ครม.เห็นชอบมาตรการอุ้ม SMEs เฟสสอง5หมื่นล้าน จำกัดกู้ไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อราย
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1450786633
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพิ่มเติม วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท ต่อเนื่องจากโครงการระยะแรกที่ออกไปเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา 1 แสนล้านบาท
สำหรับคุณสมบัติเอสเอ็มอีที่จะขอกู้จากโครงการนี้ได้ ต้องเป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย หรือนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศซึ่งมีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นเกินกว่า 50% ของทุนจดทะเบียน สามารถยื่นขอสินเชื่อภายใน 30 มิ.ย. 2559 หรือจนกว่าวงเงินที่กำหนดไว้จะถูกจัดสรรหมด แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับแนวทางการปล่อยสินเชื่อนั้นธนาคารออมสินให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการฯ และธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เฉพาะการปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยมีเงื่อนไขไม่ให้รีไฟแนนซ์หนี้เดิม ซึ่งธนาคารออมสินจะคิดดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินในอัตรา0.1% ต่อปี ส่วน สถาบันการเงินคิดดอกเบี้ยจากผู้ประกอบการตามจำนวนเงินในตั๋วสัญญาใช้เงินหรือตามรายงานสรุปยอดสินเชื่อของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในอัตรา 4% ต่อปี ระยะเวลาการกู้ 7 ปี โดยเป็นเกณฑ์เดียวกับโครงการระยะแรก แต่ที่เปลี่ยนแปลงคือวงเงินกู้ต่อรายที่ลดลงเหลือไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อราย จากเดิมไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อราย
สำหรับการชดเชยส่วนต่างอัตรา ดอกเบี้ยให้กับธนาคารออมสิน รัฐบาลจะชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับธนาคารออมสิน ในอัตราเท่ากับต้นทุนทางการเงินของธนาคารที่ 2.21% ต่อปี บวกค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ 0.75% ต่อปี หักอัตราผลตอบแทนจากการให้สถาบันการเงินกู้ 0.1% ต่อปี เท่ากับ 2.86% ต่อปี ดังนั้น ประมาณการค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องชดเชยเป็นจำนวน 1,430 ล้านบาทต่อปี งบประมาณชดเชยรวม 7 ปี รวมเป็นเงิน 10,010 ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง
ข่าวดีมาอีกแล้ว ครม.เห็นชอบมาตรการอุ้ม SMEs เฟสสอง5หมื่นล้าน จำกัดกู้ไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อราย
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1450786633
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพิ่มเติม วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท ต่อเนื่องจากโครงการระยะแรกที่ออกไปเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา 1 แสนล้านบาท
สำหรับคุณสมบัติเอสเอ็มอีที่จะขอกู้จากโครงการนี้ได้ ต้องเป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย หรือนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศซึ่งมีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นเกินกว่า 50% ของทุนจดทะเบียน สามารถยื่นขอสินเชื่อภายใน 30 มิ.ย. 2559 หรือจนกว่าวงเงินที่กำหนดไว้จะถูกจัดสรรหมด แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับแนวทางการปล่อยสินเชื่อนั้นธนาคารออมสินให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการฯ และธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เฉพาะการปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยมีเงื่อนไขไม่ให้รีไฟแนนซ์หนี้เดิม ซึ่งธนาคารออมสินจะคิดดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินในอัตรา0.1% ต่อปี ส่วน สถาบันการเงินคิดดอกเบี้ยจากผู้ประกอบการตามจำนวนเงินในตั๋วสัญญาใช้เงินหรือตามรายงานสรุปยอดสินเชื่อของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในอัตรา 4% ต่อปี ระยะเวลาการกู้ 7 ปี โดยเป็นเกณฑ์เดียวกับโครงการระยะแรก แต่ที่เปลี่ยนแปลงคือวงเงินกู้ต่อรายที่ลดลงเหลือไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อราย จากเดิมไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อราย
สำหรับการชดเชยส่วนต่างอัตรา ดอกเบี้ยให้กับธนาคารออมสิน รัฐบาลจะชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับธนาคารออมสิน ในอัตราเท่ากับต้นทุนทางการเงินของธนาคารที่ 2.21% ต่อปี บวกค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ 0.75% ต่อปี หักอัตราผลตอบแทนจากการให้สถาบันการเงินกู้ 0.1% ต่อปี เท่ากับ 2.86% ต่อปี ดังนั้น ประมาณการค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องชดเชยเป็นจำนวน 1,430 ล้านบาทต่อปี งบประมาณชดเชยรวม 7 ปี รวมเป็นเงิน 10,010 ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง