ในที่นี้ขอให้เข้าใจว่า คำว่า นิพพานๆ นี้มีได้หลายชนิดหรือหลายระดับ อย่าเข้าใจไปเสียว่ามีเฉพาะเมื่อหมดกิเลส เป็นพระอรหันต์แล้ว จึงจะนิพพาน นั้นเป็นนิพพานแท้ เป็นนิพพานถาวร นิพพานที่ยังไม่ถึงขนาดนั้นก็มี เพระเหตุที่มันมีรสชาติเหมือนกัน เราจึงเรียกนิพพานไปหมด เช่นว่าตัวอย่างสินค้า กับสินค้าจริงๆ นั้นมันต้องเหมือนกัน แต่ตัวอย่างสินค้านั้นมีนิดเดียว เพื่อโอกาสอันสั้น นิพพานตัวอย่างเหมือนกับตัวอย่างสินค้า เป็นนิพพานชิมลองนี้ก็มี แต่จะเป็นนิพพานชนิดไหนก็ตาม ต้องมีรสชาติอย่างเดียวกัน ขอให้ฟังให้ดี ทีนี้เราจะแบ่งนิพพานให้เป็น ๓ ระดับ เพื่อสะดวกแก่การปฏิบัติ
๑. นิพพานที่เรียกว่า ตทังคนิพพาน เป็นนิพพานเพราะการประจวบเหมาะของสิ่งนั้นๆ นิพพานชนิดนี้ปรากฏแก่จิต โดยการประจวบเหมาะแห่งองค์ประกอบของมัน หมายความว่าอะไรก็ตาม ส่วนใหญ่ก็เป็นของภายนอกตัวเรา เป็นบุคคล เป็นสถานที่ เป็นบรรยากาศ เป็นอะไรก็สุดแท้เถิด มีความประจวบเหมาะทำให้จิตว่างจากกิเลสไปได้ชั่วขณะหนึ่ง ขณะนั้นเรียกว่าเป็น ตทังคนิพพาน เป็นนิพพานประเภทชั่วคราว ประเภทชิมลอง ประเภทตัวอย่าง แล้วสภาวะนั้นก็ปรากฏแก่จิต โดยการประจวบแห่งองค์ประกอบของมัน เรียกว่า ตทังคนิพพาน นิพพานเพราะการประจวบเหมาะขององค์นั้นๆ
๒. วิกขัมภนนิพพาน นิพพานที่ปรากฏแก่จิตโดยการบังคับจิตไว้ ในสภาวะที่มีรสหรือกิจของนิพพาน ก็หมายความว่าเมื่อทำจิตใจเป็นสมาธิ ถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นฌาน ก็เรียกว่ามี รสชาติของนิพพานปรากฏ คือรสชาติของการที่ไม่มีกิเลสรบกวนนั้นเอง แม้ว่าเราจะทำสมาธิไม่ถึงฌาน จิตก็ยังมีความสงบ มีความรู้สึกเป็นสุขในลักษณะเดียวกัน แต่ถ้าถึงฌานความสงบก็แน่นแฟ้นกว่าเท่านั้น ซึ่งจะเรียกว่าเป็น นิพพาน ประเภทวิกขัมภนนิพพาน หรือบางทีก็เรียกว่าวิกขัมภนวิมุตติ ถ้าเรียกว่าวิมุตติ หมายความว่าหลุดออกไปได้ ถ้าเรียกว่านิพพาน ก็หมายความว่าดับเย็นลงได้ วิกขัมภนะ นี้แปลว่า การบังคับเอา หรือ การบังคับไว้ โดยการบังคับจิตใจให้อยู่ในภาวะที่ทำหน้าที่ให้เกิดรสของนิพพาน คือในขณะแห่งฌานนั้น เราบังคับจิตได้ และจิตที่บังคับได้นั้น จะไปทำให้มีจิตที่เกิดรส คือความเยือกเย็นเป็นนิพพาน อย่างนี้เรียกว่าวิกขัมภนนิพพาน นิพานเพราะการบังคับเอา
๓. อันสุดท้ายนั้นคือ สมุจเฉทนิพพาน นิพพานจริงไม่ใช่นิพพานชั่วคราว หมายความว่า นิพพานปรากฏแก่จิต โดยการที่กิเลสได้หมดสิ้นไปจริงๆ พร้อมทั้งสมุฏฐาน ตัวกิเลสและเหตุปัจจัยให้เกิดกิเลส หรือความเคยชินแห่งการเกิดกิเลสก็ตาม ได้หมดไป อย่างนี้เป็นนิพพานจริง นิพพานถึงที่สุด ไม่ใช่นิพพานตัวอย่าง ไม่ใช่นิพพานชิมลอง ไม่ใช่นิพพานชั่วคราว
สองอย่างแรกนั้นเป็นนิพพานชั่วคราว ประจวบเหมาะนี้ก็เป็นคราวๆ บังคับไว้นี้เป็นคราวๆ นี้เป็นเพียงตัวอย่างหรือชิมลอง เพราะว่ามันไม่ตลอดกาล แต่ก็มีประโยชน์ที่สุด เพราะว่าถ้าได้ชิมอยู่บ่อยๆ นั่นแหละเป็นอุปนิสัยปัจจัย ให้เกิดความพอใจในการที่จะถึงนิพพานตัวจริง สองอย่างแรกคือ ตทังคนิพพานและวิกขัมภนนิพพานนี้เป็นของกลับกลอก กลับไป กลับมาได้ จึงเรียกว่าเป็นกุปปธรรม กุปปธรรม แปลว่า กลับกำเริบได้ ส่วนอย่างหลังสุดท้ายนั้นเป็นอกุปปธรรมกลับกลอกไม่ได้
สำหรับเกณฑ์อันนี้ ที่เกี่ยวกับนิพพานทั้ง ๓ ชนิดนี้ ให้ระลึกนึกถึงคำว่า “จิตนี้เป็นประภัสสสร” ตามธรรมชาติจิตนี้เป็นประภัสสร คือ ไม่มีกิเลส ไม่เศร้าหมองเพราะกิเลส จิตเดิมนั้นรุ่งเรืองเป็นประภัสสร แต่ถ้าเมื่อใดกิเลสเข้ามา ก็กลายเป็นจิตที่เศร้าหมอง ไม่ประภัสสร จิตที่ประภัสสรอยู่ ตามธรรมดา เหมือนเราท่านตามธรรมดานี้ จิตเป็นประภัสสรชนิดที่กิเลสยังอาจจะแทรกแซงได้ แต่ถ้าเรา ปฏิบัติจนถึงที่สุดแล้ว ความเป็นประภัสสรนั้นมันถาวร กิเลสแทรกแซงอีกไม่ได้ นี้เป็นนิพพานจริง นอกนั้นเป็นนิพพานชั่วคราว
นี้ขอให้เข้าใจว่า นิพพานทั้ง ๓ ชนิดนี้มีรสอย่างเดียวกัน คือรส ว่างจากสิ่งรบกวนใจ อย่างเดียวกันหมด มีหน้าที่อย่างเดียวกัน คือว่านิพพานจะทำให้กิเลสรบกวนใจไม่ได้ขณะนั้น ขณะใดเป็นนิพพาน ขณะนั้นนิพพานป้องกันอยู่ กิเลสรบกวนใจไม่ได้ ก็เป็นสุข เมื่อไม่มีอะไรรบกวนใจแล้วก็ เกิดรสของนิพพานคือความเย็น จะเป็นนิพานอย่างไหน นิพพานตัวอย่าง นิพพานชั่วคราว ก็มีลักษณะเย็น กันไม่ให้กิเลสรบกวนใจได้ในขณะนั้นเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้น เราเอาสภาวะอันนี้ไว้ก่อนก็แล้วกัน แม้ว่ามันจะไม่เด็ดขาด จะไม่เฉียบขาด ก็ยังมีรสชาติอย่างเดียวกัน ทั้งที่ว่าเป็นสภาวะอยู่กับคนละระดับ
ตทังคนิพพานเกิดเพราะบังเอิญ ประจวนเหมาะ พูดอย่างภาษาหยาบโล้นหน่อยก็ว่า ฟลุก เป็นนิพพานที่ฟลุกขึ้นมาโดยที่เราก็ไม่ได้เจตนาจะทำ เพียงแต่เราเผอิญไปอาศัยอยู่ ไปทำอะไรอยู่ หรือว่าไปคิดไปนึกอะไรอยู่ ในที่ที่มีความแวดล้อมเหมาะ เป็นเรื่องฟลุก ทำให้จิตว่างจากการรบกวนของกิเลส ถ้าเป็นวิกขัมภนนิพพาน ก็เพราะว่าเราควบคุมระวังสังวรตั้งเจตนาที่จะให้สิ่งต่างๆ มันถูกต้อง อยู่เสมอ ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางจิต จนกระทั่งมีจิตสงบระงับ นี้เป็นการทำให้เกิดขึ้นมา
สมุจเฉทนิพพาน นั้น เราทำให้เกิดขึ้นมาไม่ได้ เราทำได้แต่ ปฏิบัติให้ถูกต้อง ให้ปรากฏภาวะออกมา เป็นความสิ้นไปแห่งกิเลส ตามธรรมชาติของสิ่งที่เรียกว่านิพพาน เป็นสภาวธรรมที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ฉะนั้นจึงทำให้คำกำจัดความหรือบัญญัติไว้เฉพาะ ให้มันต่างกันอย่างนี้
