สวัสดีครับ
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่า การไปเที่ยวครั้งนี้ เป็นการพักผ่อนสมอง และพักหัวใจที่บอบช้ำมาแสนนาน เลยอยากจะหาสถานที่ที่เราไม่รู้จักใครเลย โดยการอยากไปพักหัวใจไกลๆ สักที และแน่นอนว่าคงมีหลายประเทศเป็นคำตอบของหัวใจอยู่ แต่ด้วยวัยที่กำลังเรียนอยู่ "ตูจะไปได้ล้าววววววว"
เลยลองหาตั๋วไปเที่ยวต่างประเทศแบบถูกๆ มีน้องคนหนึ่งเสนอตั๋วราคาแบบพอไหว แล้วไปต่างประเทศด้วย ก็เลยชวนกันไปที่เวียดนาม นั่นและครับคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางในครั้งนี้ (เปิดเพลงการเดินทางของพี่สุชาติฟังไปด้วยก็ได้นะครับ ไม่ว่ากัน อิอิ)
ปล.ภาพบางภาพอาจจะไม่ชัดนะครับ เพราะถ่ายด้วยความเร่งรีบจากมือถือ
ปล.ที่ 2 จะรวมค่าใช้จ่ายให้ตอนสุดท้ายนะครับ
เริ่มต้นจากการหาเที่ยวบินราคาถูก เราได้ไฟท์บินไปวันที่ 21 ธันวาคม 2558 ไฟท์กลับวันที่ 25 ธันวาคม 2558 ซึ่งเป็นสายการบินของสายการบินหนึ่งที่มีแอร์ใส่ชุดสีเหลืองทำหน้าที่เป็นลูกเรือบนเครื่องครับผม
เราเดินทางจากสนามบินดอนเมืองไฟท์บินเวลา 18.20 น.

คือคนเยอะมาก เป็นช่วงสิ้นปีพอดีด้วยแหล่ะมั้ง
มาบินมาถึงสนามบินนานาชาติโหน่ยบ่าย ฮานอย เวลาประมาณ 20.00 น. ครับ
สนามบินแห่งนี้พึ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน มีขนาดใหญ่พอที่จะสามารถรับผู้โดยสารจากหลายประเทศได้พอสมควรครับ
แต่ดูแล้ว ยังเป็นน้อง ๆ สุวรรณภูมินิดนึง

พอถึงสนามบิน ก็มีเพื่อนชาวเวียดนามสองคนอาสาพาเราไปส่งที่สถานีรถไฟต่อครับ
ต้องขอบอกก่อนว่าแท็กซี่ที่เราอาศัยไปยังสถานีรถไฟนั้น เป็นการเรียกเหมาจากเพื่อนเวียดนามของเราเอง แต่ถ้าใครที่ไปเองแล้วเรียกแท็กซี่จากตรงนั้นเอง แน่นอนว่าโดนโกงค่าแท็กซี่เป็นแน่แท้เลยทีเดียววววววว คงไม่ต่างอะไรกับบ้านเรามาก
จากสนามบินโหน่ยบ่าย เรามาถึงสถานีรถไฟฮานอยประมาณสามทุ่มนิดๆ แล้ว เพราะต้องรีบวิ่งไปขึ้นรถไฟขบวนที่ต้องไปซาปา เวล่า 22.00 น.
ต้องเล่าระบบของการจองรถไฟของเวียดนามก่อนนะครับว่า ระบบการจองรถไฟคือดีมาก ๆ แบบว่าเราสามารถจองผ่านเน็ตได้เลย สบายมาก

