(บทความ..นายพระรอง) ความกลัวทำให้เสื่อม แม้แต่วีรบุรุษก็เสื่อมได้ด้วยความกลัว

.
       มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ความคิด มีอารมณ์ความรู้สึกพื้นฐานเหมือนๆกัน ที่ต้องการความแน่นอนและความต่อเนื่องของชีวิต  ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อความเชื่อหรือหลักการที่ตนเชื่อถือ หรือสิ่งที่ตนเองพึงประสงค์จะดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง  แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการคุกคามจากตัวแปรต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวความคิดเรื่องวิถีชีวิต สังคมและเศรษฐกิจ ที่ต่างออกไป มีกระแสจากมนุษย์คนอื่นในสังคมในมุมที่แตกต่างจากที่ตัวเชื่อถือ ตัวแปรเหล่านี้ย่อมทำให้มนุษย์ที่ยึดถือความเชื่อที่ต่างจากกระแสบังเกิดตัวแปรที่ชื่อความกลัวขึ้น

       เกิดความกลัวว่ากระแสนั้นๆจะกระทบต่อระบบเดิม  และส่งผลถึงการดำรงชีวิตของตน  ความกลัวดังกล่าวนี้ถ้าถึงจุดที่นำไปสู่การเกิดปัญหาในการใช้สติสัมปชัญญะจนมีการกระทำที่เกินเลย  ก็จะนำไปสู่ผลในทางตรงกันข้าม  “ความกลัวทำให้เสื่อม”  จึงเป็นประโยคที่เตือนสติของผู้ที่กลัวจนขาดความยั้งคิดและกระทำสิ่งที่เกินเลย

       ในบทความนี้จะยกตัวอย่างของผู้นำของมหาอำนาจ ที่คนรุ่นราวคราวเดียวกันกับยุคสมัยผู้นำคนนี้ ยกย่องและเรียกเขาเขาว่า วีรบุรุษของชาติ ซึ่งเป็นชาติที่มีประชากรมากที่สุดในโลกซึ่งคนผุ้นี้ได้แก่ เหมาเจ๋อตุง  โดยในขณะนั้นประเทศจีนมีประชากรประมาณ 800-900 ล้านคน ระบบสังคมนิยมที่เหมาและพรรคพวกได้สถาปนาขึ้นมาดำเนินอยู่ได้ประมาณกว่าทศวรรษครึ่ง  เมื่อปี ค.ศ.1965 ก็มีแนวโน้มว่าผู้นำบางกลุ่มมีความคิดที่จะเดินตามแนวระบบเก่าอันได้แก่ระบบทุนนิยม  รวมตลอดทั้งสังคมที่กำลังจะคลายความเข้มข้นในอุดมการณ์สังคมนิยมตามลัทธิมาร์กซ์  เลนิน  ซึ่งของเหมา เจ๋อตุง เชื่อถือ

        กลุ่มบุคคลดังกล่าวนี้เป็นกลุ่มตรงกันข้ามกับกลุ่มเหมา เจ๋อตุง ที่เรียกว่ากลุ่ม “ลัทธิแก้”  และกลุ่ม “ที่เจริญรอยตามระบบทุนนิยม”  กลุ่มที่อยู่ตรงกันข้ามกับเหมา เจ๋อตุง ประกอบด้วยนายหลิว เส้าฉี และนายเติ้งเสี่ยวผิง เป็นต้น

       กระแสความขัดแย้งทางแนวความคิดที่ต่างจากตนเอง เริ่มทำให้ วีรบุรุษผู้นี้เกิดความกลัว และมองว่าอาจเป็นประเด็นเริ่มต้นของการแก่งแย่งอำนาจชิงความเป็นผู้นำในแผ่นดินจีนที่ตนครอบครองอยู่จากกลุ่มบุคคลดังกล่าว ที่ทวีความนิยมและทรงอำนาจขึ้นเรื่อยๆในพรรคคอมมิวนิสต์ที่ตัวเองก่อตั้ง

       ความกลัวดังกล่าวนี้มีสูงเสียจนถึงจุดที่ ประธานเหมาขาดสติสัมปชัญญะในการแก้ปัญหาจนมีการกระทำที่เกินเลยไป และความกลัวก็แปรเปลี่ยนวีรบุรุษให้เป็น “มารทมิฬ” เมื่อประธานเหมา เลือกใช้วิธีโจมตีศัตรูด้วยการกล่าวหาอีกกลุ่มหนึ่งว่าทรยศต่ออุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์  และพยายามนำประเทศจีนไปสู่สังคมที่เดินตามแนวทางของระบบทุนนิยม  อันจะนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำของชนชั้น  การกดขี่ประชาชนโดยกลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฯลฯ ดังเช่นมีมาแต่ก่อน

       ประธานเหมาใช้ข้อหาที่ตนเองยัดเยียดให้อีกฝ่าย สร้างกระแสความตื่นกลัวในแนวคิดที่ต่างจากตนให้แผ่กว้างออกไปในสังคมจีน เพราะต้องการแรงสนับสนุนของคนในชาติ ใช้ความหวั่นเกรงและกลัวต่อการกลับมาของพลังสังคมแบบเดิมก่อนที่ลัทธิคอมมิวนิสต์จะเข้ามา นำเรื่องชนชั้นในสมัยราชวงค์ชิงมาข่มขวัญประชาชนว่ากำลังจะกลับมาหากตนสูญเสียอำนาจ พยายามสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง หวังคิดจะใช้กระแสนี้มา กลบกระแสแนวคิดของฝ่ายตรงข้ามที่กำลังได้รับความสนใจจากประชาชนและแกนนำของพรรคบางคนและแนวร่วมระดับล่างของพรรคคอมมิวนิสต์

       ตั้งแต่ปี ค.ศ.1965 เหมา เจ๋อตุง และมีผู้ร่วมมืออีก 4 คน คือนางเจียงจิงภรรยาตนเอง และสหายอีกสามคน ที่เรียกว่า “แก็งงสี่คน” ได้เริ่มการรณรงค์ทางการเมืองที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในสังคมมนุษยชาติ นั่นคือ การปลุกเร้ามวลชนโดยมีกลุ่มเยาวชนที่อยู่ในรุ่นอายุประมาณ 16-20 ปี จำนวนประมาณ 20 ล้านคน ให้ลุกฮือขึ้นต่อต้านกลุ่มซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับตน โดยใช้ขบวนการดังกล่าวกำจัดศัตรูฝ่ายตรงกันข้ามที่เรียกว่า การรณรงค์ปฏิวัติวัฒนธรรมด้วยการประกาศว่า  การกำจัดศัตรูฝ่ายตรงกันข้ามถือเป็นการต่อสู้ของชนชั้นซึ่งสังคมนิยมจะปล่อยไว้ไม่ได้

       แต่ผลที่ตามมาก็คือ  ขบวนการเรดการ์ด หรือยามแดง กลุ่มเยาวชนที่ถูกชักนำความคิดโดยเหมา กลายเป็นขบวนการที่ร้ายกาจ และนำไปสู่การจลาจลทั่วทั้งแผ่นดินจีน  ส่งผลกระทบต่อการผลิตทางเศรษฐกิจ  ทำลายระเบียบทางการเมืองและสังคมโดยสิ้นเชิง  จนเกิดการสู้รบกันด้วยอาวุธเป็นหย่อมๆ  สังคมจีนมีลักษณะเป็นอนาธิปไตย  ขนบธรรมเนียมประเพณีถูกละเมิดอย่างรุนแรง  เด็กนักเรียนทำร้ายครูใหญ่และครูด้วยการรุมตีด้วยท่อนไม้จนถึงแก่ความตายไปหลายราย  เหตุการณ์ดังกล่าวขัดต่อธรรมเนียมประเพณีที่ศิษย์ต้องเคารพครู  ยามแดงบางกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์บิดามารดาของตนว่ามีการกระทำที่ขัดต่ออุดมการณ์ของพรรคและของประธานเหมา  ชนชั้นปัญญาชนถูกส่งไปยังชนบทเพื่อใช้แรงงานเพื่อจะได้เรียนรู้จากมวลชน  กลียุคที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง  ทั้งในการผลิต  ระเบียบการเมืองและกฎหมาย  รวมตลอดทั้งทางจิตวิทยา  ชาวต่างประเทศต่างหนีออกนอกประเทศ  สถานทูตอังกฤษถูกเผาทำลาย  เยาวชนทุกคนต่างต้องท่องตำราหนังสือเล่มแดงของประธานเหมา เจ๋อตุง

