มาเก๊า นอกจาก Casino & Hotel เจ้าดังๆ ที่คนไทยแวะไปเที่ยวกันบ่อย
บ้างก็แวะไปถ่ายรูป บ้างก็แวะเพื่อเข้าไปดูการแสดง ไม่ว่าจะเป็น City of Dreams, The Venetian ฯลฯ อีกมากมาย
เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นแหละเธอ +555
แต่การไปมาเก๊าครั้งนี้ของเรา คุณเพื่อนชาวมาเก๊าได้กระซิบบอกมาว่ามี Casino & Hotel เปิดใหม่ ถ้ามีเวลาลองแวะมาเที่ยวดูสิ
ชื่อ Studio City มาไม่ยากนั่งรถฟรีของคาสิโนมาก็ได้ มีอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจกว่ามาเก๊า ทาวเวอร์ด้วยนะ
คุณเพื่อนพรีเซนต์มาขนาดนี้ ไอ้เราเองก็เชื่อคนง่ายไง อะไรนะที่เที่ยวเปิดใหม่หรอ น่าสนๆ วางทริปแล้วยัดเจ้า Studio City เข้าในแพลนทันที
จุดมุ่งหมายหลักสำหรับการแวะเข้ามาชม Studio City ของเราอาจจะไม่ใช่ Batman แต่เป็นเจ้าชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์
ชื่อว่า ' The Golden Reel ' มันดึงดูดเราด้วยดีไซน์นี่แหละ ชิงช้าอะไรทรงเป็นเลข 8
เริ่มต้นจาก ... คือแบบว่า เราเอ๋อไง - - "
เราพักแถวๆ Senedo Square ก็เลยไม่รู้ว่าจะนั่งรถฟรีไปฝั่ง Taipa ยังไง เพราะทริปนี้เป็นการมาเที่ยวมาเก๊าเป็นครั้งแรกของเรา
คุณเพื่อนตัวดีก็ทำงานไม่ต่งไม่ตอบ Whatsapp ของเราซักคำ
เอาว้าาา ไหนๆมาถึงขั้นนี้ตามรีวิวของเพื่อนๆพันทิปบอกว่ามีรถฟรีแถวโรงแรม Sintra เปิด Google Map แล้วเดินตามหาโรงแรมกันเลย
มีใครซักคนนี่แหละบอกว่าทางอยู่กับปาก ถามเอาเลยจ้าคนไหนสปีคอิงลิชไม่ได้ โชว์แมพให้ดูเลยจ้า สุดท้ายก็ได้นั่งรถฟรีสมใจ +555
ปล.เราได้นั่งรถของ City of Dreams นะ โชคดีมากที่ได้นั่งของเจ้านี้เพราะอะไรเรามาดูกัน ....