บรรยากาศด้านหน้าของสถานีรถไฟฮานอยครับ
ไม่มีเวลาถ่ายรอบๆ เลย เพราะเราต้องรีบวิ่งไปขึ้นรถไฟ ซึ่งเหลือเพียงไม่กี่น้อยนิด
พอถึงขบวนของเราครับ ปรากฎว่าเราจะไม่ได้นั่งที่ที่เราจองไว้ครับ นายสถานีบอกว่า มันเกิดข้อผิดพลาด ซึ่งเราจองเป็นที่นั่งไว้ กะว่าจะนั่งไปจนถึงซาปา แต่แจ็คพอตครับ เราได้ตู้นอนครับ ตู้นอนแบบเป็นห้อง ห้องละสี่เตียง คือหรูในระดับหนึ่งครับ เราอุตสาดีใจครับว่าจะได้นั่งแบบสบาย ๆ สามคนไปจนถึงซาปา แต่แจ็คพอตมากกว่านั้นคือ นายสถานีบอกเราว่า จะต้องมีคนมานั่งอีก รวมกับเราเป็นแปดคน
ได้ยินครั้งแรกถึงกับ ห๊ะ??? อยากจะอุทานเป็นภาษาเวียดนามเลยครับ แต่ติดตรงที่พูดไม่ได้ 5555 คิดหนักเลยครับ เตียงเล็กๆ ห้องเล็กๆ จะเบียดกันยังไงให้ได้แปดคน แม่เจ้าา ยอมจ้า สุดท้ายฉันต้องยอมจำนน 55555
ถึงซาปาเวลาประมาณ หกโมงเช้าครับ อากาศคือหนาวสุดๆ หมอกลงจัดมาก แต่บรรยากาศเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว
อ่อ ลืมบอกไปว่า เราไปซาปาโดยที่ไม่มีเพื่อเวียดนามนะครับ การเป็นนักท่องเที่ยวแบบ Backpacker ได้เริ่มต้นขึ้น

สถานีรถไฟลาวไก (กา หล่าวกาย)

ด้านหน้าสถานีรถไฟหล่าวกายครับ

สถานีต่อไป หารถที่จะไปซาปาครับ เราคิดอยุ่นานว่าจะเหมาไปดีมั้ย ถ้าเหมา ไม่คุ้มแน่นอน ไหนๆก็ไหนไหนแล้ว นั่งรถประจำทางเลยครับในราคาย่อมเยาแบบชาวบ้านจริง ๆ

จากตัวจังหวัดหล่าวกายไปยังซาปา ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงครึ่งครับ รถออกจากหล่าวกาย 7.00 น.

อากาศหนาวมากครับ ผู้คนเยอะแยะเต็มไปหมด ทั้งคนพื้นถิ่น และนักท่องเที่ยว
ไปถึงเราก็รีบหาที่พักและไปหาที่เติมเงิน และซื้อซิมครับ (คือเราได้ซิมโทรศัพท์ฟรีจากเพื่อนเวียดนมาด้วย แบบเป็นกองเลยทีเดียว) กว่าเราจะหาที่พักเจอก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมงเลยครับ เพราะที่พักที่เราจองไว้ เป็นชื่อภาษาเวียดนาม อ่านออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่พอเจอที่พักแล้วประทับใจมากครับ ที่พักราคาย่อมเยาว์ วิวสวยด้วย
ปฏิบัติการต่อไปครับ ตามล่าหาที่ท่องเที่ยว (เดี๋ยวนะ โหดไปป่ะ)
อย่าลืมนะว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง และแน่นอนว่าต้องหาอะไรกินรองท้องกัน สิ่งที่ขึ้นชื่อของเวียดนามมีหลายอย่างครับ อย่างแรกที่เราคิดถึงคือเฝอ ใช่แล้วครับเฝอ ลักษณะจะคล้ายๆกับก๋วยเตี๋ยวบ้านเราแหล่ะ เพียงออฟชั่นอาจจะไม่ค่อยเหมือนก๋วยเตี๋ยวซะทีเดียวนะครับ

นี่คือเฝอเนื้อครับ อร่อยมากๆ
เมื่อเรากินอิ่มแล้ว ปฏิบัติการต่อไปคือสำรวจที่เที่ยว ทีแรกเรากะจะเดินเที่ยวเอาครับ เพราะตามแผนที่เราวางไว้คือเลทมามากแล้ว แต่ไม่ไหวกับสภาพภูมิประเทศจริงๆครับ เลยจำเป็นต้องเช่า แต่ร้านเช่ามอไซที่เราสำรวจแต่ละร้านราคาพอตัวอยู่ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ราคาเช่าจักรยาน แพงกว่ามอเตอร์ไซด์มากครับ เท่าตัวเลย เราเลยตัดสินใจโทรไปเช่ารถมอเตอร์ไซด์จากโรงแรมที่เราพักครับ ก็ได้ราคาที่คบได้ ไม่แพงมาก
จากกนั้นเราก็ขับไปเที่ยว จุดหมายเราคือหมู่บ้านกั๊ตกั๊ต วินเลจ (cat cat)

