ถ้าคนที่เข้าวัดนี้ ก่อนให้มีใจยินดี ขณะให้ใจเลื่อมใส หลังให้ก็มีใจเบิกบาน
ทำทานด้วยจิตใจบริสุทธิ์ ด้วยความไม่ระแวง อานิสงค์สูงส่ง แม้จะทำกับใคร ใช่ไหมครับ
อ้างอิงจากคติธรรมนี้
https://www.gotoknow.org/posts/294050
ทำบุญกับโจรได้ขึ้นสวรรค์ ทำบุญกับพระอรหันต์ตกนรก
..บางคนอาจยังไม่เข้าใจถึงวิธีการทำบุญกับพระให้ได้บุญมาก.. วันนี้อาตมาจึงอยากจะเล่าถึงวิธีการทำบุญที่ถูกต้องและได้บุญอย่างแท้จริง ก่อนอื่นขอเล่านิทานยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างก่อนคือเรื่อง ทำบุญกับโจรได้ขึ้นสวรรค์ ทำบุญกับพระอรหันต์ตกนรก
ได้ยินมาว่า กาลครั้งหนึ่ง ณ เมืองแห่งหนึ่ง เมืองแห่งนี้มีโจรคนหนึ่งที่ทำการปล้นขโมยของชาวบ้านและสมบัติของทางการเป็นว่าเล่น จนวันหนึ่งถูกพระราชาสั่งให้ทหารไปติดตามจับกุม เขาไม่รู้ว่าจะหนีไปไหน เลยปลงผมห่มผ้าเหลืองปลอมตัวเป็นพระ เข้าไปอยู่ในอารามแห่งหนึ่ง ซึ่งมีหลวงตารูปหนึ่งที่อาศัยอยู่ในวัดนั้น ด้วยความที่กลัวทหารจับได้ก็ปลอมตัวอยู่ในวัดแห่งนั้นทำตัวสำรวม ประพฤติตนเรียบร้อยดูราวกับว่าเป็นพระจริง ๆ
วันนั้นเป็นวันพระ..โยมก็พากันมาทำบุญตามปกติ.. มีโยมสองคนประสงค์จะทำบุญวันคล้ายเกิดในวันพระ..ก็พากันไปวัดนั้น ในขณะที่ถึงวัดก็โยมทั้งสองก็มองหาพระเพื่อจะนิมนต์ให้ท่านรับของ โยมคนหนึ่งเห็นพระปลอมที่นั่งกังวลกลัวทหารจับและพยามทำใจให้สงบอยู่ใต้ต้นไม้ ก็เดินไปหา.. ด้วยความที่ตนเองมีใจศรัทธาต้องการที่จะทำบุญอยู่แล้ว เห็นพระปลอมคนนั้นนั่งหลับตานิ่งสงบอยู่คล้ายกับว่านั่งสมาธิก็ยิ่งเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น ก็ทักว่า "ท่าน..นิมนต์รับของด้วยเจ้าค่ะ" เจ้าโจรเห็นโยมคนนั้นมาก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง..ก็ยิ้ม ๆ ไว้และรับของ ๆ นั้น หลังจากโยมถวายเสร็จก็นั่งอธิษฐานจิตว่า "ขอบุญนี้จงสำเร็จผลในชาติหน้าขอให้ข้าพเจ้าได้เสวยบุญอยู่บนสวรรค์ด้วยเทอญ" เสร็จแล้วก็กราบลากลับบ้าน ในขณะที่กลับก็คิดถึงแต่บุญของตนเองอยู่ตลอดเวลา
ส่วนโยมอีกคนหนึ่ง ก็แลไปเห็นหลวงตาท่านหนึ่งที่อยู่บนศาลา ซึ่งหลวงตาได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ แต่ด้วยความที่ท่านบวชมานานผ้าที่ห่มก็เก่าคร่ำคร่าสีตก โยมก็ได้ถวายสังฆทานให้กับหลวงตา แต่ด้วยความที่หลวงตาก็ชราภาพมากแล้ว อิริยาบถของท่านจึงไม่ค่อยสู้ดีนัก โยมคนนั้นเห็นอาการของหลวงตาไม่ค่อยจะเรียบร้อยนักก็คิดระแวงสงสัยว่า "หลวงตาเป็นพระจริงหรือเปล่า" เมื่อโยมถวายเสร็จ แล้วกล่าวด้วยความสงสัยว่า "ท่านเป็นพระจริงหรือเปล่า ดูท่าทางไม่เหมือนพระเลยนะ" หลวงตาท่านก็ยิ้มไม่พูดอะไร จากนั้นโยมคนนั้นก็กลับบ้านและในขณะที่กลับก็คิดกังวลอยู่นั่นแหล่ะ และบ่นพึมพรำตลอดว่า "ทำบุญกับพระรูปนี้คงไม่ได้บุญแน่เลยวันนี้ น่าเสียดายของจัง"