วันหนึ่งเราอาจจะทำให้เกิดขึ้นมาได้ โดยที่ว่าเราอยู่ให้ดีๆ ให้อยู่ในที่ที่มันฟลุกได้ง่าย ก็จะเกิดนิพพานฟลุกนั้นได้ง่าย หรือว่า เราทำให้ยิ่ง ทำให้จริง คือเราบังคับจิตได้ ไม่ให้เกิดกิเลสได้ นี้ก็เรียกว่าทำให้เกิด แต่ว่า ความสิ้นไปแห่งกิเลสนั้น ถือว่าเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ที่มีอยู่ในธรรมชาติทั้งหลาย ทำได้แต่เพียงทำให้ปรากฏแก่จิต แล้วก็ เปิดสิ่งที่ห่อหุ้มจิตออกไปเสียให้หมด จิตก็สัมผัสกับสิ่งนั้นเอง นี่พูดอย่างสมมติ หรือเปรียบเทียบว่า ถ้าเราเอาฝาหรืออะไรที่เป็นเครื่องปิดกั้น ออกไปเสียให้หมด แสงสว่างหรืออากาศก็เข้าถึงตัวเรา เราทำได้เพียงเท่านี้
ขอซ้อมความเข้าใจว่า นิพพานตามตัวหนังสือ หรืออะไรทำนองนี้ เราพูดกันแล้วในครั้งก่อนๆ โน้น ในภาคมาฆบูชา พุดกระทั่งว่า นิพพานคือความเย็น ใชักับวัตถุเป็น นิพพานของวัตถุก็ได้ นิพพานของสัตว์ เดรัจฉานก็ได้ แล้วก็ นิพพานของคน คนในพุทธศาสนาและนอกพุทธศาสนา แม้แต่ในพุทธศาสนานี้ก็ยังมีเป็นอย่างๆ ต่างๆ กันถึง ๓ ชนิดอย่างนี้ วัตถุร้อน เย็นลงเรียกว่านิพพานของวัตถุนั้น สัตว์เดรัจฉานฝึกดีแล้ว ไม่มีโทษ ไม่มีภัย ไม่มีอันตรายใดๆ เรียกว่า นิพพานของสัตว์เดรัจฉานตัวนั้น
ทีนี้ นิพพานนอกพุทธศาสนา เคยเอากามารมณ์สูงสุดเป็นนิพพานกันยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง แล้วต่อมาเอาฌานสมาบัติเป็นนิพพาน จนกระทั่งเกิดพระพุทธเจ้าเอาความสิ้นไปแห่งกิเลส หรือความที่กิเลสไม่รบกวน เป็นนิพพาน แล้วก็มีวิธีว่าอยู่ให้ดี ให้มันฟลุกขึ้นเองก็ได้ หรือบังคับจิตให้ดี อย่าให้กิเลสมันรบกวนได้ ก็ได้ หรือว่าตัดรากเหง้าของกิเลสให้หมดสิ้นไป ก็ได้ นี่เป็นนิพพานในพุทธศาสนา
ฉะนั้น เดี๋ยวนี้เราจะไม่พูดถึงรายละเอียดทำนองนั้น จะพูดเฉพาะแต่ในแง่ของการปฏิบัติ
คำบรรยายประจำวันเสาร์ในสวนโมกขพลาราม ของ พุทธทาสภิกขุ
ทีนี้ต่อไปนี้ก็จะพูดถึง ชนิดของนิพพาน ให้เห็นอย่างชัดแจ้ง และจะได้สะดวกแก่การที่จะการศึกษาว่า จะปฏิบัติอย่างไร
ในที่นี้ขอให้เข้าใจว่า คำว่า นิพพานๆ นี้มีได้หลายชนิดหรือหลายระดับ อย่าเข้าใจไปเสียว่ามีเฉพาะเมื่อหมดกิเลส เป็นพระอรหันต์แล้ว จึงจะนิพพาน นั้นเป็นนิพพานแท้ เป็นนิพพานถาวร นิพพานที่ยังไม่ถึงขนาดนั้นก็มี เพระเหตุที่มันมีรสชาติเหมือนกัน เราจึงเรียกนิพพานไปหมด เช่นว่าตัวอย่างสินค้า กันสินค้าจริงๆ นั้นมันต้องเหมือนกัน แต่ตัวอย่างสินค้านั้นมีนิดเดียว เพื่อโอกาสอันสั้น นิพพานตัวอย่างเหมือนกับตัวอย่างสินค้า เป็นนิพพานชิมลองนี้ก็มี แต่จะเป็นนิพพานชนิดไหนก็ตาม ต้องมีรสชาติอย่างเดียวกัน ขอให้ฟังให้ดี ทีนี้เราจะแบ่งนิพพานให้เป็น ๓ ระดับ เพื่อสะดวกแก่การปฏิบัติ