สภาพมอเตอร์ไซด์เช่าก็อย่างที่เห็นครับ ทรหด ผ่านมาแล้วหลายสนามพอสมควร

ทีแรกที่เราดูในแมพหมู่บ้าน เรากะว่าจะไปเติมน้ำมันที่ปั๊มครับ แต่หาไม่เจอ เลยจำเป็นต้องเติมกับปั๊มหลอดข้างทางที่ราคาก็พอตัวอยู่
เราเติมน้ำมันเสร็จ เราก็ขับไปตามแผนที่ที่ได้มาครับ แต่ปรากฏว่า .... ปรากฏว่า.... เราหลงทาง!!! ใช่แล้วครับ เราหลงทาง!!!!
ก็ย้อนหลังกลับไปอีกทางหนึ่งซึ่งเลยมาพอสมควร โคตรขำตัวเอง

นี่คือวิวข้างทางที่เราหลงไปครับ นอกจากจะหลงทางแล้ว ฉันยังหลงรักวิวข้างทางนี้อีกด้วย
เมื่อเราขับย้อนกลับขึ้นมาอีกทางหนึ่งครับ จากซาปาไปหมุ่บ้านกั๊ตกั๊ต ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ไม่ไกลมากครับ แต่ข้างทางคือภูเขาล้อมรอบ ถ้าใครไม่ชำนาญ หรือกลัวกับภูเขาเราว่าต้องผวากับข้างทางแน่นอน

ถึงแล้วครับหมู่บ้านกั๊ตกั๊ต ต้องเสียค่าเข้าชมด้วยนะเออออออ

เราได้รับการต้อนรับจากปากทางเข้าหมู่บ้านจากพี่คนนึง เรียกให้เราไปชิมชา และให้เราจอดรถมอไซตรงนั้นเพื่อเดินชมหมู่บ้านครับ รสชาติชาหอมมาก แต่ไม่รู้ว่าคือชาอะไร แถมพี่เขายังพูดต่อท้ายด้วยว่า ชมหมู่บ้านเสร็จอย่าลืมมาชมร้านผมนะ

ร้านขายของข้างทางหมู่บ้านครับ

ตรงนี้จะเป็นเส้นทางที่เดินลงไปเรื่อยๆ ระหว่างทางก็จะมีสินค้าจากชาวบ้านมาตั้งขายกันเรียงรายไปหมด สินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าของชาวม้งที่นี่เองครับ

ของขึ้นชื่อที่นี่อีกอย่างน่าจะเป็นหินซาปาครับ เพราะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา ดังนั้นหินที่ได้จะนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ขายเป็นรายได้ครับ

เดินไปเรื่อยๆ เราจะเห็นวิวภูเขาที่สวยงาม อดไม่ได้หรอกที่ต้องแวะถ่ายรูปข้างทาง เห้ยยยแก คือมันสวยมาก สวยมากจริงๆ

สภาพบ้านที่นี่ก็ยังคงความดั้งเดิมไว้อยู่เหมือนเดิมเลย

สะพานเอาไว้เดินข้ามน้ำตกที่ไหลผ่านหมู่บ้านครับ ลืมบอกไปว่า คำว่ากั๊ตกั๊ต เพี้ยนมาจากภาษาฝรั่งเศสครับ แปลว่าน้ำตก เราจะเห็นว่าน้ำตกไหลผ่านกลางหมู่บ้านเลย โรแมนติกสุดๆไปเลย

เทือกเขาที่เราเห็นคือเทือกเขาฟานซีปันครับ เป็นจุดที่สูงที่สุดของซาปา และถือได้ว่าเป็นหลังคาของอินโดจีนด้วย

เดินข้ามน้ำตกไปแล้ว เราจะพบกับอาคารจัดแสดงพื้นเมืองของที่นี่ครับ ไม่ว่าจะเป็นการละเล่นต่าง ๆ จะมีจัดแสดงเป็นรอบๆไป ปล.จุดนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรนะครับ เข้าชมฟรี

เดินๆไป พระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี ได้มุมพอดี ถ่ายรูปสิจะรออะไรละ

ขากลับเดินขึ้นเนินครับ จริงๆจะมีมอไซรับจ้างตรงทางออกที่ชมหมู่บ้าน แต่ด้วยความงกหรือความประหยัดไม่รู้ เราเลยพากันตัดใจเดินกลับครับ 55555