เนื่องจากอย่างที่บอกไปว่าเรานั่งรถฟรีของ City of Dreams ดังนั้นเราจึงแวะเที่ยวที่นี่ด้วยเลย
ไม่มีอะไรมากหรอกกรุบกริบๆ Vqaurium นางเงือก 3D แค่นั้นเอง
จากนั้นเดินออกมาเลยจ้า ข้ามฝั่งไปเดินเล่น The Venetian ได้อีก
ถามว่าเราได้ข้ามไปมั้ย ก็ต้องไปสิยะแหม่ เข้าไปต่อคิวได้ทานทาร์ตไข่ Lord Stow's อีกตั้ง 2-3 อัน
เสร็จแล้วเราก็ข้ามกลับมาฝั่ง City of Dreams เหมือนเดิมเพื่อนขึ้นรถบัสฟรีไปยัง Studio City
เหมือนว่าเค้าจะโคกันมีรถจาก City of Dreams ไปที่โน่น ... จากที่โน่นก็มีรถบัสฟรีกลับมาที่นี่เช่นกัน
ท่ารสบัสหาไม่ยาก แค่หาเจ้าสิงโตตัวนี้ให้เจอ ก็เป็นพอ
จากนั้นก็นั่งรสบัสมาจนถึง Studio City รถจะจอดทางด้านหลัง ดังนั้น อิฉันจึงอดถ่ายภาพด้านหน้าของ Studio City กลับมาค่ะคุณผู้ชม T_T
เมื่อลงจากรถแล้วเดินเกร๋ๆ เข้าประตู ก็จะพบกับบรรยากาศแบบนี้ คือดีอะ ชอบดีไซน์จัง
ถ้าหากใครหิวให้มองแลไปทางด้านขวาจะพบกับ Food Court : Cosmo Food Station
ส่วนอิฉันยังคงอิ่มจากเจ้าทาร์ตไข่เลยขอบาย เดินหาทางไปพบเจ้าชิงช้าสวรรค์ดีกว่า
เดินตามทางฝั่งขวามาเรื่อยๆ ถ้าเงยหน้าขึ้นไปพบกับเจ้านี่ แสดงว่าใกล้ถึงบันไดเลื่อนที่เราจะต้องขึ้นแล้วหละ
ถ้ายังไม่ชัวร์ว่านี่เราหลงมั้ยนะ เดินมาสักพักจะเจอป้ายบอกทาง เดินตามทางที่บอกให้ไป Box office เลย
จากนั้นเพื่อพิสูจน์ว่ามาทางนี้ไม่หลงแน่นอนถ้าไปช่วงนี้ก็จะเจอ Display ใกล้บันได้เลื่อนแบบนี้ ให้ขึ้นบันไดไปโลด ไม่ต้องรีรออะไร
เมื่อขึ้นบันไดเลื่อนมาแล้วให้หมุนตัวเลี้ยวไปทางซ้ายมือ Box office จะอยู่ตรงนั้น ถ้าอยากขึ้นชิงช้าจะต้องมาซื้อตั๋วตรงนี้ก่อน
ราคาตั๋วสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 100 MOP ต่อคน แต่ถ้าจ่ายเป็น HKD ก็อยู่ที่ 100 HKD เช่นกัน
เราเองงกไง เลยแลกเงินจาก HKD มาเป็น MOP เอาไว้ด้วยแม้จะได้เพิ่มในอัตรา 100 HKD = 108 กว่าๆ MOP ก็ตาม
แต่ ... ยังมีแต่ คือ เป็นเราเองที่เอ๋ออีกแล้วอุตส่าห์แลกเงินมา แต่ก็ดันหยิบใบละ 500 HKD ส่งให้พนักงานไป
โชคยังดีที่เขาทอนกลับมาเป็นเงินในสกุลเดียวกัน นิทานตรงนี้สอนให้รู้ว่ากรุณาสังเกตธนบัตรในมือของท่านให้ดีๆ ก่อนที่จะเอ๋อแบบเรา
อ๋อ เราลืมบอกไปว่าจะเลือกซื้อตั๋วออนไลน์จากทางเว็บของ Studio City โดยตรงก็ได้นะ
แต่ตั๋วจะระบุวันเข้าชมเปลี่ยน แลกคืนไม่ได้ ช่วงที่เราไปอากาศค่อนข้างไม่แน่นอนตามพยากรณ์อากาศบอกว่ามีฝน
เลยตัดสินไปซื้อเอาที่หน้างานดีกว่า ถ้าฝนตกก็แค่เปลี่ยนใจไม่ต้องขึ้นไปก็เท่านั้นประหยัดเงินดี