๑. นิพพานที่เรียกว่า ตทังคนิพพาน เป็นนิพพานเพราะการประจวบเหมาะของสิ่งนั้นๆ นิพพานชนิดนี้ปรากฏแก่จิต โดยการประจวบเหมาะแห่งองค์ประกอบของมัน หมายความว่าอะไรก็ตาม ส่วนใหญ่ก็เป็นของภายนอกตัวเรา เป็นบุคคล เป็นสถานที่ เป็นบรรยากาศ เป็นอะไรก็สุดแท้เถิด มีความประจวบเหมาะทำให้จิตว่างจากกิเลสไปได้ชั่วขณะหนึ่ง ขณะนั้นเรียกว่าเป็น ตทังคนิพพาน เป็นนิพพานประเภทชั่วคราว ประเภทชิมลอง ประเภทตัวอย่าง แล้วสภาวะนั้นก็ปรากฏแก่จิต โดยการประจวบแห่งองค์ประกอบของมัน เรียกว่า ตทังคนิพพาน นิพพานเพราะการประจวบเหมาะขององค์นั้นๆ
๒. วิกขัมภนนิพพาน นิพพานที่ปรากฏแก่จิตโดยการบังคับจิตไว้ ในสภาวะที่มีรสหรือกิจของนิพพาน ก็หมายความว่าเมื่อทำจิตใจเป็นสมาธิ ถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นฌาน ก็เรียกว่ามี รสชาติของนิพพานปรากฏ คือรสชาติของการที่ไม่มีกิเลสรบกวนนั้นเอง แม้ว่าเราจะทำสมาธิไม่ถึงฌาน จิตก็ยังมีความสงบ มีความรู้สึกเป็นสุขในลักษณะเดียวกัน แต่ถ้าถึงฌานความสงบก็แน่นแฟ้นกว่าเท่านั้น ซึ่งจะเรียกว่าเป็น นิพพาน ประเภทวิกขัมภนนิพพาน หรือบางทีก็เรียกว่าวิกขัมภนวิมุตติ ถ้าเรียกว่าวิมุตติ หมายความว่าหลุดออกไปได้ ถ้าเรียกว่านิพพาน ก็หมายความว่าดับเย็นลงได้ วิกขัมภนะ นี้แปลว่า การบังคับเอา หรือ การบังคับไว้ โดยการบังคับจิตใจให้อยู่ในภาวะที่ทำหน้าที่ให้เกิดรสของนิพพาน คือในขณะแห่งฌานนั้น เราบังคับจิตได้ และจิตที่บังคับได้นั้น จะไปทำให้มีจิตที่เกิดรส คือความเยือกเย็นเป็นนิพพาน อย่างนี้เรียกว่าวิกขัมภนนิพพาน นิพานเพราะการบังคับเอา
๓. อันสุดท้ายนั้นคือ สมุจเฉทนิพพาน นิพพานจริงไม่ใช่นิพพานชั่วคราว หมายความว่า นิพพานปรากฏแก่จิต โดยการที่กิเลสได้หมดสิ้นไปจริงๆ พร้อมทั้งสมุฏฐาน ตัวกิเลสและเหตุปัจจัยให้เกิดกิเลส หรือความเคยชินแห่งการเกิดกิเลสก็ตาม ได้หมดไป อย่างนี้เป็นนิพพานจริง นิพพานถึงที่สุด ไม่ใช่นิพพานตัวอย่าง ไม่ใช่นิพพานชิมลอง ไม่ใช่นิพพานชั่วคราว
สองอย่างแรกนั้นเป็นนิพพานชั่วคราว ประจวบเหมาะนี้ก็เป็นคราวๆ บังคับไว้นี้เป็นคราวๆ นี้เป็นเพียงตัวอย่างหรือชิมลอง เพราะว่ามันไม่ตลอดกาล แต่ก็มีประโยชน์ที่สุด เพราะว่าถ้าได้ชิมอยู่บ่อยๆ นั่นแหละเป็นอุปนิสัยปัจจัย ให้เกิดความพอใจในการที่จะถึงนิพพานตัวจริง สองอย่างแรกคือ ตทังคนิพพานและวิกขัมภนนิพพานนี้เป็นของกลับกลอก กลับไป กลับมาได้ จึงเรียกว่าเป็นกุปปธรรม กุปปธรรม แปลว่า กลับกำเริบได้ ส่วนอย่างหลังสุดท้ายนั้นเป็นอกุปปธรรมกลับกลอกไม่ได้
สำหรับเกณฑ์อันนี้ ที่เกี่ยวกับนิพพานทั้ง ๓ ชนิดนี้ ให้ระลึกนึกถึงคำว่า “จิตนี้เป็นประภัสสสร” ตามธรรมชาติจิตนี้เป็นประภัสสร คือ ไม่มีกิเลส ไม่เศร้าหมองเพราะกิเลส จิตเดิมนั้นรุ่งเรืองเป็นประภัสสร แต่ถ้าเมื่อใดกิเลสเข้ามา ก็กลายเป็นจิตที่เศร้าหมอง ไม่ประภัสสร จิตที่ประภัสสรอยู่ ตามธรรมดา เหมือนเราท่านตามธรรมดานี้ จิตเป็นประภัสสรชนิดที่กิเลสยังอาจจะแทรกแซงได้ แต่ถ้าเรา ปฏิบัติจนถึงที่สุดแล้ว ความเป็นประภัสสรนั้นมันถาวร กิเลสแทรกแซงอีกไม่ได้ นี้เป็นนิพพานจริง นอกนั้นเป็นนิพพานชั่วคราว
นิพพานฟลุก - พุทธทาสภิกขุ
๑. นิพพานที่เรียกว่า ตทังคนิพพาน เป็นนิพพานเพราะการประจวบเหมาะของสิ่งนั้นๆ นิพพานชนิดนี้ปรากฏแก่จิต โดยการประจวบเหมาะแห่งองค์ประกอบของมัน หมายความว่าอะไรก็ตาม ส่วนใหญ่ก็เป็นของภายนอกตัวเรา เป็นบุคคล เป็นสถานที่ เป็นบรรยากาศ เป็นอะไรก็สุดแท้เถิด มีความประจวบเหมาะทำให้จิตว่างจากกิเลสไปได้ชั่วขณะหนึ่ง ขณะนั้นเรียกว่าเป็น ตทังคนิพพาน เป็นนิพพานประเภทชั่วคราว ประเภทชิมลอง ประเภทตัวอย่าง แล้วสภาวะนั้นก็ปรากฏแก่จิต โดยการประจวบแห่งองค์ประกอบของมัน เรียกว่า ตทังคนิพพาน นิพพานเพราะการประจวบเหมาะขององค์นั้นๆ
๒. วิกขัมภนนิพพาน นิพพานที่ปรากฏแก่จิตโดยการบังคับจิตไว้ ในสภาวะที่มีรสหรือกิจของนิพพาน ก็หมายความว่าเมื่อทำจิตใจเป็นสมาธิ ถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นฌาน ก็เรียกว่ามี รสชาติของนิพพานปรากฏ คือรสชาติของการที่ไม่มีกิเลสรบกวนนั้นเอง แม้ว่าเราจะทำสมาธิไม่ถึงฌาน จิตก็ยังมีความสงบ มีความรู้สึกเป็นสุขในลักษณะเดียวกัน แต่ถ้าถึงฌานความสงบก็แน่นแฟ้นกว่าเท่านั้น ซึ่งจะเรียกว่าเป็น นิพพาน ประเภทวิกขัมภนนิพพาน หรือบางทีก็เรียกว่าวิกขัมภนวิมุตติ ถ้าเรียกว่าวิมุตติ หมายความว่าหลุดออกไปได้ ถ้าเรียกว่านิพพาน ก็หมายความว่าดับเย็นลงได้ วิกขัมภนะ นี้แปลว่า การบังคับเอา หรือ การบังคับไว้ โดยการบังคับจิตใจให้อยู่ในภาวะที่ทำหน้าที่ให้เกิดรสของนิพพาน คือในขณะแห่งฌานนั้น เราบังคับจิตได้ และจิตที่บังคับได้นั้น จะไปทำให้มีจิตที่เกิดรส คือความเยือกเย็นเป็นนิพพาน อย่างนี้เรียกว่าวิกขัมภนนิพพาน นิพานเพราะการบังคับเอา
๓. อันสุดท้ายนั้นคือ สมุจเฉทนิพพาน นิพพานจริงไม่ใช่นิพพานชั่วคราว หมายความว่า นิพพานปรากฏแก่จิต โดยการที่กิเลสได้หมดสิ้นไปจริงๆ พร้อมทั้งสมุฏฐาน ตัวกิเลสและเหตุปัจจัยให้เกิดกิเลส หรือความเคยชินแห่งการเกิดกิเลสก็ตาม ได้หมดไป อย่างนี้เป็นนิพพานจริง นิพพานถึงที่สุด ไม่ใช่นิพพานตัวอย่าง ไม่ใช่นิพพานชิมลอง ไม่ใช่นิพพานชั่วคราว
สองอย่างแรกนั้นเป็นนิพพานชั่วคราว ประจวบเหมาะนี้ก็เป็นคราวๆ บังคับไว้นี้เป็นคราวๆ นี้เป็นเพียงตัวอย่างหรือชิมลอง เพราะว่ามันไม่ตลอดกาล แต่ก็มีประโยชน์ที่สุด เพราะว่าถ้าได้ชิมอยู่บ่อยๆ นั่นแหละเป็นอุปนิสัยปัจจัย ให้เกิดความพอใจในการที่จะถึงนิพพานตัวจริง สองอย่างแรกคือ ตทังคนิพพานและวิกขัมภนนิพพานนี้เป็นของกลับกลอก กลับไป กลับมาได้ จึงเรียกว่าเป็นกุปปธรรม กุปปธรรม แปลว่า กลับกำเริบได้ ส่วนอย่างหลังสุดท้ายนั้นเป็นอกุปปธรรมกลับกลอกไม่ได้
สำหรับเกณฑ์อันนี้ ที่เกี่ยวกับนิพพานทั้ง ๓ ชนิดนี้ ให้ระลึกนึกถึงคำว่า “จิตนี้เป็นประภัสสสร” ตามธรรมชาติจิตนี้เป็นประภัสสร คือ ไม่มีกิเลส ไม่เศร้าหมองเพราะกิเลส จิตเดิมนั้นรุ่งเรืองเป็นประภัสสร แต่ถ้าเมื่อใดกิเลสเข้ามา ก็กลายเป็นจิตที่เศร้าหมอง ไม่ประภัสสร จิตที่ประภัสสรอยู่ ตามธรรมดา เหมือนเราท่านตามธรรมดานี้ จิตเป็นประภัสสรชนิดที่กิเลสยังอาจจะแทรกแซงได้ แต่ถ้าเรา ปฏิบัติจนถึงที่สุดแล้ว ความเป็นประภัสสรนั้นมันถาวร กิเลสแทรกแซงอีกไม่ได้ นี้เป็นนิพพานจริง นอกนั้นเป็นนิพพานชั่วคราว
นี้ขอให้เข้าใจว่า นิพพานทั้ง ๓ ชนิดนี้มีรสอย่างเดียวกัน คือรส ว่างจากสิ่งรบกวนใจ อย่างเดียวกันหมด มีหน้าที่อย่างเดียวกัน คือว่านิพพานจะทำให้กิเลสรบกวนใจไม่ได้ขณะนั้น ขณะใดเป็นนิพพาน ขณะนั้นนิพพานป้องกันอยู่ กิเลสรบกวนใจไม่ได้ ก็เป็นสุข เมื่อไม่มีอะไรรบกวนใจแล้วก็ เกิดรสของนิพพานคือความเย็น จะเป็นนิพานอย่างไหน นิพพานตัวอย่าง นิพพานชั่วคราว ก็มีลักษณะเย็น กันไม่ให้กิเลสรบกวนใจได้ในขณะนั้นเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้น เราเอาสภาวะอันนี้ไว้ก่อนก็แล้วกัน แม้ว่ามันจะไม่เด็ดขาด จะไม่เฉียบขาด ก็ยังมีรสชาติอย่างเดียวกัน ทั้งที่ว่าเป็นสภาวะอยู่กับคนละระดับ
ตทังคนิพพานเกิดเพราะบังเอิญ ประจวนเหมาะ พูดอย่างภาษาหยาบโล้นหน่อยก็ว่า ฟลุก เป็นนิพพานที่ฟลุกขึ้นมาโดยที่เราก็ไม่ได้เจตนาจะทำ เพียงแต่เราเผอิญไปอาศัยอยู่ ไปทำอะไรอยู่ หรือว่าไปคิดไปนึกอะไรอยู่ ในที่ที่มีความแวดล้อมเหมาะ เป็นเรื่องฟลุก ทำให้จิตว่างจากการรบกวนของกิเลส ถ้าเป็นวิกขัมภนนิพพาน ก็เพราะว่าเราควบคุมระวังสังวรตั้งเจตนาที่จะให้สิ่งต่างๆ มันถูกต้อง อยู่เสมอ ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางจิต จนกระทั่งมีจิตสงบระงับ นี้เป็นการทำให้เกิดขึ้นมา
สมุจเฉทนิพพาน นั้น เราทำให้เกิดขึ้นมาไม่ได้ เราทำได้แต่ ปฏิบัติให้ถูกต้อง ให้ปรากฏภาวะออกมา เป็นความสิ้นไปแห่งกิเลส ตามธรรมชาติของสิ่งที่เรียกว่านิพพาน เป็นสภาวธรรมที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ฉะนั้นจึงทำให้คำกำจัดความหรือบัญญัติไว้เฉพาะ ให้มันต่างกันอย่างนี้
วันหนึ่งเราอาจจะทำให้เกิดขึ้นมาได้ โดยที่ว่าเราอยู่ให้ดีๆ ให้อยู่ในที่ที่มันฟลุกได้ง่าย ก็จะเกิดนิพพานฟลุกนั้นได้ง่าย หรือว่า เราทำให้ยิ่ง ทำให้จริง คือเราบังคับจิตได้ ไม่ให้เกิดกิเลสได้ นี้ก็เรียกว่าทำให้เกิด แต่ว่า ความสิ้นไปแห่งกิเลสนั้น ถือว่าเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ที่มีอยู่ในธรรมชาติทั้งหลาย ทำได้แต่เพียงทำให้ปรากฏแก่จิต แล้วก็ เปิดสิ่งที่ห่อหุ้มจิตออกไปเสียให้หมด จิตก็สัมผัสกับสิ่งนั้นเอง นี่พูดอย่างสมมติ หรือเปรียบเทียบว่า ถ้าเราเอาฝาหรืออะไรที่เป็นเครื่องปิดกั้น ออกไปเสียให้หมด แสงสว่างหรืออากาศก็เข้าถึงตัวเรา เราทำได้เพียงเท่านี้