เราเห็นป้ายพวกนี้ถึงกับต้องสะดุดตาครับ เพราะเป็นภาษาไทย ใช่แล้วมันคือภาษาไทย แสดงว่าคนไทยมาเที่ยวเยอะพอสมควร จนที่ร้านจะสามารถเขียนป้ายเป็นภาษาไทย และเราก็ยังต่อราคาเป็นภาษาไทยได้อย่างเลยนะ งานนี้ต่อกันไปต่อกันมาสนุกเลย

เราแวะพักกันตรงร้านจุดชมวิวด้านบนหมู่บ้านครับ เพื่อนั่งพัก บอกเลยว่าบรรยากาศดีมากๆ (ลองจินตาการตามนะครับ ลมเย็นๆ อากาศเย็นๆ แล้วนั่งจิบกาแฟ มองดูตะวันตกดิน โอ้ยยยยย อะไรจะฟินขนาดนี้เนี่ย)
กลับมาถึงที่พักเราก็พักผ่อนกันครับ เราก็ตกลงกันหาร้านอาหารแบบราคาถูกๆกิน เลยไปถามเจ้าของโรงแรมดูครับ พี่แกก็ใจดี มีร้านแนะนำให้เรา อยู่ด้านหลังของโรงแรม ราคาประหยัดจริงๆ

อาหารเย็นของเราวันนี้
ด้วยความที่อยากจะลองอาหารเวียดนามอื่นๆดู ก็เลยเดินหาของกินอื่นไปเลย จนไปสะดุดกับร้านปิ้งย่างร้านหนึ่งครับ สไตล์การปิ้งแบบจีนยูนนานอะไรประมาณนั้น