ส่วนทางขึ้นชิงช้าสวรรค์ให้เดินย้อนกลับมาทางบันไดเลื่อน ถ้ายึดบันไดเลื่อนเป็นหลัก
ให้เลี้ยวไปทางขวามือ จุดสังเกตก็ง่ายมาก เพราะจะมีตู้โชว์วางโมเดลของ Studio City ตั้งเอาไว้อยู่
เดินผ่านทั้งที่แวะถ่ายรูปซักหน่อยทดแทนที่ไม่ได้เข้าทางฝั่งด้านหน้า เลยไม่รู้ว่าโดยภาพรวมมีหน้าตายังไง T_T
จากนั้นเดินไปเรื่อยก็จะพบกับเครื่องบินจำลอง ขึ้นไปนั่งถ่ายรูปได้นะเค้ามีบันไดให้ปีน
แต่ส่วนใหญ่เห็นมีแต่เด็กขึ้นไปนั่ง เลยไม่รู้ว่าเค้าห้ามผู้ใหญ่ด้วยหรือเปล่าอะ
เดินเลยเจ้าเครื่องบินมานิดจะมีประตูเปิดออกไปสวนด้านนอกได้
จะรอช้าอยู่ทำไม ก็เลยขอเดินตามเขาออกไปด้วยคน โอ้วว แม่สาวน้อย
มันช่างเป็นดีไซน์ที่สวยจริงๆ ตรงเลข 8 นั่นก็คือบริเวณที่เป็นชิงช้าที่อิฉันกำลังจะไปขึ้นแหละฮะท่านผู้ชม
เก็บตกบรรยากาศสวนมาอีกสักหน่อย ไหนๆก็เดินฝ่าลมออกมาหนาวอยู่ข้างนอกนี้จนจะแข็งอยู่แล้วนิ
วันนี้อุณภูมิอยู่ที่ 13-15 c นะครับ แหม๋เล่นเอาพี่ไทยอย่างผมสั่นนิดหน่อยเลย
ความเย็นไม่เท่าไร แต่มันพีคตรงที่ลมมันพัดแรงนี่แหละ
จากนั้นใกล้เวลาที่เรารอคอยแล้ว จะได้ขึ้นเจ้าชิงช้าสวรรค์ซะที
จะเห็นส่วนที่เป็นผนังเขียวๆ เจ้าหน้าที่จะให้เราหยุดยืนตรงนั้นทุกคน แล้วมองกล้อง Strong !!
ถ่ายภาพเราไปเพื่อตัดต่อให้เหมือนเรานั่งชิงช้าสวรรค์ค่ะ ถ่ายเสร็จจะให้ใบเสร็จน้อยๆ
เพื่อไปยื่นรหัสรูปของเราในโซนจำหน่ายของที่ระลึก
ผ่านตรงนั้นมานึกว่าจะได้ขึ้นเลย เปล่าจ้า ... เราต้องมารอขึ้นลิฟท์อีกที
ซึ่งตรงนี้จะมีเจ้าหน้าที่คอยตอนรับและกดลิฟท์ให้
เมื่อเข้าลิฟท์มา ก็ทำให้เรารู้ว่าจุดขึ้นชิงช้าสวรรค์ ' The Golden Reel ' อยู่ที่ชั้น 23 เลยจ้า
คำเตือน : ใครเป็นโรคกลัวความสูงอิฉันว่าไม่ควรขึ้นนะคะ เพราะชั้นที่ 23 คือส่วนล่างของเลข 8 จากที่เราเห็นในรูปด้านบนเท่านั้น
เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกมา ก็ผ่างเข้าให้ โอ้โหมันช่างใหญ่เสียจริงๆ
แต่ทั้งส่วนโครงสร้างกับตัวเคบินก็ค่อนข้างมั่นคงเช่นกันนะ ดูแข็งแรงทนทานดี
หลังจากชื่นชมเสร็จแล้ว ก็ได้แต่ยืนมองเธอเดินไป กับเขา
ตัดกลับมาค่ะ จะมาทำ MV อะไรเดินไปต่อคิวสิคะหนู
คนมาที่หลังเดินตัดหน้าไปเข้าคิวแล้ว เจ้าหน้าที่จะคอยเรียกตามคิว
ไม่มาเข้าคิวตรงจุดที่เขากำหนดไว้ก็อดขึ้นนะเออ
ระหว่างยืนรอก็อดกลัวนิดๆไม่ได้ มันจะสูงเกินไปสำหรับอิฉันเปล่าเนี่ย
เจ้าหน้าที่ก็เหมือนจะรู้ หันมายิ้มให้กำลังใจเราเบาๆ แล้วบอกว่า That's your turn !! Enjoy !!
