภาวะไร้สติให้คนเสพย์บางช่วงขณะ ทำให้ไม่ต้องรับรู้เรื่องในชีวิตจริง แต่ก็รู้ว่าผลเสียที่ตามมามันมหาศาลมากๆ ที่เขียนเพียงแค่อยากจะทำความเข้าใจความรู้สึกของ Amy เท่านั้นเอง)
ในเรื่องประเด็นครอบครัว แม้ว่าพ่อของ Amy จะทิ้ง Amy ไปมีภรรยาใหม่ แต่หนังก็ไมได้เน้นประเด็นนี้มากมายนัก ไม่ได้เน้นพูดว่าปมของครอบครัว นำไปสู่ปัญหาในชีวิตของ Amy เพียงแค่เล่าให้ฟังถึงชีวิตที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบของเธอ ประเด็นของพ่อเธอน่าสนใจ ในช่วงท้ายเรื่องที่ Amy ไปรับการบำบัดที่เกาะแห่งหนึ่ง และพ่อไปเยี่ยม Amy พร้อมด้วยตากล้องที่มาบันทึกภาพของเธอ ทำให้ Amy รู้สึกว่าพ่อต้องการแค่ชื่อเสียง ไม่ใช่การห่วงใยลูกสาวอย่างแท้จริง มันเจ็บปวดมากๆในการเล่าเรื่องในช่วงนี้
ประเด็นความรัก โดยเฉพาะกับ Blake Fielder เป็นช่วงเวลาสำคัญในชีวิตเธอ จากหนังที่เราดู เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไร ทำให้ Amy ถึงชอบ Blake มากๆ เพราะขนาดเค้าเคยทิ้งเธอไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เธอก็ยังยอมกลับมาคบกับ Blake อีกครั้ง จนถึงขั้นแต่งงานอีกด้วย ทั้งนี้ สิ่งที่เราเห็นในหนัง เราเชื่อว่า หากจะถามถึงช่วงเวลาที่ Amy มีความสุขมากที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต ช่วงเวลาที่ได้คบกับ Blake ต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน เราเห็นหนังถ่ายทอดความสุขที่เปี่ยมล้นของเธอ เห็นรอยยิ้มที่ดูไร้เดียงสา เห็นอาการเป็นตัวของตัวเองของเธอแบบหลุดโลก บางทีความรักก็แบบนี้ เราไม่ต้องไปหาเหตุผลอะไรให้มากมาย เราเชื่อว่าการที่เกิดความรู้สึกพิเศษกับใครบางคน มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่มีเหตุผลอะไรมาอธิบายทั้งนั้น
ผมชอบ Amy ในมุมของการยอมรับว่าตัวเองมีปัญหาและพยายามที่จะปรับปรุงตัว เธอยอมรับการเข้าบำบัดหลายต่อหลายครั้ง ผมคิดว่าเธอรู้ตัวดีว่าเธอมีปัญหา และผมชื่นชมในการเปิดใจของเธอ มุมนี้เราอาจจะไม่รู้ หากไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ เรานับถือใจ Amy มากๆ มันไม่ง่ายเลยที่เธอจะผ่านช่วงเวลาที่แสนยากลำบาก ผมชอบที่เธอไม่ยอมแพ้ และผมคิดว่าเธอเป็นยอดนักสู้คนหนึ่งเลย
