พบ คนขับรถกว่าครึ่ง เคยหลับใน แนะจอดงีบแก้ง่วง - หลับในขับรถเร็ว 90 กม./ชม. ชนแรง เท่ากับตกตึก 10 ชั้น

พบคนขับรถกว่าครึ่งเคยหลับใน แนะจอดงีบแก้ง่วง
แพทย์ชี้หลับในขับรถเร็ว 90 กม./ชม. ชนแรงเท่ากับตกตึก 10 ชั้น เผยผลสำรวจพบคนขับรถกว่าครึ่งเคยหลับใน แนะง่วงให้จอดงีบ 10-15 นาที ช่วยให้สดชื่น


เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ ประธานกองทุน"ง่วงอย่าขับ" ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มูลนิธิรามาธิบดี เปิดเผยใน​การเสวนาเรื่อง “ง่วงหลับใน มหันตภัยบนถนน​ที่สังคมไทยต้องรับรู้” ในการประชุมระดับชาติ เรื่อง ความปลอดภัยทางถนนว่า อาการหลับใน ​คือการหลับตื้นๆ ไม่เกิน 10 วินาที แต่ทำให้​สมองไม่รับรู้หูไม่ได้ยิน ตาไม่เห็น มือเท้าไม่ขยับ คลื่นสมองเปลี่ยนจากตื่นเป็นหลับ ซึ่งหากเกิดขึ้นเพียง ​4 วินาทีในขณะที่​รถวิ่งด้วยความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถจะเคลื่อนที่ไป 100 เมตร โดยที่คนขับไม่รู้ตัว ซึ่งแรงปะทะที่การชนจะเท่ากับการตกตึก 10 ชั้น โอกาสจะเสียชีวิตสูงถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ มูลนิธิรามาธิบดีที่ได้สำรวจคนขับรถหลายประเภท ผ่านแบบสอบถามพบว่า 28-53 เปอร์เซ็นต์ เคยหลับขณะขับรถมาสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด คือ อดนอน นอนไม่พอ ส่วนสาเหตุอื่น อาทิ การกินยาแก้หวัดยาแก้ภูมิแพ้ รวมถึงโรคประจำตัวบางโรค เช่น โรคนอนกรน หยุดหายใจขณะหลับ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น



“อาการหลับในจะมีสัญญาณเตือน เช่น หาวนอนไม่หยุด ลืมตาไม่ขึ้น บังคับรถให้อยู่ในเลนลำบาก จิตใจล่องลอยไม่มีสมาธิ ที่สำคัญที่สุดจำไม่ได้ว่าเพิ่งขับผ่านอะไรมา ความง่วงที่ทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนั้น ทำให้เกิดอาการหลับในได้ในที่สุด ถ้ามีสัญญาณเหล่านี้คนขับต้องรีบจอดรถในที่ปลอดภัยและหลับ 10-15 นาที ถือเป็นระยะที่ทำให้ร่างกายกลับมาสดชื่นเหมือนเดิมได้”นพ.มนูญ กล่าวและว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือผู้ขับขี่รถสาธารณะ ฉะนั้น กรมการขนส่งทางบกควรออกกฎหมายบังคับพนักงานขับรถโดยสารสาธารณะและรถบรรทุก ขับรถได้วันละไม่เกิน 10 ชั่วโมง สัปดาห์ละไม่เกิน 60 ชั่วโมง และมีวันหยุด 1 วัน ต้องหยุดพักรถทุก 2 ชั่วโมง และบรรจุความรู้การป้องกันอันตรายจากการง่วงแล้วขับในใบขับขี่ รวมทั้งกรมทางหลวงต้องสร้างที่พักริมทางสำหรับรถบรรทุกใหญ่เพิ่มขึ้น รณรงค์ให้สังคมรับรู้ถึงอันตรายของการง่วงหลับในอย่างต่อเนื่อง.   
http://www.dailynews.co.th/politics/369627

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่