Jail Time #1 เรื่องเล่าจากเรือน(ไม่อยาก)จำ #1.น้ากบ

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ทุกท่านที่กำลังอ่านกระทู้อยู่ในขณะนี้
ต้องขออนุญาตเกริ่นถึงที่มาที่ไปก่อน
หลังจากที่ระหว่างขับรถก็คิดอยู่น๊านนนน ว่าจะเอาเรื่องนี้มาลงให้สังคมได้รู้ดีหรือไม่
แต่จริงๆก็ได้คำตอบมาหลายวันแล้วล่ะค่ะ

หลังจากติดตามเป็นผู้อ่านมานาน นอกจากกระทู้ที่ตั้งเพื่อให้ช่วยวางแผนการท่องเที่ยวแล้ว
นี่ก็เป็นกระทู้แรก ที่จะมาเขียนอะไรจริงๆจังๆ กับเค้าบ้าง
เราไม่ปกปิดตัวตนเรานะคะ ไอดีก็เป็นไอดีเดิมๆ ที่โลดแล่นอยู่ในนี้มาพักใหญ่
เราคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่ก็ไมใช่เรื่องที่จะต้องมาประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่า เฮ้ ยู ผั วฉันติดคุกนะ
หลายๆ คนรอบตัว เพื่อนฝูงบางคนก็ไม่รู้ค่ะ ขี้เกียจอธิบาย เรื่องยาวเกิน เหนื่อย

เนื่องจากเจ้าของกระทู้เอง ก็ใช้ชีวิตราบเรียบไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไรมาโดยตลอด(หรอ)
แต่แฟนน่ะสิคะ นางโชคดี รับแจ๊คพ็อตยักษ์ ได้สิทธิในการไปเที่ยวชมเรือนจำฟรี 5 ปี
(นี่ลดมาครึ่งนึงแล้วนะ ทำไมยังเยอะอย่างงี้ล่ะ เฮ่อ...)
คนอาร๊ายยย อยู่ๆก็ได้บ้านอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ พร้อมสนามหญ้า อยู่ใจกลางกรุงเทพอีกต่างหาก
ตลกกลบเกลื่อนค่ะ ตอนแรกก็บอกตามตรงว่าทำใจได้ยากค่ะ ใช้ชีวิตอย่างหม่นหมองมาครึ่งค่อนปี
เพราะลาออกจากงานมาอยู่บ้าน  มันนิ่งหงอยเหงาหดหู่ไม่รู้จะว่ายังไงค่ะ
นี่อีก 1 เดือน ก็จะครบ 1 ปี แล้วค่ะ พึ่งจะทำให้ชีวิตตัวเองเป็นสุขได้ เหอะๆ

หลายๆ คนบอกว่าไม่น่าออกจากงานมาเลย เสียดาย อาชีพนี้ใครๆ ก็อยากทำ รายได้ก็โอเค ทุกอย่างคือดีงาม
แต่แฟนบอก ไม่ไหวจริงๆ เป็นห่วงมาก อยู่กับอาชญากรใน(คุก)นี้มาก
เห็นว่าโจรคิดยังไง วางแผนยังไงยิ่งเป็นห่วง
เพราะแต่ก่อน เราทำงานบ่าย กลับคอนโดทีก็ตีหนึ่งตีสองทุกวัน
ใช้ชีวิตคนเดียว ดูหนังคนเดียว กินข้าวคนเดียวเพลินๆ
เราก็โอ๊ย จะห่วงอะไรกันนักกันหนา ตอนอยู่ด้วยกันไม่เห็นจะเป็นบ้าเป็นบอแบบนี้เลย
นอกใจหล่อนยังเคยทำชั้นมาแล้ว เจ็บกว่านั้นมันไม่มีแล้วย่ะ
นางก็บอกว่า นี่ถึงขั้นเห็นเครื่องบินแล้วน้ำตาไหลเลยนะ (แต่ก่อนทำงานบนเครื่องบินอ่ะค่ะ)
แล้วบ้านใหม่แฟน ก็ทะลึ่งติดกับสนามบินเหลือเกิน
เอ้า ออกก็ออก มาใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์อยู่บ้านนอกก็ได้วะ