เอาละค่ะ เมื่อส่วนเคบินมาถึง เราก็ควรจะมาดึงสติกันสักหน่อย Strong !!
โชคดีที่ไม่เดียวดาย เคบินนี้ได้ขึ้นกับคู่หนุ่ม-สาวเกาหลี ซึ่งเซลฟี่ตลอดทริป
ซึ่งก็อย่าได้แคร์สื่อใดๆ เอาเป็นว่าอิฉันพยายามถ่ายหลบมุมเต็มที่
เพื่อเอาบรรยากาศมาฝากเพื่อนๆ พันทิปได้ก็แล้วกัน บอกแล้วไงคะต้อง Strong
ทั้งงานยื่นแขน ทั้งงานไม้เซลฟี่ก็มา หวานกันซะ ชะนีไทยอิจเบาๆเลยค่ะท่านผู้ชม
ด้านในจะมีช่องกระจกใส ซึ่งจะอยู่ริมด้านในของเคบิน ให้ได้ยืนถ่ายรูปกัน
ในส่วนของเบาะที่นั่งภายในเคบินก็จะประมาณนี้ บุหนังมาอย่างดี นิ่มๆนั่งสบาย
เมื่อชิงช้าสวรรค์เริ่มหมุน จำสวนข้างล่างที่อิฉันแวะไปถ่ายรูปได้มั้ยคะ
สวนเดียวกันแต่ได้ภาพมุมสูงค่ะ ปล.สูงจริงๆนะ
กว่าจะได้ขึ้นชิงช้าสวรรค์จากตอนเย็นๆก็เข้าสู่ช่วงมืดตอนหัวค่ำพอดี ทาง Studio City เริ่มเล่นไฟแล้วค่ะ สวยดี
เมื่อหมุนผ่านโครงสร้าง ก็ทำให้รู้ว่าโครงเค้าหนาแน่นและแข็งแรงดีจริงๆ
และถ้าลองหันหลังกลับไปจะพบกับลานกว้างๆ สำหรับจอดรสบัสฟรีขาที่นั่งมาและขาที่จะต้องนั่งออกไปค่ะ
แล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง จุดพีคมันอยู่ตรงนี้ นี่คือจุดสูงสุดของชิงช้าค่ะ
มองผ่านพื้นกระจกใสลงไป ก็ดูเสียวใช่เล่น มันสูงมากจริงๆ
ชิงช้า 1 รอบจะใช้เวลาประมาณ 15 - 20 นาที ดังนั้นถ้าต้องการถ่ายภาพควรทำเวลาค่ะ
เมื่อครบรอบก็จะมีเจ้าหน้าที่นำทางเรามาส่งที่หน้าลิฟท์เพื่อลงกลับไปสู่จุดเดิม
อันนี้ ตอนลงมาถึงแล้วได้เปิดประตูสวนเพื่อถ่ายรูปอีกรอบค่ะ
จะเห็นได้ว่าท้องฟ้าเปลี่ยนสีไปแล้ว แถมแสงไฟก็ทำให้ตัวอาคารโดดเด่นขึ้นด้วย
ซึ่งสำหรับการเล่นแสงของสวนพื้นราบก็เช่นกัน อ๋อ ... จะมีจุดเครื่องพ่นกลิ่นอโรม่ารอบๆ บริเวณสวนด้วยนะคะ
กลิ่นหอมดี ไม่ฉุนจนเกินไป ทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะค่ะ เพราะบรรยากาศก็ดีแถมลมก็พัดเย็นๆ
[CR] Le petit pois : The Golden Reel ... Studio City @ Macau
บ้างก็แวะไปถ่ายรูป บ้างก็แวะเพื่อเข้าไปดูการแสดง ไม่ว่าจะเป็น City of Dreams, The Venetian ฯลฯ อีกมากมาย
เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นแหละเธอ +555