ผมชอบตอนจบของหนังสารคดีเรื่องนี้มากๆ ถ้าจำไม่ผิด คือ การบอกเล่าจากปากเพื่อสนิทของเธอ ชื่อ Juliette Ashby ว่า Amy โทรมาหาเธอ เพื่อกล่าวขอโทษแก่เธอ ผมจุกในคอในซีนนี้ แม้เราจะไม่ได้ยินคำขอโทษจากปาก Amy โดยตรง แต่การที่คนอย่าง Amy รู้สึกผิดและอยากจะขอแก้ตัว มันทำให้เราจุกสุดๆ เรารู้สึกดีใจที่เห็น Amy ในมุมนี้ เธอคือคนธรรมดาสุดๆ ที่ผ่านชีวิตมาหลากหลายทั้งสุข ทั้งทุกข์ เหมือนตอนสุดท้ายเรารู้สึกว่า Amy เข้าใจชีวิตมากขึ้น เราเชื่อว่าเวลานั้นเธออยากมีชีวิตอยู่ เธออยากเริ่มชีวิตใหม่ เธอได้ทำเพลงกับศิลปินในดวงใจของเธอ อย่าง Tony Bennett แต่สุดท้ายความสุขก็ต้องจากไป เหลือไว้เพียงบทเพลงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของเธอ
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
Amy - เอมี ไวน์เฮาส์ ชีวิตดั่งดนตรีแจ๊ส
เวลาเราพูดถึงหนังสารคดี สิ่งแรกที่ผมกังวลคือ หนังจะน่าเบื่อหรือไม่ ประกอบกับความยาวของหนังถึง 128 นาที แต่เอาเข้าจริงหนังที่ดูน่าจะน่าเบื่อ กลับทำได้น่าติดตามมากๆ ขนาดตอนหนังจบ เรายังอยากจะดูต่ออยู่เลย ไม่อยากให้หนังจบ และที่สำคัญ ผมไม่อยากให้ถึงตอนจบของหนัง
การเล่าเรื่องเรียงลำดับเวลาตั้งแต่ช่วง Amy วัยรุ่นจนถึงวินาทีสุดท้ายในชีวิตของ Amy ทำได้ดีมาก หนังไม่ได้เน้นจุดใดจุดหนึ่งเป็นสำคัญ แต่เล่าโดยให้ความสำคัญของทุกช่วงในชีวิต ถือเป็นการให้เกียรติในการเล่าชีวประวัติของ Amy อย่างซื่อตรง หนังเล่าผ่านคำพูดของคนที่ใกล้ชิด Amy ในแต่ละช่วงเวลา มันทำให้เราเห็นมุมมองหลายๆมุมมองที่มีต่อ Amy ซึ่งผมชอบการเล่าเรื่องแบบนี้มาก
ดนตรีประกอบหลักในเรื่อง ก็คือเพลงของ Amy นั่นเอง ส่วนตัวผมเองที่ไม่ใช่แฟนเพลงของ Amy ก็รู้สึกว่า เพลงของ Amy ในอัลบั้มแรก Frank ถือว่าฟังยากสำหรับผม แต่ก็รู้สึกถึงการเล่าเรื่องของเธอผ่านบทเพลงที่เธอเขียน มาอัลบั้มที่ 2 Back to Black ผมว่าฟังง่ายขึ้นเยอะ แต่ที่ยังเหมือนเดิม คือการเล่าเรื่องผ่านบทเพลงของเธอ เรารู้สึกได้ถึงความรู้สึกในแต่ละบทเพลง (ส่วนตัวผมชอบเพลงที่เธอนำมา Cover อย่างเพลง Valerie มาก)
หนังเรื่องนี้ไม่มีการแสดงใดๆทั้งนั้น สิ่งที่เราเห็นคือภาพเหตุการณ์จริงของตัวละคร ซึ่งผมว่ามันเป็นจุดแข็งมากๆของหนังสารคดีเรื่องนี้ เพราะมันทำให้เราเชื่อในทุกการกระทำของตัวละคร Footage ที่มาจากกล้องวิดีโอส่วนตัวของเธอ มันดูเรียลมากๆ มันทำให้เห็นถึงสิ่งที่เธอเป็นจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะพยายามให้เธอเป็น
ผมชอบการยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเธอเป็น ชอบที่เธอไม่พยายามเป็นคนอื่นที่เธอไม่ได้เป็น เธอซื่อสัตย์กับตัวเองมากๆ ผมรู้สึกชื่นชมเธอมาก เธอแต่งเพลงของเธอเอง ผมรู้สึกถึงว่าเธอแต่งเพลง ไม่ใช่เพราะเธออยากจะเล่าเรื่องให้คนอื่นฟัง แต่เธอเพียงแค่ต้องการที่ระบายความรู้สึกที่อยู่ข้างในของเธอ และบทเพลงก็คือสิ่งที่ช่วยให้เธอระบายความรู้สึกได้ ผมดูการแสดงของเธอบนเวที เหมือนเธออยู่กับเรื่องราวของตัวเองตลอดเวลา ถ้าในการประกวดดนตรี Commentator อาจจะบอกว่า Amy ไม่สื่อสารกับคนดู แต่ผมรู้สึกว่า การอยู่กับตัวเองของเธอคือการสื่อสารที่จริงใจที่สุด โดยปราศจากการเสแสร้งใดๆทั้งสิ้น
เธอไม่ได้อยากเป็นคนดัง ผมชอบประเด็นนี้มาก บางครั้งเรารู้สึกว่า ดารานักร้องบางคนที่บอกว่าไม่ได้อยากมีชื่อเสียง ไม่ได้อยากดังนั้น มันไม่ได้รู้สึกเชื่อคำพูดของเค้าอย่าง 100% แต่สำหรับ Amy ในตอนต้นเรื่องที่เธอให้สัมภาษณ์รายการทีวี เธอพูดชัดเจนว่าเธอไมได้อยากมีชื่อเสียง เธอพูดแบบไม่ได้แคร์สิ่งนั้นจริงๆ สายตาของเธอมันทำให้เราเชื่อ ประกอบกับตอนท้ายเรื่อง ผ่านคำพูดของบอดี้การ์ดของเธอว่า ถ้าเลือกได้ว่าเป็นคนมีชื่อเสียงกับการเป็นคนธรรมดาบนท้องถนนทั่วไป เธอจะเลือกเป็นคนธรรมดา มันชัดเจนมาก เพราะเธอไม่ได้พูดออกสื่อ ไม่ได้พูดเพื่อสร้างภาพใดๆทั้งนั้น
ยาเสพย์ติดและแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่ไม่ดี เราคงไม่ต้องมาพูดถึงประเด็นนี้ แต่สิ่งที่ผมสนใจ คือ ทำไม Amy ต้องหันมาพึ่งยาเสพย์ติดและแอลกอฮอล์ จากที่ในหนังเล่า เริ่มแรกเธอเริ่มเสพย์จากการชักชวนของ Blake Fielder แฟนของเธอ นั่นอาจจะเพราะความอยากรู้ อาจจะเพราะความสนุก อาจจะเพราะแฟนของเธอชักชวนก็แล้วแต่ แต่ผมเดาเอาเองว่า สิ่งที่ทำให้ Amy ชอบสารเสพย์ติด คือ มันทำให้เธอได้เข้าไปสู่โลกอีกโลกหนึ่ง ผมคิดว่าเธอไม่ได้ชอบชีวิตจริงของตัวเอง แม้จะประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง แต่เธอไม่ได้ต้องการมัน เธอต้องการแค่แต่งเพลง เล่นดนตรี ใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป แต่ตอนนี้คนอื่นพยายามสร้างให้ Amy เป็นในแบบที่คนอื่นอยากให้ Amy เป็น เธอต้องการหนีจากสิ่งเหล่านี้ และสารเสพย์ติด ก็อาจช่วยเธอได้ในบางขณะ (ผมไม่ได้คิดว่าสารเสพย์ติดมันดี แต่เชื่อว่ามันสร้างภาวะไร้สติให้คนเสพย์บางช่วงขณะ ทำให้ไม่ต้องรับรู้เรื่องในชีวิตจริง แต่ก็รู้ว่าผลเสียที่ตามมามันมหาศาลมากๆ ที่เขียนเพียงแค่อยากจะทำความเข้าใจความรู้สึกของ Amy เท่านั้นเอง)
ในเรื่องประเด็นครอบครัว แม้ว่าพ่อของ Amy จะทิ้ง Amy ไปมีภรรยาใหม่ แต่หนังก็ไมได้เน้นประเด็นนี้มากมายนัก ไม่ได้เน้นพูดว่าปมของครอบครัว นำไปสู่ปัญหาในชีวิตของ Amy เพียงแค่เล่าให้ฟังถึงชีวิตที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบของเธอ ประเด็นของพ่อเธอน่าสนใจ ในช่วงท้ายเรื่องที่ Amy ไปรับการบำบัดที่เกาะแห่งหนึ่ง และพ่อไปเยี่ยม Amy พร้อมด้วยตากล้องที่มาบันทึกภาพของเธอ ทำให้ Amy รู้สึกว่าพ่อต้องการแค่ชื่อเสียง ไม่ใช่การห่วงใยลูกสาวอย่างแท้จริง มันเจ็บปวดมากๆในการเล่าเรื่องในช่วงนี้
ประเด็นความรัก โดยเฉพาะกับ Blake Fielder เป็นช่วงเวลาสำคัญในชีวิตเธอ จากหนังที่เราดู เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไร ทำให้ Amy ถึงชอบ Blake มากๆ เพราะขนาดเค้าเคยทิ้งเธอไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เธอก็ยังยอมกลับมาคบกับ Blake อีกครั้ง จนถึงขั้นแต่งงานอีกด้วย ทั้งนี้ สิ่งที่เราเห็นในหนัง เราเชื่อว่า หากจะถามถึงช่วงเวลาที่ Amy มีความสุขมากที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต ช่วงเวลาที่ได้คบกับ Blake ต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน เราเห็นหนังถ่ายทอดความสุขที่เปี่ยมล้นของเธอ เห็นรอยยิ้มที่ดูไร้เดียงสา เห็นอาการเป็นตัวของตัวเองของเธอแบบหลุดโลก บางทีความรักก็แบบนี้ เราไม่ต้องไปหาเหตุผลอะไรให้มากมาย เราเชื่อว่าการที่เกิดความรู้สึกพิเศษกับใครบางคน มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่มีเหตุผลอะไรมาอธิบายทั้งนั้น
ผมชอบ Amy ในมุมของการยอมรับว่าตัวเองมีปัญหาและพยายามที่จะปรับปรุงตัว เธอยอมรับการเข้าบำบัดหลายต่อหลายครั้ง ผมคิดว่าเธอรู้ตัวดีว่าเธอมีปัญหา และผมชื่นชมในการเปิดใจของเธอ มุมนี้เราอาจจะไม่รู้ หากไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ เรานับถือใจ Amy มากๆ มันไม่ง่ายเลยที่เธอจะผ่านช่วงเวลาที่แสนยากลำบาก ผมชอบที่เธอไม่ยอมแพ้ และผมคิดว่าเธอเป็นยอดนักสู้คนหนึ่งเลย
ผมชอบตอนจบของหนังสารคดีเรื่องนี้มากๆ ถ้าจำไม่ผิด คือ การบอกเล่าจากปากเพื่อสนิทของเธอ ชื่อ Juliette Ashby ว่า Amy โทรมาหาเธอ เพื่อกล่าวขอโทษแก่เธอ ผมจุกในคอในซีนนี้ แม้เราจะไม่ได้ยินคำขอโทษจากปาก Amy โดยตรง แต่การที่คนอย่าง Amy รู้สึกผิดและอยากจะขอแก้ตัว มันทำให้เราจุกสุดๆ เรารู้สึกดีใจที่เห็น Amy ในมุมนี้ เธอคือคนธรรมดาสุดๆ ที่ผ่านชีวิตมาหลากหลายทั้งสุข ทั้งทุกข์ เหมือนตอนสุดท้ายเรารู้สึกว่า Amy เข้าใจชีวิตมากขึ้น เราเชื่อว่าเวลานั้นเธออยากมีชีวิตอยู่ เธออยากเริ่มชีวิตใหม่ เธอได้ทำเพลงกับศิลปินในดวงใจของเธอ อย่าง Tony Bennett แต่สุดท้ายความสุขก็ต้องจากไป เหลือไว้เพียงบทเพลงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของเธอ
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/