คือเอาทุกอย่างมาปิ้ง มาย่างครับ เต็มไปหมด เลือกไม่ถูก ราคาไม่แพงด้วยย
สำหรับการเที่ยวซาปาครั้งแรก และวันแรก สนุกมากๆครับ ได้มองเห็นอะไรหลายๆอย่างเลย ทั้งวัฒนธรรมการกิน การอยู่ รวมไปถึงวัฒนธรรมอื่นๆด้วย ประทับใจมากครับ
...เดี๋ยวมาต่อการเดินทางของวันต่อไปนะครับ...
[CR] หนีรัก แล้วไปพักใจที่เวียดนามกัน (ซาปา,ฮานอย) ด้วยงบประมาณ 5,990 บาท
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่า การไปเที่ยวครั้งนี้ เป็นการพักผ่อนสมอง และพักหัวใจที่บอบช้ำมาแสนนาน เลยอยากจะหาสถานที่ที่เราไม่รู้จักใครเลย โดยการอยากไปพักหัวใจไกลๆ สักที และแน่นอนว่าคงมีหลายประเทศเป็นคำตอบของหัวใจอยู่ แต่ด้วยวัยที่กำลังเรียนอยู่ "ตูจะไปได้ล้าววววววว"
เลยลองหาตั๋วไปเที่ยวต่างประเทศแบบถูกๆ มีน้องคนหนึ่งเสนอตั๋วราคาแบบพอไหว แล้วไปต่างประเทศด้วย ก็เลยชวนกันไปที่เวียดนาม นั่นและครับคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางในครั้งนี้ (เปิดเพลงการเดินทางของพี่สุชาติฟังไปด้วยก็ได้นะครับ ไม่ว่ากัน อิอิ)
ปล.ภาพบางภาพอาจจะไม่ชัดนะครับ เพราะถ่ายด้วยความเร่งรีบจากมือถือ
ปล.ที่ 2 จะรวมค่าใช้จ่ายให้ตอนสุดท้ายนะครับ
เริ่มต้นจากการหาเที่ยวบินราคาถูก เราได้ไฟท์บินไปวันที่ 21 ธันวาคม 2558 ไฟท์กลับวันที่ 25 ธันวาคม 2558 ซึ่งเป็นสายการบินของสายการบินหนึ่งที่มีแอร์ใส่ชุดสีเหลืองทำหน้าที่เป็นลูกเรือบนเครื่องครับผม
เราเดินทางจากสนามบินดอนเมืองไฟท์บินเวลา 18.20 น.
คือคนเยอะมาก เป็นช่วงสิ้นปีพอดีด้วยแหล่ะมั้ง
มาบินมาถึงสนามบินนานาชาติโหน่ยบ่าย ฮานอย เวลาประมาณ 20.00 น. ครับ
สนามบินแห่งนี้พึ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน มีขนาดใหญ่พอที่จะสามารถรับผู้โดยสารจากหลายประเทศได้พอสมควรครับ
แต่ดูแล้ว ยังเป็นน้อง ๆ สุวรรณภูมินิดนึง
พอถึงสนามบิน ก็มีเพื่อนชาวเวียดนามสองคนอาสาพาเราไปส่งที่สถานีรถไฟต่อครับ
ต้องขอบอกก่อนว่าแท็กซี่ที่เราอาศัยไปยังสถานีรถไฟนั้น เป็นการเรียกเหมาจากเพื่อนเวียดนามของเราเอง แต่ถ้าใครที่ไปเองแล้วเรียกแท็กซี่จากตรงนั้นเอง แน่นอนว่าโดนโกงค่าแท็กซี่เป็นแน่แท้เลยทีเดียววววววว คงไม่ต่างอะไรกับบ้านเรามาก
จากสนามบินโหน่ยบ่าย เรามาถึงสถานีรถไฟฮานอยประมาณสามทุ่มนิดๆ แล้ว เพราะต้องรีบวิ่งไปขึ้นรถไฟขบวนที่ต้องไปซาปา เวล่า 22.00 น.
ต้องเล่าระบบของการจองรถไฟของเวียดนามก่อนนะครับว่า ระบบการจองรถไฟคือดีมาก ๆ แบบว่าเราสามารถจองผ่านเน็ตได้เลย สบายมาก
บรรยากาศด้านหน้าของสถานีรถไฟฮานอยครับ
ไม่มีเวลาถ่ายรอบๆ เลย เพราะเราต้องรีบวิ่งไปขึ้นรถไฟ ซึ่งเหลือเพียงไม่กี่น้อยนิด
พอถึงขบวนของเราครับ ปรากฎว่าเราจะไม่ได้นั่งที่ที่เราจองไว้ครับ นายสถานีบอกว่า มันเกิดข้อผิดพลาด ซึ่งเราจองเป็นที่นั่งไว้ กะว่าจะนั่งไปจนถึงซาปา แต่แจ็คพอตครับ เราได้ตู้นอนครับ ตู้นอนแบบเป็นห้อง ห้องละสี่เตียง คือหรูในระดับหนึ่งครับ เราอุตสาดีใจครับว่าจะได้นั่งแบบสบาย ๆ สามคนไปจนถึงซาปา แต่แจ็คพอตมากกว่านั้นคือ นายสถานีบอกเราว่า จะต้องมีคนมานั่งอีก รวมกับเราเป็นแปดคน
