(บทความ..นายพระรอง) จิ้มก้อง ธรรมเนียมที่มีอิทธิพลต่อไทยมายาวนานและยังจะคงอยู่ต่อไป

.
       ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ดำเนินมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลแล้ว จีนยังมีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์การเมืองของไทยอย่างมหาศาลเรื่อยมา ด้วยครั้งหนึ่งราชอาณาจักรสยามเคยเป็นรัฐบรรณาการเก่าแก่ของจีนเช่นเดียวกับพม่า เกาหลี ญวน มองโกเลีย ทิเบต อุยกูร์ ซินเจียง มะละกา ฯลฯ มาเป็นเวลายาวนานหลายร้อยปีตั้งแต่สุโขทัย อยุธยา มาจนถึงรัตนโกสินทร์ อำนาจของจักรพรรดิจีนตั้งอยู่บนสถานะความเป็นพี่ใหญ่ ที่ยกตนเหนือชนชาติอื่นให้ต้องเข้ามาสวามิภักดิ์ เพื่อให้จีนรับรองสถานภาพตามธรรมเนียมสยามต้องส่งส่วยเครื่องราชบรรณาการหรือจิ้มก้องให้จีนทุก 3 ปี มานับตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และมาในสมัยรัตนโกสินทร์ จนพอถึงรัชกาลที่ 4 สยามก็เริ่มมีปฏิกิริยาบ่ายเบี่ยงที่จะส่งก้องไปจีน ต่อมาก็ปฏิเสธ แล้วยุติธรรมเนียมนี้ไปเฉยๆในรัชกาลที่ 5

       จิ้มก้อง จากที่มีการบันทึกเริ่มมีตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ส่งทูตไปเจริญพระราชไมตรีกับพระเจ้าหงวนสีโจ๊วฮ่องเต้ (กุบไลข่าน) และก็มีบรรดาผ้าผ่อนแพรพรรณ เป็นเครื่องราชบรรณาการ ไปจิ้มก้องด้วย สังเกตดูตามหนังสือหลักฐานที่กล่าวถึงราชทูตไทยไปกรุงปักกิ่งครั้งสุโขทัย กล่าวว่าเครื่องบรรณาการที่ไทยเอาไปกำนัลเมืองจีนนั้นมีเป็นต้นก็คือ ข้าง นกกระเรียน ขนนกกระเต็น นอแรด หมี ชะนีเผือก พริกไทย แก่นไม้หอม ฯลฯ

และเรื่องนี้ก็กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบเรื่อยต่อมา ที่ต้องส่งบรรณาการ”จิ้มก้อง”ให้กับจีน ส่วนที่เราต้องส่งเพื่ออะไร..?
เพื่อการค้า..? หรือในฐานะรัฐบรรณาการ(เมืองขึ้น)..? ผมจะไม่ลงความเห็นใดๆที่ขัดแย้งกับนักประวัติศาสตร์ไทย ที่........(ไม่พูดดีกว่า เดี๋ยวจะพากะทู้ถูกอุ้ม)

จิ้มก้อง คืออะไร..?

       ขุนวิจิตรมาตรา ให้ความหมายของจิ้มก้อง หรือ จินก้อง ว่าเป็นคำภาษาจีน บางทีใช้คำว่า ก้อง คำเดียว เป็นความหมายต่างๆ อาทิ ทวงก้อง หมายความว่า ทวงส่วย มาก้อง หมายความว่า มาส่งส่วยฐานเป็นเมืองขึ้น หรือมาขอเป็นเมืองขึ้น เมืองก้อง หมายถึง เมืองขึ้น หรือเมืองส่วย และจิ้มก้อง ก็เรียกว่า ส่งส่วย ภาษาอังกฤษเรียกว่า Tribute

      "ระบบบรรณาการ" Tribute หรือจิ้นก้อง เป็นประเพณีสัมพันธไมตรีของจีนกับประเทศอื่นๆในสมัยโบราณ เพราะจีนมีความเชื่อมาช้านานตามอิทธิพลทางความคิดของลัทธิขงจื้อว่า "จีนเป็นอาณาจักรกลาง (จงกั้ว หรือ Middle kingdom) เป็นศูนย์กลางอำนาจและอารยะธรรมของโลก เนื่องจากมีความเจริญมาช้านาน ดังนั้นจีนจึงมองประเทศอื่นที่อยู่โดยรอบว่าด้อยกว่า และจะต้องยอมสวามิภักดิ์กับจีน โดยการส่งเครื่องบรรณาการแก่จักรพรรดิจีนตามกำหนด ส่วนจีนซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่กว่าและเจริญกว่าจะให้ความช่วยเหลือคุ้มครองประเทศเล็กๆเหล่านี้ อีกทั้งยังให้ประโยชน์ ทั้งทางการเมือง โดยยอมรับฐานะของกษัตริย์ และทางเศรษฐกิจ โดยอนุญาตให้ค้าขายกับพ่อค้าชาวจีนได้

