ขุนเขาแห่งจิตวิญญาณ ตอนที่ 3 แอกอันหนัก ของคนในบอร์ด

ท่านที่เคารพรักครับ   ในชีวิตของคนเรา  เราอาจจะผ่านพบใคร และได้รัก สักหลายคน  แต่ต้องมีใครสักคน ที่ฝังใจ   
  เราอาจจะผ่านพบฤดูหนาวมาหลายฤดู   แต่ต้องมีสักฤดูหนาวที่ฝังจำ  

บางคนมีความหลังกับบางสถานที่  ทุกๆปีต้องหาเวลาไปเยือน  ไปแล้ว ไปอีก  ไปแล้วยืนมองนิ่งๆ อย่างเงียบๆ  แรกๆก็ไปกันเป็นคู่  ไปพร้อมกัน ทั้งสองคน  วันเดือนเคลื่อนคล้อย หลายสิ่งหลายอย่างก็เปลี่ยนแปลง   

          ปีต่อไป ปีต่อไป ก็เหนือเพียงบุรุษ ที่ไปเพียงคนเดียว

ไม่ว่าจะเป็นรอยสลักชื่อบนต้นไม้ที่ปาย ที่ดอยอ่างขาง  ที่ภูกระดึง   ชื่อของคนสองคน มีรูปหัวใจอยู่ตรงกลาง มีลูกศรเล็กๆ ปักกลางหัวใจ  ชื่อคนสองคนนี้ บางคู่ได้ไปปรากฏบนการ์ดวิวาห์  แต่บางคู่กลับไปไม่ถึงซึ่งฝั่งฝัน

บุรุษบางคน ต้องเป็น " อดีต "  เพราะสตรีบอกว่าอยู่กับเขาแล้วไม่มี " อนาคต "
สตรีบางคน ต้องหมด " อนาคต " เพราะบิดา มารดาฝ่ายชาย  รับไม่ได้กับ " อดีต " ของเธอ

บางคนมีบทเพลงที่ลึกซึ้งตรึงใจ   ฟังแล้ว ฟังอีกไม่รู้เบื่อ   ไม่ว่าจะเป็นเสียงเพลงจากคลื่นวิทยุจากแม่ค้ารถเข็นที่ขายส้มตำ  หรือฟังโฟล์คซองในร้านอาหาร  หรือฟังจากทีวีที่จตุจักร คลองถม  เมื่อเสียงเพลงแว่วมา ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งลง  ไม่ว่าจะฟังเมื่อใด  ความทรงจำก็เหมือนโบยบินย้อนไปสูความหลัง   เหมือนย้อนรีเพลย์เทปกลับ  ทุกอย่างยังแจ่มชัด ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด   

ข้าพเจ้ามีเพื่อนสตรีคนหนึ่ง  เธอประทับใจเพลง " ฉากสุดท้าย " มาก   ทุกๆครั้ง ที่ข้าพเจ้าเห็นเธอฟังเพลงนี้   เมื่อเพลงร้องมาถึงท่อนที่ว่า
" ต่อไป เธอเป็นเพียงแค่ความหลัง   เป็นรอยฝัง เป็นเพียงบทเรียน  จะลืมเธอสิ้นลง ลืมคน ที่ใจแปรเปลี่ยน "   บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าจะพบแววประกายใส  ในดวงตาของเธอ  ที่เอ่อล้น ข้าพเจ้าเองก็เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่ลำคอ  เมื่อพบว่าเธอร้องไห้เงียบๆ

คนที่เคยร้องไห้มาก่อนย่อมพอจะทราบว่า  คนที่ร้องไห้นั้น  ยิ่งร้องไห้เงียบเท่าไหร่   เธอยิ่งเสียใจมากเท่านั้น.....