ได้ยินครั้งแรกถึงกับ ห๊ะ??? อยากจะอุทานเป็นภาษาเวียดนามเลยครับ แต่ติดตรงที่พูดไม่ได้ 5555 คิดหนักเลยครับ เตียงเล็กๆ ห้องเล็กๆ จะเบียดกันยังไงให้ได้แปดคน แม่เจ้าา ยอมจ้า สุดท้ายฉันต้องยอมจำนน 55555
ถึงซาปาเวลาประมาณ หกโมงเช้าครับ อากาศคือหนาวสุดๆ หมอกลงจัดมาก แต่บรรยากาศเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว
อ่อ ลืมบอกไปว่า เราไปซาปาโดยที่ไม่มีเพื่อเวียดนามนะครับ การเป็นนักท่องเที่ยวแบบ Backpacker ได้เริ่มต้นขึ้น
สถานีรถไฟลาวไก (กา หล่าวกาย)
ด้านหน้าสถานีรถไฟหล่าวกายครับ
สถานีต่อไป หารถที่จะไปซาปาครับ เราคิดอยุ่นานว่าจะเหมาไปดีมั้ย ถ้าเหมา ไม่คุ้มแน่นอน ไหนๆก็ไหนไหนแล้ว นั่งรถประจำทางเลยครับในราคาย่อมเยาแบบชาวบ้านจริง ๆ
จากตัวจังหวัดหล่าวกายไปยังซาปา ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงครึ่งครับ รถออกจากหล่าวกาย 7.00 น.
อากาศหนาวมากครับ ผู้คนเยอะแยะเต็มไปหมด ทั้งคนพื้นถิ่น และนักท่องเที่ยว
ไปถึงเราก็รีบหาที่พักและไปหาที่เติมเงิน และซื้อซิมครับ (คือเราได้ซิมโทรศัพท์ฟรีจากเพื่อนเวียดนมาด้วย แบบเป็นกองเลยทีเดียว) กว่าเราจะหาที่พักเจอก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมงเลยครับ เพราะที่พักที่เราจองไว้ เป็นชื่อภาษาเวียดนาม อ่านออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่พอเจอที่พักแล้วประทับใจมากครับ ที่พักราคาย่อมเยาว์ วิวสวยด้วย
ปฏิบัติการต่อไปครับ ตามล่าหาที่ท่องเที่ยว (เดี๋ยวนะ โหดไปป่ะ)
อย่าลืมนะว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง และแน่นอนว่าต้องหาอะไรกินรองท้องกัน สิ่งที่ขึ้นชื่อของเวียดนามมีหลายอย่างครับ อย่างแรกที่เราคิดถึงคือเฝอ ใช่แล้วครับเฝอ ลักษณะจะคล้ายๆกับก๋วยเตี๋ยวบ้านเราแหล่ะ เพียงออฟชั่นอาจจะไม่ค่อยเหมือนก๋วยเตี๋ยวซะทีเดียวนะครับ
นี่คือเฝอเนื้อครับ อร่อยมากๆ
เมื่อเรากินอิ่มแล้ว ปฏิบัติการต่อไปคือสำรวจที่เที่ยว ทีแรกเรากะจะเดินเที่ยวเอาครับ เพราะตามแผนที่เราวางไว้คือเลทมามากแล้ว แต่ไม่ไหวกับสภาพภูมิประเทศจริงๆครับ เลยจำเป็นต้องเช่า แต่ร้านเช่ามอไซที่เราสำรวจแต่ละร้านราคาพอตัวอยู่ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ราคาเช่าจักรยาน แพงกว่ามอเตอร์ไซด์มากครับ เท่าตัวเลย เราเลยตัดสินใจโทรไปเช่ารถมอเตอร์ไซด์จากโรงแรมที่เราพักครับ ก็ได้ราคาที่คบได้ ไม่แพงมาก
จากกนั้นเราก็ขับไปเที่ยว จุดหมายเราคือหมู่บ้านกั๊ตกั๊ต วินเลจ (cat cat)
สภาพมอเตอร์ไซด์เช่าก็อย่างที่เห็นครับ ทรหด ผ่านมาแล้วหลายสนามพอสมควร
ทีแรกที่เราดูในแมพหมู่บ้าน เรากะว่าจะไปเติมน้ำมันที่ปั๊มครับ แต่หาไม่เจอ เลยจำเป็นต้องเติมกับปั๊มหลอดข้างทางที่ราคาก็พอตัวอยู่
เราเติมน้ำมันเสร็จ เราก็ขับไปตามแผนที่ที่ได้มาครับ แต่ปรากฏว่า .... ปรากฏว่า.... เราหลงทาง!!! ใช่แล้วครับ เราหลงทาง!!!!
ก็ย้อนหลังกลับไปอีกทางหนึ่งซึ่งเลยมาพอสมควร โคตรขำตัวเอง
นี่คือวิวข้างทางที่เราหลงไปครับ นอกจากจะหลงทางแล้ว ฉันยังหลงรักวิวข้างทางนี้อีกด้วย
เมื่อเราขับย้อนกลับขึ้นมาอีกทางหนึ่งครับ จากซาปาไปหมุ่บ้านกั๊ตกั๊ต ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ไม่ไกลมากครับ แต่ข้างทางคือภูเขาล้อมรอบ ถ้าใครไม่ชำนาญ หรือกลัวกับภูเขาเราว่าต้องผวากับข้างทางแน่นอน