       แต่บทความนี้จะไม่กล่าวถึง เรื่อง”จิ้มก้องในครั้งอดีตแบบลงลึกในรายละเอียด ที่กล่าวด้านบนเป็นเพียงการชี้ให้เห็นบริบทความสัมพันธ์ไทย-จีน ในยุคก่อนเท่านั้น  ผู้เขียนมิได้จะเล่าขยายขอบเขตที่มีตามประวัติศาสตร์ใดๆในบทความชิ้นนี้เพิ่มเติมอีก แต่หากมีคนสนใจก็ไว้วันหลังจะเขียนบทความเรื่อง จิ้มก้อง ในครั้งอดีตมาให้ได้อ่านกันอีกครั้ง

กล่าวโดยสรุปก็คือ จิ้มก้อง คือการส่งส่วยเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของประเทศ

       แต่จะการค้าก็ดี จะการคุ้มครองจากจีนก็ช่าง เพราะการกระทำลักษณะจิ้มก้องนี้ เป็นที่มาของความฟอนเฟะของทุกภาคส่วนในสังคมไทย ที่หนักหนาสาหัสคือ ในแวดวงการเมืองการปกครอง เพราะก่อให้เกิดระบบ อุปถัมภ์ ที่เริ่มต้นปรากฏตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของชาติเรา ซึ่งรู้จักครั้งแรกตามประวัติศาสตร์ในชื่อ “ระบบศักดินา” ที่เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยขน์ซึ่งกันและกันระหว่า กษัตริย์กับชื้อพระวงค์และขุนนาง

       เมื่อมีระบบศักดินา คนที่อยู่ใต้อาณัติขุนนางศักดินา ก็ต้องส่ง จิ้มก้อง หรือ ส่งส่วยให้กับขุนนางเพื่อแลกกับการคุ้มครอง หรือแลกกับผลประโยชน์อื่นๆ

ประวัติศาสตร์ชนชาติเราก่อกำเนิดมา 700 ปี แต่มีระบบอุปถัมภ์ จิ้มก้อง ส่งส่วย เกี่ยวเนื่องมาตลอดเวลา

       จิ้มก้องส่วนบุคคลยังพอทน แต่จิ้มก้องส่วนรวมที่คนทั้งชาติต้องรับผิดชอบในการตัดสินใจของใครบางคน เหมาะสมแล้วหรือ..? ในภาวะที่นานาชาติพากันส่ายหน้าไม่ให้การช่วยเหลือใดๆกับประเทศของเรา ทำให้เราต้องหันกลับไปเพิ่งพาจีนเพื่อรับการสนับสนุนคุ้มครองจากชาติมหาอำนาจอย่างจีน

เราต้องมอบสิ่งใดให้กับจีน ชาติที่ยังใช้ธรรมเนียมจิ้มก้องกับประเทศที่ด้อยกว่าบ้าง..?
รถไฟฟ้า ความเร็วปานกลางกับจีน จะเป็นการส่งบรรณาการจิ้มก้องรอบใหม่ให้กับจีนอีกหรือเปล่า..?

ต้องคอยติดตามชม



       ขอบอกว่าที่ต้องใส่ (บทความ..นายพระรอง) ในหัวกะทู้ทุกกะทู้ที่ผมตั้ง บอกตรงๆครับ กลัวไม่มีคนอ่าน เพราะใช้ตัวเลขตั้ง เลยต้องใช้ชื่อช่วยเป็นจุดสังเกตกับท่านผู้อ่านที่แวะเวียนมาอ่านบทความผมอยู่เสมอ กลัวไม่มีคนสนใจครับ เพราะด้วยสไตล์การเขียนของผม ที่เน้นใช่สาระนำ ไม่เน้นโจมตีด่าทอด้วยคำที่ร้อนแรง ทำให้คนส่วนหนึ่งเลือกที่จะเมินเฉยและไม่สนใจกะทู้ของผม

      ถ้าอยู่ในภาวะปกติ ท่านผู้ที่เข้ามาอ่านจะได้รับรู้ทัศนะคติตรงๆของผู้เขียนแบบไม่มีกั๊ก อาจจะเพิ่มดีกรีความร้อนแรงได้อีกสักนิดหน่อย(ซึ่งคงไม่ร้อนเกินไปจนผิดสไตล์เดิมเท่าไรนัก) แต่ก็น่าพอกระตุ้นความสนใจได้บ้าง แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ในเวลานี้ แต่ถึงยังไงผมก็ยังไม่ทิ้งแนวทางในการใส่สารประโยชน์ไว้ให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้ แม้ว่าท่านผู้อ่านบางคนอาจจะมีความเห็นทางการเมืองแตกต่างจากผม แต่ผมก็ยังยินดีที่จะแบ่งปันสาระนี้ให้กับท่านครับ

       และท่านจะมองเห็นมันเองโดยที่ผมไม่ต้องชี้บอกว่าอยู่ตรงไหนในบทความชิ้นนี้ หากท่านใช้ปัญญา และไม่ใช้อคติ

ขอบคุณครับ
นายพระรอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่