ในขณะที่ทั้งสองเดินทางกลับ ก็เกิดเหตุร้ายขึ้นกับพวกเขาทำให้ก็เสียชีวิตลง โยมคนแรกนึกถึงบุญที่ตนเองทำวันนั้นตลอดเวลาตายแล้วจึงได้ไปเกิดบนสวรรค์ดังที่ตนปรารถนา ส่วนโยมอีกคนหนึ่งคิดกังวลว่าจะได้รับบุญหรือไม่ ใจเป็นทุกข์ตลอดเวลา อีกทั้งไปกล่าวหาว่าพระซึ่งท่านเป็นพระอรหันต์ว่าดูไม่เหมือนพระเลย เมื่อตายแล้วเขาจึงได้ไปอยู่รับกรรมในนรกแล้วค่อยไปสวรรค์ทีหลังรับผลบุญที่ทำนั้น
เรื่องนี้สื่อความหมายให้รู้ว่า.. การทำบุญเป็นเรื่องของจิตใจและเจตนา โยมต้องประคับประคองสภาพจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสไว้ให้ได้ตลอดสาย ทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังจากทำแล้ว จึงจะได้ผลบุญเต็มที่ หากมีอะไรมาทำให้จิตใจขุ่นมัวเศร้าหมองในระหว่างทำบุญก็จะทำให้ผลบุญลดน้อยลง แต่ถ้าทำใจให้แช่มชื่นเบิกบาน ทำด้วยความตั้งใจและเต็มใจ ไม่เสียดายในภายหลัง มีอะไรที่ติดขัดอันใดในระหว่างทำบุญก็แก้ไขไปด้วยจิตใจที่ปกติ ยิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนโยมที่ทำบุญกับพระปลอมทั้งที่ไม่รู้ว่าเป็นพระเลย แต่ทำด้วยจิตใจเลื่อมใสศรัทธาบริสุทธิ์ตั้งใจจริงเมื่อทำแล้วก็ย่อมได้ผลมากเหมือนกันไม่จำเป็นจะต้องทำกับพระอรหันต์ก็ได้ ดังนั้น ถ้าอยากได้บุญมากในการถวายทาน ก็ขอให้โยมจำไว้ว่า ก่อนให้มีใจยินดี ขณะให้มีใจเลื่อมใส หลังให้ก็มีใจเบิกบาน โยมก็จะได้บุญอย่างเต็มที่..นะโยม..นะ
-----------------------------------------------------------------------------------
ถ้าศรัทธาว่าพระในวัดธรรมกายเป็นพระอรหันต์จริงๆไปทำบุญด้วยความไม่เคลือบแคลง จะได้อานิสงค์มีโอกาสขึ้นสวรรค์จริงๆใช่ไหมครี
ทำทานด้วยจิตใจบริสุทธิ์ ด้วยความไม่ระแวง อานิสงค์สูงส่ง แม้จะทำกับใคร ใช่ไหมครับ
อ้างอิงจากคติธรรมนี้
https://www.gotoknow.org/posts/294050
ทำบุญกับโจรได้ขึ้นสวรรค์ ทำบุญกับพระอรหันต์ตกนรก
..บางคนอาจยังไม่เข้าใจถึงวิธีการทำบุญกับพระให้ได้บุญมาก.. วันนี้อาตมาจึงอยากจะเล่าถึงวิธีการทำบุญที่ถูกต้องและได้บุญอย่างแท้จริง ก่อนอื่นขอเล่านิทานยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างก่อนคือเรื่อง ทำบุญกับโจรได้ขึ้นสวรรค์ ทำบุญกับพระอรหันต์ตกนรก
ได้ยินมาว่า กาลครั้งหนึ่ง ณ เมืองแห่งหนึ่ง เมืองแห่งนี้มีโจรคนหนึ่งที่ทำการปล้นขโมยของชาวบ้านและสมบัติของทางการเป็นว่าเล่น จนวันหนึ่งถูกพระราชาสั่งให้ทหารไปติดตามจับกุม เขาไม่รู้ว่าจะหนีไปไหน เลยปลงผมห่มผ้าเหลืองปลอมตัวเป็นพระ เข้าไปอยู่ในอารามแห่งหนึ่ง ซึ่งมีหลวงตารูปหนึ่งที่อาศัยอยู่ในวัดนั้น ด้วยความที่กลัวทหารจับได้ก็ปลอมตัวอยู่ในวัดแห่งนั้นทำตัวสำรวม ประพฤติตนเรียบร้อยดูราวกับว่าเป็นพระจริง ๆ