แต่การไปมาเก๊าครั้งนี้ของเรา คุณเพื่อนชาวมาเก๊าได้กระซิบบอกมาว่ามี Casino & Hotel เปิดใหม่ ถ้ามีเวลาลองแวะมาเที่ยวดูสิ
ชื่อ Studio City มาไม่ยากนั่งรถฟรีของคาสิโนมาก็ได้ มีอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจกว่ามาเก๊า ทาวเวอร์ด้วยนะ
คุณเพื่อนพรีเซนต์มาขนาดนี้ ไอ้เราเองก็เชื่อคนง่ายไง อะไรนะที่เที่ยวเปิดใหม่หรอ น่าสนๆ วางทริปแล้วยัดเจ้า Studio City เข้าในแพลนทันที
จุดมุ่งหมายหลักสำหรับการแวะเข้ามาชม Studio City ของเราอาจจะไม่ใช่ Batman แต่เป็นเจ้าชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์
ชื่อว่า ' The Golden Reel ' มันดึงดูดเราด้วยดีไซน์นี่แหละ ชิงช้าอะไรทรงเป็นเลข 8
เริ่มต้นจาก ... คือแบบว่า เราเอ๋อไง - - "
เราพักแถวๆ Senedo Square ก็เลยไม่รู้ว่าจะนั่งรถฟรีไปฝั่ง Taipa ยังไง เพราะทริปนี้เป็นการมาเที่ยวมาเก๊าเป็นครั้งแรกของเรา
คุณเพื่อนตัวดีก็ทำงานไม่ต่งไม่ตอบ Whatsapp ของเราซักคำ
เอาว้าาา ไหนๆมาถึงขั้นนี้ตามรีวิวของเพื่อนๆพันทิปบอกว่ามีรถฟรีแถวโรงแรม Sintra เปิด Google Map แล้วเดินตามหาโรงแรมกันเลย
มีใครซักคนนี่แหละบอกว่าทางอยู่กับปาก ถามเอาเลยจ้าคนไหนสปีคอิงลิชไม่ได้ โชว์แมพให้ดูเลยจ้า สุดท้ายก็ได้นั่งรถฟรีสมใจ +555
ปล.เราได้นั่งรถของ City of Dreams นะ โชคดีมากที่ได้นั่งของเจ้านี้เพราะอะไรเรามาดูกัน ....
เนื่องจากอย่างที่บอกไปว่าเรานั่งรถฟรีของ City of Dreams ดังนั้นเราจึงแวะเที่ยวที่นี่ด้วยเลย
ไม่มีอะไรมากหรอกกรุบกริบๆ Vqaurium นางเงือก 3D แค่นั้นเอง
จากนั้นเดินออกมาเลยจ้า ข้ามฝั่งไปเดินเล่น The Venetian ได้อีก
ถามว่าเราได้ข้ามไปมั้ย ก็ต้องไปสิยะแหม่ เข้าไปต่อคิวได้ทานทาร์ตไข่ Lord Stow's อีกตั้ง 2-3 อัน
เสร็จแล้วเราก็ข้ามกลับมาฝั่ง City of Dreams เหมือนเดิมเพื่อนขึ้นรถบัสฟรีไปยัง Studio City
เหมือนว่าเค้าจะโคกันมีรถจาก City of Dreams ไปที่โน่น ... จากที่โน่นก็มีรถบัสฟรีกลับมาที่นี่เช่นกัน
ท่ารสบัสหาไม่ยาก แค่หาเจ้าสิงโตตัวนี้ให้เจอ ก็เป็นพอ