    บางคนมีมิตรสหายที่คบมาตั้งแต่วัยเยาว์  คบกันจนผมขาวเข้าสู่วัยชรา   แต่นั่นเป็นเรื่องของกาลเวลา   การคบหาที่จริงใจต่างหากล่ะที่ยิ่งใหญ่   บางคนคบหากันด้วยระยะเวลาเพียงสั้นๆ แต่ตีแผ่หัวใจบริสุทธิ์ที่จริงใจต่อกัน  


บางคนพบเจอกันที่โรงเรียน   บางคนพบเจอกันที่โรงอาหาร  บางคนพบเจอกันที่ป้ายรถเมล์  บางคนพบเจอกันที่หัวลำโพง

บางคนพบเจอกัน  ในเวบบอร์ด.....

บางคนยินยอมเป็นสายลมใต้ปีกของสหายที่ตนเองรัก  คนบางคนยินยอมพร้อมใจอยู่ในเงามืด เพื่อหนุนเสริมให้คนที่ตนเองรัก ได้บินสูง  อยู่ภายใต้แสงสว่างที่สาดส่องถึง

เคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่า  มิตรภาพจะให้ความอบอุ่นและส่องสว่างที่สุด ก็ต่อเมื่อมิตรสหายตกอยู่ในจุดอับที่สุดนั่นเอง  

   ท่านที่เคารพรักครับ  ในยุคสมัยบู๊ลิ้ม นอกจากสหาย ยังมี สตรี  ท่านโกวเล้ง ให้ แชแช เป็นสายลมใต้ปีก เต็งพ้ง  ในฤทธิ์ดาบวงพระจันทร์    ท่านกิมย้งให้อึ้งย้ง หรือย้งยี้ เป็นสายลมใต้ปีกของก๊วยเจ๋ง  ในมังกรหยก
บุรุษบางคนงำประกายมิดชิด ทำสวนไร่นา ฝ่าฟืน หุงข้าว  สวมใส่เสื้ผ้าเก่า ซีดที่มีรอยปะชุน แต่ภรรยาที่อยู่กันมาพบความเปลี่ยนแปลงเมื่อเอวสามีตั้งตรงดุจลำทวน ดวงตามีประกายเจิดจ้า ก้มหน้าดึงกล่องไม้คร่ำครึของมาจากใต้เตียง   ซึ่งในกล่องนั้นเก็บซ่อนกระบี่ ไว้อย่างมิดชิด เสียงเคร้งเมื่อบุรุษชักกระบี่ ดังปานมังกรคำราม    ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้น เมื่อบุรุษได้ทราบข่าวว่า สหายมันกำลังมีภัย อันตราย

ในอดีตนั้น เป็นยุคสมัยของคำว่า " มีสุขร่วมเสพ  มีภัยร่วมต้าน "  

คำว่า  มิตรภาพนั้นซื้อก็ไม่ได้ ขายก็ไม่ได้  ตัดไม่ตาย ขายก็ไม่ขาด   ใครที่ขายเพื่อน คนๆนั้น ก็จะไม่มีเพื่อน  ใครที่ซื้อเพื่อน  คนๆนั้นก็ไม่มีเพื่อน   เพราะมิตรภาพ ต้องแลกมาด้วยหัวใจที่จริงใจ เท่านั้น

    ท่านที่เคารพรักครับ  หากดูจากกรณีชาวบ้าน  มีกระแส เอาสติ้กเกอร์ " รถคันนี้สี ..."  ( ที่ไม่ใช่สีจริงของรถ )  เมื่อชาวบ้านร้านตลาด สร้างมายาคติวงเล็กๆ แก่ปัจเจกและสังคมรอบตัว   ส่วนคนที่มีพาวเวอร์ มีอำนาจ  จ้อหน้าทีวี  ก็สร้างมายาคติชี้นำ ได้ใหญ่กระเพื่อมสร้างผลเป็นวงกว้างมากขึ้น