       ด้านฝ่ายตรงข้าม อย่าง นายเติ้ง เสี่ยวผิง ถูกถอดออกจากตำแหน่งทุกตำแหน่ง ยกเว้นการเป็นสมาชิกพรรค  นายหลิว เส้าฉี ถูกข่มเหงรังแกและเสียชีวิตในคุก  แต่เหตุการณ์ลุกลามทวีความรุนแรงจากการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งนี้ เกินกว่าจะควบคุม ผลสุดท้ายจะต้องใช้กองกำลังทหารปลดปล่อยของประชาชนเข้าคุมสถานการณ์  และสั่งให้ยามแดงไปพัฒนาชนบทโดยอพยพออกจากเมืองใหญ่ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่ควบคุมไม่อยู่

       ชีวิตประชาชนกี่คน ที่ต้องสังเวยให้กับความกลัวของวีรบุรุษ เหมาเจอ ตุง อาจไม่รู้ตัวเลขที่แท้จริงก็ได้ รู้เพียงแต่ว่าจำนวน มันมากมายมหาศาลยิ่งนัก

       หลังการตายของเหมา แก็งสี่คน ก็ต้องรับผลกรรมที่ก่อขึ้น อำนาจที่เหมาพยายามหวงแหนไว้ ก็ตกไปสู่มือของ เติ้งเสี่ยวผิง ที่ตนเองหวาดระแวง

       แม้คนจีนจะจดจำ ความดีที่เหมาเคยทำไว้ให้กับชาติ แต่ก็ไม่ลืมความเลวร้ายที่เหมากระทำลงไปด้วยความกลัว เช่นกัน แม้จะพยายามแต่งประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นเช่นไร ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าเหมามีส่วนในการฆ่าประชาชนเพื่อนร่วมชาติตัวเอง เพราะกลัวที่จะสูญเสียอำนาจ

อำนาจที่ตนมี นั้นเป็นตัวแปรที่พร้อมจะก่อให้เกิดความกลัวที่จะสูญเสียมันไปอยู่ตลอดเวลา

       เมื่อเติ้งเสี่ยวผิงรับช่วงอำนาจต่อจากประธานเหมา เพราะเป็นตัวเลือกที่เหมาคิดว่าดีที่สุดเท่าที่ตนเหลืออยู่หลังจากการตายของทายาทการเมืองของเหมา อย่างนายพลหลินเปียว ที่เครื่องบินตกขณะกำลังพยายามเดินทางหลบหนีไปยังรัสเซีย

       เติ้งเสี่ยวผิงขึ้นเป็นผู้นำรุ่นที่สองของพรรคคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของเติ้งเสี่ยวผิง ประเทศจีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นชาติที่พัฒนาด้านเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลกด้วยแนวคิดของเติ้งที่อิงกับระบบทุนนิยมบางส่วน เติ้งเชื่อว่าทุนนิยมที่จำกัดขอบเขต สามารถช่วยพัฒนาจีนได้ จึงดำเนินการเปิดประเทศ ผลก็คือความเจริญรุดหน้าเข้าสู่จีนอย่างรวดเร็วตามที่เติ้งหวัง แต่สิ่งที่เติ้งเองไม่พึงประสงค์ก็เข้ามาด้วยเพราะการเปิดประเทศของเติ้ง สิ่งนั้นคือ ประชาธิปไตย ซึ่งนำมาซึ่งความหวังของคนหนุ่มสาว
จนเป็นตัวแปรที่ก่อให้เกิดความกลัวขึ้นกับเติ้งเสี่ยวผิงเช่นกัน ความกลัวที่จะเสียอำนาจก็ตามเล่นงานเติ้งอย่างจัง จากการชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของนักศึกษาจีนที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน  เติ้งเสี่ยวผิงก็สูญเสียสติปัญญาในการแก้ปัญหา ก่อการฆาตกรรมหมู่ นักศึกษาเหล่านั้นด้วยปืนและรถถัง

       ความดีงามในฐานะผู้นำชาติให้เจริญรุดหน้าและกลายเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อาจเป็นความดีงามของเติ้งที่คนจีนจดจำ แต่ความเลวทรามที่เติ้งทำที่จัตุรัสเทียนอันเหมินนั้นก็ถูกจดจำเช่นกัน

หากใช้อำนาจทำความดีอาจ ก็ย่อมยกฐานะตัวเองให้เป็น วีรบุรุษ
แต่หากกลัวที่จะสูญเสียอำนาจ จนยอมกระทำความเลว วีรบุรุษก็กลายเป็นมารทมิฬได้เช่นกัน
ความกลัวทำให้เสื่อมจริงๆ