จากนั้นก็นั่งรสบัสมาจนถึง Studio City รถจะจอดทางด้านหลัง ดังนั้น อิฉันจึงอดถ่ายภาพด้านหน้าของ Studio City กลับมาค่ะคุณผู้ชม T_T
เมื่อลงจากรถแล้วเดินเกร๋ๆ เข้าประตู ก็จะพบกับบรรยากาศแบบนี้ คือดีอะ ชอบดีไซน์จัง
ถ้าหากใครหิวให้มองแลไปทางด้านขวาจะพบกับ Food Court : Cosmo Food Station
ส่วนอิฉันยังคงอิ่มจากเจ้าทาร์ตไข่เลยขอบาย เดินหาทางไปพบเจ้าชิงช้าสวรรค์ดีกว่า
เดินตามทางฝั่งขวามาเรื่อยๆ ถ้าเงยหน้าขึ้นไปพบกับเจ้านี่ แสดงว่าใกล้ถึงบันไดเลื่อนที่เราจะต้องขึ้นแล้วหละ
ถ้ายังไม่ชัวร์ว่านี่เราหลงมั้ยนะ เดินมาสักพักจะเจอป้ายบอกทาง เดินตามทางที่บอกให้ไป Box office เลย
จากนั้นเพื่อพิสูจน์ว่ามาทางนี้ไม่หลงแน่นอนถ้าไปช่วงนี้ก็จะเจอ Display ใกล้บันได้เลื่อนแบบนี้ ให้ขึ้นบันไดไปโลด ไม่ต้องรีรออะไร
เมื่อขึ้นบันไดเลื่อนมาแล้วให้หมุนตัวเลี้ยวไปทางซ้ายมือ Box office จะอยู่ตรงนั้น ถ้าอยากขึ้นชิงช้าจะต้องมาซื้อตั๋วตรงนี้ก่อน
ราคาตั๋วสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 100 MOP ต่อคน แต่ถ้าจ่ายเป็น HKD ก็อยู่ที่ 100 HKD เช่นกัน
เราเองงกไง เลยแลกเงินจาก HKD มาเป็น MOP เอาไว้ด้วยแม้จะได้เพิ่มในอัตรา 100 HKD = 108 กว่าๆ MOP ก็ตาม
แต่ ... ยังมีแต่ คือ เป็นเราเองที่เอ๋ออีกแล้วอุตส่าห์แลกเงินมา แต่ก็ดันหยิบใบละ 500 HKD ส่งให้พนักงานไป
โชคยังดีที่เขาทอนกลับมาเป็นเงินในสกุลเดียวกัน นิทานตรงนี้สอนให้รู้ว่ากรุณาสังเกตธนบัตรในมือของท่านให้ดีๆ ก่อนที่จะเอ๋อแบบเรา
อ๋อ เราลืมบอกไปว่าจะเลือกซื้อตั๋วออนไลน์จากทางเว็บของ Studio City โดยตรงก็ได้นะ
แต่ตั๋วจะระบุวันเข้าชมเปลี่ยน แลกคืนไม่ได้ ช่วงที่เราไปอากาศค่อนข้างไม่แน่นอนตามพยากรณ์อากาศบอกว่ามีฝน
เลยตัดสินไปซื้อเอาที่หน้างานดีกว่า ถ้าฝนตกก็แค่เปลี่ยนใจไม่ต้องขึ้นไปก็เท่านั้นประหยัดเงินดี
ส่วนทางขึ้นชิงช้าสวรรค์ให้เดินย้อนกลับมาทางบันไดเลื่อน ถ้ายึดบันไดเลื่อนเป็นหลัก
ให้เลี้ยวไปทางขวามือ จุดสังเกตก็ง่ายมาก เพราะจะมีตู้โชว์วางโมเดลของ Studio City ตั้งเอาไว้อยู่
เดินผ่านทั้งที่แวะถ่ายรูปซักหน่อยทดแทนที่ไม่ได้เข้าทางฝั่งด้านหน้า เลยไม่รู้ว่าโดยภาพรวมมีหน้าตายังไง T_T