วิถีชีวิตต่อจากนี้ ก็จะสโลว์มาก เพราะอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีเข้าไม่ถึงนาง
เราต้องนั่งรถ 2 ชั่วโมง เพื่อไปเยี่ยมนางผ่านหน้ากระจก 20 นาที
คุยเสร็จ ดราม่ากันเสร็จ ก็นั่งรถกลับบ้านอีก 2 ชั่วโมง สโลว์มาก
จดหมายหรอ ไปรษณีย์ไทยสิคะ นอกจากซื้อของออนไลน์แล้ว ก็มีประโยชน์ตรงนี้แหละค่ะ
จะรับเข้า ส่งออก ก็จะมีหน่วยพิสูจน์อักษรแกะอ่านก่อนด้วยนะ ว่าเนื้อความโอเค ไม่ส่อเสียดการเมือง
จนหลังๆ คุณแฟน ก็ได้มาเป็นคนพิสูจน์อักษรเอง ฮ่าๆ

นอกจากเราจะสโลว์ไลฟ์แล้ว คนที่สโลว์กว่าเห็นจะเป็นแฟนเนี่ยแหละค่ะ
ที่ตื่นเช้า มาออกกำลัง และเข้านอนแต่หัวค่ำ ใช้ชีวิตกับการอ่านและเขียนหนังสือ
จนเราต้องส่งหนังสือเข้าไปให้อ่านตลอด หมดเงินไปมหาศาล
บัตรสมาชิกร้านหนังสงหนังสืออะไร ลดกี่เปอร์เซ็นต์ ชั้นมีหมดย่ะ

อ่านหนังสือมาก จนกระทั่ง
“อยากเขียนหนังสือ”

นางก็บ่นๆตลอด ว่า เนี่ย พี่ว่าพี่อยากเขียนหนังสือบ้างอ่ะ
เดี๋ยวจะลองเขียนต้นฉบับมาให้ลองอ่านนะ

แล้วก็คลอดมาเป็นเรื่องนี้ค่ะ
จริงๆ มีเรื่องก่อนหน้านี้สองสามเรื่อง แต่ขอเราไปขุดหาก่อนนะคะ
กองจดหมายจะทับตัวเราเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี  จุดไฟทีเดียวก็พร้อมตายเลยอ่ะค่ะ

ชื่อบุคคลในเรื่องนี้เราจะเปลี่ยนชื่อ จากที่แฟนเขียนมาให้อีกที ไม่อยากให้ไปกระทบถึงใคร
แล้วเอามาเรียบเรียงแก้ไขย่อหน้าให้ใหม่
ที่เอามาลงเนี่ย ก็หวังว่าจะมีประโยชน์บ้าง
เอามาเตือนภัยใกล้ตัวที่อาจเกิดได้ทุกเมื่อแล้วกันนะคะ
จะไปไหน จะทำอะไร ก็ระวังตัวกันให้มากๆนะคะ สังคมสมัยนี้มันน่ากลัวจริงๆ

เกริ่นมายาวขนาดนี้  เนื้อเรื่องจะยาวขนาดไหน
ตามอ่านที่ความเห็นถัดไปเลยค่ะ

ปล. เรื่องทั้งหมดนี้มาจากเรื่องจริงนะคะ อาจมีเสริมเติมแต่งคำพูดให้น่าอ่าน
ขออนุญาตแทค ปัญหาครอบครัว/ปัญหาสังคม เพราะเรื่องราวต่อไปเป็นปัญหาครอบครัวและปัญหาหาสังคมที่เกิดขึ้น และเห็นตามข่าวหน้าหนึ่งกันอยู่ทุกวันค่ะ
แทค ปัญหาความรัก/ประสบการณ์ชีวิตคู่ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทะเลาะกันของสามีภรรยา และการอยู่ร่วมกันแบบห่างๆ อย่างห่วงๆ ของเรากับแฟนค่ะ ที่ต้องอดทนและไว้ในซึ่งกันและกัน
แทค แต่งเรื่องสั้น ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง แต่อยากแทคถนนนักเขียน อยากให้ผู้อ่านคอมเม้นเรื่องสำนวนการเขียนของแฟนด้วยค่ะ ติชมอย่างไร หรือมีข้อเสนอแนะ นางจะได้กระชุ่มกระชวยใจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่