นั่นเพราะลึกขึ้นไปกว่ามายาคตินั้น  มันคือ " ความเชื่อ "   เชื่อว่า หากรถเป็นสีนี้แล้วชีวิตจะดี   " ทุกอย่างจะดี "   แต่หากอะไรๆมันดูแย่  มันเลวลง   ก็เพราะรถมันเป็นสีนั้น   เฉกเช่น โฆษณาหนึ่งในอดีตที่ทุกอย่างโทษแก๊สโซฮอล  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต้องโทษแก๊สโซฮอลไว้ก่อน เพื่อความสบายใจ  กินได้  นอนหลับ     แต่ที่ลึกที่สุดคือจิตใจที่มีปม จมไม่ลง ที่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่า ตนเองนั้นเก่งกว่า ฉลาดกว่า ดีกว่า ฝ่ายตรงข้าม  จึงต้องโทษไว้ก่อน เพราะฝังหัวจนหัวปลักหัวปลำแล้วว่า  ไม่ดี  

ความไหวเคลื่อนของสังคมที่เกิดขึ้น  หากไปเซ้าซี้ จ่ำจี้ จ่ำไช อธิบายความจริง อาจได้ถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้ง  ขยายบานปลายแบ่งฝักแบ่งฝ่าย  ไม่ว่าจะร้านกาแฟ ร้านข้าวราดแกง    ไปจนถึงเวบบอร์ด ต่างหน้าดำ หน้าแดงไม่ยอมรับความจริง  

เพราะมายาคติมาเลยจุดที่จะยูเทิร์นกลับแล้ว  นอกจากจะบินข้ามเกาะเอาแบบกลับหลังหัน    หรือไม่ก็แบบสุดโต่ง คนหนึ่งถึงแม่สาย คนหนึ่งก็ถึงเบตง ทางใคร ทางมัน

การมีเพื่อนเป็นร้อย  ยังถือว่าน้อย   แต่มีศัตรู เพียงคนเดียว ก็ถือว่ามาก  ไม่ว่าจะในชีวิตจริง หรือในบอร์ดครับ   

ก่อนจะจบบทความ  ข้าพเจ้าขออนุญาตให้ท่านที่เคารพรัก ใช้ความเป็นนักสืบในตัวเอง  สืบค้นปริศนาข้อนี้ครับที่ว่า   ลี้คิมฮวง อาฮุย  ซุนเซี่ยวอั่ง  ไปทานหมี่ด้วยกัน   หมี่ชามละ 10 ตำลึง   เมื่อทานเสร็จ   ก็ล้วงเงินในถุงสายรัดเอวออกมาจ่าย     

จ่ายคนละ 10 ตำลึง   สามคนรวมเป็น 30 ตำลึง

แต่เพราะคนทั้งสามเป็นผู้ที่เรียกว่า ขาประจำ เถ้าแก่จึงคืนเงินให้เสี่ยวเอ้อ เด็กรับใช้ มา 5 ตำลึง  เพื่อให้นำไปเป็นส่วนลดให้แก่คนทั้งสาม
เมื่อเสี่ยวเอ้อเดินมาถึงโต๊ะ  ก็ได้โค้งคำนับ มอบเงินคืนให้คนทั้งสาม คนละ 1 ตำลึง  ส่วนที่เหลือ 2 ตำลึง  เสี่ยวเอ้อก็มุบมิบไว้

ตกลง คนทั้งสาม เมื่อได้เงินคืนมา คนละ 1 ตำลึง  ก็เท่ากับว่า คนทั้งสาม จ่ายไปเพียงคนละ 9 ตำลึง  บวกลบคูณหาร  คนละ 9  สามคน ก็เป็น 27  ตำลึง
เมื่อเอา 27 ตำลึง มารวมกับ 2 ตำลึง ที่เสี่ยวเอ้อหักไป  ก็รวมเป็น 29  ตำลึง

แล้วอีก 1 ตำลึง หายไปไหนครับท่านที่ผูกพันเสมอมาครับ  ?

..................................................

ขอน้อมคารวะครับ  พี่ๆทุกๆท่านครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่