จากนั้นเดินไปเรื่อยก็จะพบกับเครื่องบินจำลอง ขึ้นไปนั่งถ่ายรูปได้นะเค้ามีบันไดให้ปีน
แต่ส่วนใหญ่เห็นมีแต่เด็กขึ้นไปนั่ง เลยไม่รู้ว่าเค้าห้ามผู้ใหญ่ด้วยหรือเปล่าอะ
เดินเลยเจ้าเครื่องบินมานิดจะมีประตูเปิดออกไปสวนด้านนอกได้
จะรอช้าอยู่ทำไม ก็เลยขอเดินตามเขาออกไปด้วยคน โอ้วว แม่สาวน้อย
มันช่างเป็นดีไซน์ที่สวยจริงๆ ตรงเลข 8 นั่นก็คือบริเวณที่เป็นชิงช้าที่อิฉันกำลังจะไปขึ้นแหละฮะท่านผู้ชม
เก็บตกบรรยากาศสวนมาอีกสักหน่อย ไหนๆก็เดินฝ่าลมออกมาหนาวอยู่ข้างนอกนี้จนจะแข็งอยู่แล้วนิ
วันนี้อุณภูมิอยู่ที่ 13-15 c นะครับ แหม๋เล่นเอาพี่ไทยอย่างผมสั่นนิดหน่อยเลย
ความเย็นไม่เท่าไร แต่มันพีคตรงที่ลมมันพัดแรงนี่แหละ
จากนั้นใกล้เวลาที่เรารอคอยแล้ว จะได้ขึ้นเจ้าชิงช้าสวรรค์ซะที
จะเห็นส่วนที่เป็นผนังเขียวๆ เจ้าหน้าที่จะให้เราหยุดยืนตรงนั้นทุกคน แล้วมองกล้อง Strong !!
ถ่ายภาพเราไปเพื่อตัดต่อให้เหมือนเรานั่งชิงช้าสวรรค์ค่ะ ถ่ายเสร็จจะให้ใบเสร็จน้อยๆ
เพื่อไปยื่นรหัสรูปของเราในโซนจำหน่ายของที่ระลึก
ผ่านตรงนั้นมานึกว่าจะได้ขึ้นเลย เปล่าจ้า ... เราต้องมารอขึ้นลิฟท์อีกที
ซึ่งตรงนี้จะมีเจ้าหน้าที่คอยตอนรับและกดลิฟท์ให้
เมื่อเข้าลิฟท์มา ก็ทำให้เรารู้ว่าจุดขึ้นชิงช้าสวรรค์ ' The Golden Reel ' อยู่ที่ชั้น 23 เลยจ้า
คำเตือน : ใครเป็นโรคกลัวความสูงอิฉันว่าไม่ควรขึ้นนะคะ เพราะชั้นที่ 23 คือส่วนล่างของเลข 8 จากที่เราเห็นในรูปด้านบนเท่านั้น
เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกมา ก็ผ่างเข้าให้ โอ้โหมันช่างใหญ่เสียจริงๆ
แต่ทั้งส่วนโครงสร้างกับตัวเคบินก็ค่อนข้างมั่นคงเช่นกันนะ ดูแข็งแรงทนทานดี
หลังจากชื่นชมเสร็จแล้ว ก็ได้แต่ยืนมองเธอเดินไป กับเขา
ตัดกลับมาค่ะ จะมาทำ MV อะไรเดินไปต่อคิวสิคะหนู
คนมาที่หลังเดินตัดหน้าไปเข้าคิวแล้ว เจ้าหน้าที่จะคอยเรียกตามคิว
ไม่มาเข้าคิวตรงจุดที่เขากำหนดไว้ก็อดขึ้นนะเออ
ระหว่างยืนรอก็อดกลัวนิดๆไม่ได้ มันจะสูงเกินไปสำหรับอิฉันเปล่าเนี่ย
เจ้าหน้าที่ก็เหมือนจะรู้ หันมายิ้มให้กำลังใจเราเบาๆ แล้วบอกว่า That's your turn !! Enjoy !!