       แม้ว่าทั้งเหมา และ เติ้ง ที่บทความนี้ได้กล่าวถึง จะเป็นบุคคลที่เชื่อถือศรัทธาระบอบการปกครองที่แตกต่างจากบ้านเรา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ระบอบการปกครองประชาธิปไตยนั้น จะไม่มีเรื่องราวเช่นนี้ เพราะอย่างที่บอกในตอนต้นว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ความคิด มีอารมณ์ความรู้สึกพื้นฐานเหมือนๆกัน ดังนั้นไม่ว่าจะมนุษย์ในระบอบการปกครองใด ก็รู้สึกกลัว ได้เช่นกัน

หากท่านผู้อ่านย้อนมองดูประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองเรา ท่านก็จะเห็นร่องรอยความเสื่อมที่เกิดขึ้นจากความกลัวที่จะสูญเสียอำนาจอยู่หลายครั้ง ปลุกเร้าให้คนบางส่วนเกลียดชังกันเองก็หลายหน จัดตั้งกลุ่มนอกกฏหมายมาใช้ห้ำหั่นต่อกรกับฝ่ายตรงข้ามก็มีให้เห็นบ่อยๆ ใช้เรื่องความแตกต่างทางภูมิภาคปลุกปั่นคนจนไร้สติ เข่นฆ่ากันเองก็ยังมี

ซึ่งบทสรุปในบางครั้งก็สูญเสียชีวิต บางครั้งก็สูญเสียอิสรภาพ เพียงเพราะความกลัวที่เกิดขึ้นของคนบางกลุ่มเท่านั้นหรือ...?
ความกลัวที่จะสูญเสียอำนาจ มิได้ทำให้ตัวผู้ที่กลัวจะสูญเสียอำนาจเสื่อมเพียงอย่างเดียว
แต่ความกลัวที่จะสูญเสียอำนาจนั้น ทำให้สังคมเสื่อมลงเช่นนั้น

ยุติธรรมไหม..? ที่ทั้งสังคมต้องมาแบกรับความเสี่ยงที่จะเสื่อมลง เพราะเพียงแค่คนบางกลุ่มกลัวที่จะสูญเสียอำนาจ
ท่านผู้อ่านลองไต่ตรองดูก็จะทราบคำตอบ
       ทั้งนี้ทั้งนั้น ความกลัว ใช่ว่าจะก่อให้เกิดความเสื่อมเสมอไป  ถ้าคนผู้นั้นใช้สติปัญญาเข้าแก้ไข ยกตัวอย่างใกล้ตัวหากตั้งกะทู้แล้ว เกิดความกลัวว่าจะไม่มีคนอ่าน การใช้ปัญญาเข้าแก้ไขปัญหา คนที่ควบคุมสติปัญญาได้ย่อมต้องตั้งใจพัฒนากะทู้ของตนเองให้นำเสนออย่างมีสาระ ใช้หลักการและเหตุผลที่จับต้องได้ในกะทู้ของตัวเอง  แม้ว่าจำนวนคนอ่านอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้น เหมือนคนที่ไม่ใช้ปัญญาในการแก้ไขความกลัวเดียวกันนี้ด้วยการโจมตีคนอื่น เรียกร้องความสนใจไปวันๆ ความเสื่อมนั้นจะเป็นของคนแบบไหน คนแบบแรก หรือแบบที่สอง คนที่เข้ามาอ่านกะทู้ของพวกเขานั้นรู้คำตอบดี ว่าใครกันที่เสื่อมเพราะความกลัว

       ตรรกะนี้ใช้ได้กับความกลัวที่จะสูญเสียอำนาจของชนชั้นผู้ครองอำนาจเช่นกัน  หากกลัวว่าจะเสียอำนาจก็ใช้สติปัญญาทำให้ประชาชนเจ้าของอำนาจให้การสนับสนุนด้วยการดำเนินนโยบายตามอำนาจที่ตนมี  เรื่องมันก็ง่ายๆแค่นี้

แต่คำถามคือ ที่ผ่านมาบ้านเมืองเรามีผู้นำที่คิดแบบนี้หรือเปล่า..?
หรือดีแต่ใช้กำลังบังคับ เอาสติปัญญาไว้สร้างกฎเกณฑ์บังคับให้ประชาชนต้องยอมรับตนเองอยู่ร่ำไป
ท่านผู้เข้ามาอ่านก็ลองนึกคำตอบกันดูเองนะครับ

ขอบคุณครับ
นายพระรอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่