ขอซ้อมความเข้าใจว่า นิพพานตามตัวหนังสือ หรืออะไรทำนองนี้ เราพูดกันแล้วในครั้งก่อนๆ โน้น ในภาคมาฆบูชา พุดกระทั่งว่า นิพพานคือความเย็น ใชักับวัตถุเป็น นิพพานของวัตถุก็ได้ นิพพานของสัตว์ เดรัจฉานก็ได้ แล้วก็ นิพพานของคน คนในพุทธศาสนาและนอกพุทธศาสนา แม้แต่ในพุทธศาสนานี้ก็ยังมีเป็นอย่างๆ ต่างๆ กันถึง ๓ ชนิดอย่างนี้ วัตถุร้อน เย็นลงเรียกว่านิพพานของวัตถุนั้น สัตว์เดรัจฉานฝึกดีแล้ว ไม่มีโทษ ไม่มีภัย ไม่มีอันตรายใดๆ เรียกว่า นิพพานของสัตว์เดรัจฉานตัวนั้น
ทีนี้ นิพพานนอกพุทธศาสนา เคยเอากามารมณ์สูงสุดเป็นนิพพานกันยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง แล้วต่อมาเอาฌานสมาบัติเป็นนิพพาน จนกระทั่งเกิดพระพุทธเจ้าเอาความสิ้นไปแห่งกิเลส หรือความที่กิเลสไม่รบกวน เป็นนิพพาน แล้วก็มีวิธีว่าอยู่ให้ดี ให้มันฟลุกขึ้นเองก็ได้ หรือบังคับจิตให้ดี อย่าให้กิเลสมันรบกวนได้ ก็ได้ หรือว่าตัดรากเหง้าของกิเลสให้หมดสิ้นไป ก็ได้ นี่เป็นนิพพานในพุทธศาสนา
ฉะนั้น เดี๋ยวนี้เราจะไม่พูดถึงรายละเอียดทำนองนั้น จะพูดเฉพาะแต่ในแง่ของการปฏิบัติ
คำบรรยายประจำวันเสาร์ในสวนโมกขพลาราม ของ พุทธทาสภิกขุ
ทีนี้ต่อไปนี้ก็จะพูดถึง ชนิดของนิพพาน ให้เห็นอย่างชัดแจ้ง และจะได้สะดวกแก่การที่จะการศึกษาว่า จะปฏิบัติอย่างไร
ในที่นี้ขอให้เข้าใจว่า คำว่า นิพพานๆ นี้มีได้หลายชนิดหรือหลายระดับ อย่าเข้าใจไปเสียว่ามีเฉพาะเมื่อหมดกิเลส เป็นพระอรหันต์แล้ว จึงจะนิพพาน นั้นเป็นนิพพานแท้ เป็นนิพพานถาวร นิพพานที่ยังไม่ถึงขนาดนั้นก็มี เพระเหตุที่มันมีรสชาติเหมือนกัน เราจึงเรียกนิพพานไปหมด เช่นว่าตัวอย่างสินค้า กันสินค้าจริงๆ นั้นมันต้องเหมือนกัน แต่ตัวอย่างสินค้านั้นมีนิดเดียว เพื่อโอกาสอันสั้น นิพพานตัวอย่างเหมือนกับตัวอย่างสินค้า เป็นนิพพานชิมลองนี้ก็มี แต่จะเป็นนิพพานชนิดไหนก็ตาม ต้องมีรสชาติอย่างเดียวกัน ขอให้ฟังให้ดี ทีนี้เราจะแบ่งนิพพานให้เป็น ๓ ระดับ เพื่อสะดวกแก่การปฏิบัติ
๑. นิพพานที่เรียกว่า ตทังคนิพพาน เป็นนิพพานเพราะการประจวบเหมาะของสิ่งนั้นๆ นิพพานชนิดนี้ปรากฏแก่จิต โดยการประจวบเหมาะแห่งองค์ประกอบของมัน หมายความว่าอะไรก็ตาม ส่วนใหญ่ก็เป็นของภายนอกตัวเรา เป็นบุคคล เป็นสถานที่ เป็นบรรยากาศ เป็นอะไรก็สุดแท้เถิด มีความประจวบเหมาะทำให้จิตว่างจากกิเลสไปได้ชั่วขณะหนึ่ง ขณะนั้นเรียกว่าเป็น ตทังคนิพพาน เป็นนิพพานประเภทชั่วคราว ประเภทชิมลอง ประเภทตัวอย่าง แล้วสภาวะนั้นก็ปรากฏแก่จิต โดยการประจวบแห่งองค์ประกอบของมัน เรียกว่า ตทังคนิพพาน นิพพานเพราะการประจวบเหมาะขององค์นั้นๆ