เอาละค่ะ เมื่อส่วนเคบินมาถึง เราก็ควรจะมาดึงสติกันสักหน่อย Strong !!
โชคดีที่ไม่เดียวดาย เคบินนี้ได้ขึ้นกับคู่หนุ่ม-สาวเกาหลี ซึ่งเซลฟี่ตลอดทริป
ซึ่งก็อย่าได้แคร์สื่อใดๆ เอาเป็นว่าอิฉันพยายามถ่ายหลบมุมเต็มที่
เพื่อเอาบรรยากาศมาฝากเพื่อนๆ พันทิปได้ก็แล้วกัน บอกแล้วไงคะต้อง Strong
ทั้งงานยื่นแขน ทั้งงานไม้เซลฟี่ก็มา หวานกันซะ ชะนีไทยอิจเบาๆเลยค่ะท่านผู้ชม
ด้านในจะมีช่องกระจกใส ซึ่งจะอยู่ริมด้านในของเคบิน ให้ได้ยืนถ่ายรูปกัน
ในส่วนของเบาะที่นั่งภายในเคบินก็จะประมาณนี้ บุหนังมาอย่างดี นิ่มๆนั่งสบาย
เมื่อชิงช้าสวรรค์เริ่มหมุน จำสวนข้างล่างที่อิฉันแวะไปถ่ายรูปได้มั้ยคะ
สวนเดียวกันแต่ได้ภาพมุมสูงค่ะ ปล.สูงจริงๆนะ
กว่าจะได้ขึ้นชิงช้าสวรรค์จากตอนเย็นๆก็เข้าสู่ช่วงมืดตอนหัวค่ำพอดี ทาง Studio City เริ่มเล่นไฟแล้วค่ะ สวยดี
เมื่อหมุนผ่านโครงสร้าง ก็ทำให้รู้ว่าโครงเค้าหนาแน่นและแข็งแรงดีจริงๆ
และถ้าลองหันหลังกลับไปจะพบกับลานกว้างๆ สำหรับจอดรสบัสฟรีขาที่นั่งมาและขาที่จะต้องนั่งออกไปค่ะ
แล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง จุดพีคมันอยู่ตรงนี้ นี่คือจุดสูงสุดของชิงช้าค่ะ
มองผ่านพื้นกระจกใสลงไป ก็ดูเสียวใช่เล่น มันสูงมากจริงๆ
ชิงช้า 1 รอบจะใช้เวลาประมาณ 15 - 20 นาที ดังนั้นถ้าต้องการถ่ายภาพควรทำเวลาค่ะ
เมื่อครบรอบก็จะมีเจ้าหน้าที่นำทางเรามาส่งที่หน้าลิฟท์เพื่อลงกลับไปสู่จุดเดิม
อันนี้ ตอนลงมาถึงแล้วได้เปิดประตูสวนเพื่อถ่ายรูปอีกรอบค่ะ
จะเห็นได้ว่าท้องฟ้าเปลี่ยนสีไปแล้ว แถมแสงไฟก็ทำให้ตัวอาคารโดดเด่นขึ้นด้วย
ซึ่งสำหรับการเล่นแสงของสวนพื้นราบก็เช่นกัน อ๋อ ... จะมีจุดเครื่องพ่นกลิ่นอโรม่ารอบๆ บริเวณสวนด้วยนะคะ
กลิ่นหอมดี ไม่ฉุนจนเกินไป ทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะค่ะ เพราะบรรยากาศก็ดีแถมลมก็พัดเย็นๆ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น