ถึงแล้วครับหมู่บ้านกั๊ตกั๊ต ต้องเสียค่าเข้าชมด้วยนะเออออออ
เราได้รับการต้อนรับจากปากทางเข้าหมู่บ้านจากพี่คนนึง เรียกให้เราไปชิมชา และให้เราจอดรถมอไซตรงนั้นเพื่อเดินชมหมู่บ้านครับ รสชาติชาหอมมาก แต่ไม่รู้ว่าคือชาอะไร แถมพี่เขายังพูดต่อท้ายด้วยว่า ชมหมู่บ้านเสร็จอย่าลืมมาชมร้านผมนะ
ร้านขายของข้างทางหมู่บ้านครับ
ตรงนี้จะเป็นเส้นทางที่เดินลงไปเรื่อยๆ ระหว่างทางก็จะมีสินค้าจากชาวบ้านมาตั้งขายกันเรียงรายไปหมด สินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าของชาวม้งที่นี่เองครับ
ของขึ้นชื่อที่นี่อีกอย่างน่าจะเป็นหินซาปาครับ เพราะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา ดังนั้นหินที่ได้จะนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ขายเป็นรายได้ครับ
เดินไปเรื่อยๆ เราจะเห็นวิวภูเขาที่สวยงาม อดไม่ได้หรอกที่ต้องแวะถ่ายรูปข้างทาง เห้ยยยแก คือมันสวยมาก สวยมากจริงๆ
สภาพบ้านที่นี่ก็ยังคงความดั้งเดิมไว้อยู่เหมือนเดิมเลย
สะพานเอาไว้เดินข้ามน้ำตกที่ไหลผ่านหมู่บ้านครับ ลืมบอกไปว่า คำว่ากั๊ตกั๊ต เพี้ยนมาจากภาษาฝรั่งเศสครับ แปลว่าน้ำตก เราจะเห็นว่าน้ำตกไหลผ่านกลางหมู่บ้านเลย โรแมนติกสุดๆไปเลย
เทือกเขาที่เราเห็นคือเทือกเขาฟานซีปันครับ เป็นจุดที่สูงที่สุดของซาปา และถือได้ว่าเป็นหลังคาของอินโดจีนด้วย
เดินข้ามน้ำตกไปแล้ว เราจะพบกับอาคารจัดแสดงพื้นเมืองของที่นี่ครับ ไม่ว่าจะเป็นการละเล่นต่าง ๆ จะมีจัดแสดงเป็นรอบๆไป ปล.จุดนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรนะครับ เข้าชมฟรี
เดินๆไป พระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี ได้มุมพอดี ถ่ายรูปสิจะรออะไรละ
ขากลับเดินขึ้นเนินครับ จริงๆจะมีมอไซรับจ้างตรงทางออกที่ชมหมู่บ้าน แต่ด้วยความงกหรือความประหยัดไม่รู้ เราเลยพากันตัดใจเดินกลับครับ 55555
เราเห็นป้ายพวกนี้ถึงกับต้องสะดุดตาครับ เพราะเป็นภาษาไทย ใช่แล้วมันคือภาษาไทย แสดงว่าคนไทยมาเที่ยวเยอะพอสมควร จนที่ร้านจะสามารถเขียนป้ายเป็นภาษาไทย และเราก็ยังต่อราคาเป็นภาษาไทยได้อย่างเลยนะ งานนี้ต่อกันไปต่อกันมาสนุกเลย
เราแวะพักกันตรงร้านจุดชมวิวด้านบนหมู่บ้านครับ เพื่อนั่งพัก บอกเลยว่าบรรยากาศดีมากๆ (ลองจินตาการตามนะครับ ลมเย็นๆ อากาศเย็นๆ แล้วนั่งจิบกาแฟ มองดูตะวันตกดิน โอ้ยยยยย อะไรจะฟินขนาดนี้เนี่ย)
กลับมาถึงที่พักเราก็พักผ่อนกันครับ เราก็ตกลงกันหาร้านอาหารแบบราคาถูกๆกิน เลยไปถามเจ้าของโรงแรมดูครับ พี่แกก็ใจดี มีร้านแนะนำให้เรา อยู่ด้านหลังของโรงแรม ราคาประหยัดจริงๆ
อาหารเย็นของเราวันนี้
ด้วยความที่อยากจะลองอาหารเวียดนามอื่นๆดู ก็เลยเดินหาของกินอื่นไปเลย จนไปสะดุดกับร้านปิ้งย่างร้านหนึ่งครับ สไตล์การปิ้งแบบจีนยูนนานอะไรประมาณนั้น
คือเอาทุกอย่างมาปิ้ง มาย่างครับ เต็มไปหมด เลือกไม่ถูก ราคาไม่แพงด้วยย
สำหรับการเที่ยวซาปาครั้งแรก และวันแรก สนุกมากๆครับ ได้มองเห็นอะไรหลายๆอย่างเลย ทั้งวัฒนธรรมการกิน การอยู่ รวมไปถึงวัฒนธรรมอื่นๆด้วย ประทับใจมากครับ
...เดี๋ยวมาต่อการเดินทางของวันต่อไปนะครับ...