๒. วิกขัมภนนิพพาน นิพพานที่ปรากฏแก่จิตโดยการบังคับจิตไว้ ในสภาวะที่มีรสหรือกิจของนิพพาน ก็หมายความว่าเมื่อทำจิตใจเป็นสมาธิ ถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นฌาน ก็เรียกว่ามี รสชาติของนิพพานปรากฏ คือรสชาติของการที่ไม่มีกิเลสรบกวนนั้นเอง แม้ว่าเราจะทำสมาธิไม่ถึงฌาน จิตก็ยังมีความสงบ มีความรู้สึกเป็นสุขในลักษณะเดียวกัน แต่ถ้าถึงฌานความสงบก็แน่นแฟ้นกว่าเท่านั้น ซึ่งจะเรียกว่าเป็น นิพพาน ประเภทวิกขัมภนนิพพาน หรือบางทีก็เรียกว่าวิกขัมภนวิมุตติ ถ้าเรียกว่าวิมุตติ หมายความว่าหลุดออกไปได้ ถ้าเรียกว่านิพพาน ก็หมายความว่าดับเย็นลงได้ วิกขัมภนะ นี้แปลว่า การบังคับเอา หรือ การบังคับไว้ โดยการบังคับจิตใจให้อยู่ในภาวะที่ทำหน้าที่ให้เกิดรสของนิพพาน คือในขณะแห่งฌานนั้น เราบังคับจิตได้ และจิตที่บังคับได้นั้น จะไปทำให้มีจิตที่เกิดรส คือความเยือกเย็นเป็นนิพพาน อย่างนี้เรียกว่าวิกขัมภนนิพพาน นิพานเพราะการบังคับเอา
๓. อันสุดท้ายนั้นคือ สมุจเฉทนิพพาน นิพพานจริงไม่ใช่นิพพานชั่วคราว หมายความว่า นิพพานปรากฏแก่จิต โดยการที่กิเลสได้หมดสิ้นไปจริงๆ พร้อมทั้งสมุฏฐาน ตัวกิเลสและเหตุปัจจัยให้เกิดกิเลส หรือความเคยชินแห่งการเกิดกิเลสก็ตาม ได้หมดไป อย่างนี้เป็นนิพพานจริง นิพพานถึงที่สุด ไม่ใช่นิพพานตัวอย่าง ไม่ใช่นิพพานชิมลอง ไม่ใช่นิพพานชั่วคราว
สองอย่างแรกนั้นเป็นนิพพานชั่วคราว ประจวบเหมาะนี้ก็เป็นคราวๆ บังคับไว้นี้เป็นคราวๆ นี้เป็นเพียงตัวอย่างหรือชิมลอง เพราะว่ามันไม่ตลอดกาล แต่ก็มีประโยชน์ที่สุด เพราะว่าถ้าได้ชิมอยู่บ่อยๆ นั่นแหละเป็นอุปนิสัยปัจจัย ให้เกิดความพอใจในการที่จะถึงนิพพานตัวจริง สองอย่างแรกคือ ตทังคนิพพานและวิกขัมภนนิพพานนี้เป็นของกลับกลอก กลับไป กลับมาได้ จึงเรียกว่าเป็นกุปปธรรม กุปปธรรม แปลว่า กลับกำเริบได้ ส่วนอย่างหลังสุดท้ายนั้นเป็นอกุปปธรรมกลับกลอกไม่ได้
สำหรับเกณฑ์อันนี้ ที่เกี่ยวกับนิพพานทั้ง ๓ ชนิดนี้ ให้ระลึกนึกถึงคำว่า “จิตนี้เป็นประภัสสสร” ตามธรรมชาติจิตนี้เป็นประภัสสร คือ ไม่มีกิเลส ไม่เศร้าหมองเพราะกิเลส จิตเดิมนั้นรุ่งเรืองเป็นประภัสสร แต่ถ้าเมื่อใดกิเลสเข้ามา ก็กลายเป็นจิตที่เศร้าหมอง ไม่ประภัสสร จิตที่ประภัสสรอยู่ ตามธรรมดา เหมือนเราท่านตามธรรมดานี้ จิตเป็นประภัสสรชนิดที่กิเลสยังอาจจะแทรกแซงได้ แต่ถ้าเรา ปฏิบัติจนถึงที่สุดแล้ว ความเป็นประภัสสรนั้นมันถาวร กิเลสแทรกแซงอีกไม่ได้ นี้เป็นนิพพานจริง นอกนั้นเป็นนิพพานชั่วคราว