วันนั้นเป็นวันพระ..โยมก็พากันมาทำบุญตามปกติ.. มีโยมสองคนประสงค์จะทำบุญวันคล้ายเกิดในวันพระ..ก็พากันไปวัดนั้น ในขณะที่ถึงวัดก็โยมทั้งสองก็มองหาพระเพื่อจะนิมนต์ให้ท่านรับของ โยมคนหนึ่งเห็นพระปลอมที่นั่งกังวลกลัวทหารจับและพยามทำใจให้สงบอยู่ใต้ต้นไม้ ก็เดินไปหา.. ด้วยความที่ตนเองมีใจศรัทธาต้องการที่จะทำบุญอยู่แล้ว เห็นพระปลอมคนนั้นนั่งหลับตานิ่งสงบอยู่คล้ายกับว่านั่งสมาธิก็ยิ่งเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น ก็ทักว่า "ท่าน..นิมนต์รับของด้วยเจ้าค่ะ" เจ้าโจรเห็นโยมคนนั้นมาก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง..ก็ยิ้ม ๆ ไว้และรับของ ๆ นั้น หลังจากโยมถวายเสร็จก็นั่งอธิษฐานจิตว่า "ขอบุญนี้จงสำเร็จผลในชาติหน้าขอให้ข้าพเจ้าได้เสวยบุญอยู่บนสวรรค์ด้วยเทอญ" เสร็จแล้วก็กราบลากลับบ้าน ในขณะที่กลับก็คิดถึงแต่บุญของตนเองอยู่ตลอดเวลา
ส่วนโยมอีกคนหนึ่ง ก็แลไปเห็นหลวงตาท่านหนึ่งที่อยู่บนศาลา ซึ่งหลวงตาได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ แต่ด้วยความที่ท่านบวชมานานผ้าที่ห่มก็เก่าคร่ำคร่าสีตก โยมก็ได้ถวายสังฆทานให้กับหลวงตา แต่ด้วยความที่หลวงตาก็ชราภาพมากแล้ว อิริยาบถของท่านจึงไม่ค่อยสู้ดีนัก โยมคนนั้นเห็นอาการของหลวงตาไม่ค่อยจะเรียบร้อยนักก็คิดระแวงสงสัยว่า "หลวงตาเป็นพระจริงหรือเปล่า" เมื่อโยมถวายเสร็จ แล้วกล่าวด้วยความสงสัยว่า "ท่านเป็นพระจริงหรือเปล่า ดูท่าทางไม่เหมือนพระเลยนะ" หลวงตาท่านก็ยิ้มไม่พูดอะไร จากนั้นโยมคนนั้นก็กลับบ้านและในขณะที่กลับก็คิดกังวลอยู่นั่นแหล่ะ และบ่นพึมพรำตลอดว่า "ทำบุญกับพระรูปนี้คงไม่ได้บุญแน่เลยวันนี้ น่าเสียดายของจัง"
ในขณะที่ทั้งสองเดินทางกลับ ก็เกิดเหตุร้ายขึ้นกับพวกเขาทำให้ก็เสียชีวิตลง โยมคนแรกนึกถึงบุญที่ตนเองทำวันนั้นตลอดเวลาตายแล้วจึงได้ไปเกิดบนสวรรค์ดังที่ตนปรารถนา ส่วนโยมอีกคนหนึ่งคิดกังวลว่าจะได้รับบุญหรือไม่ ใจเป็นทุกข์ตลอดเวลา อีกทั้งไปกล่าวหาว่าพระซึ่งท่านเป็นพระอรหันต์ว่าดูไม่เหมือนพระเลย เมื่อตายแล้วเขาจึงได้ไปอยู่รับกรรมในนรกแล้วค่อยไปสวรรค์ทีหลังรับผลบุญที่ทำนั้น
เรื่องนี้สื่อความหมายให้รู้ว่า.. การทำบุญเป็นเรื่องของจิตใจและเจตนา โยมต้องประคับประคองสภาพจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสไว้ให้ได้ตลอดสาย ทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังจากทำแล้ว จึงจะได้ผลบุญเต็มที่ หากมีอะไรมาทำให้จิตใจขุ่นมัวเศร้าหมองในระหว่างทำบุญก็จะทำให้ผลบุญลดน้อยลง แต่ถ้าทำใจให้แช่มชื่นเบิกบาน ทำด้วยความตั้งใจและเต็มใจ ไม่เสียดายในภายหลัง มีอะไรที่ติดขัดอันใดในระหว่างทำบุญก็แก้ไขไปด้วยจิตใจที่ปกติ ยิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนโยมที่ทำบุญกับพระปลอมทั้งที่ไม่รู้ว่าเป็นพระเลย แต่ทำด้วยจิตใจเลื่อมใสศรัทธาบริสุทธิ์ตั้งใจจริงเมื่อทำแล้วก็ย่อมได้ผลมากเหมือนกันไม่จำเป็นจะต้องทำกับพระอรหันต์ก็ได้ ดังนั้น ถ้าอยากได้บุญมากในการถวายทาน ก็ขอให้โยมจำไว้ว่า ก่อนให้มีใจยินดี ขณะให้มีใจเลื่อมใส หลังให้ก็มีใจเบิกบาน โยมก็จะได้บุญอย่างเต็มที่..นะโยม..นะ
-----------------------------------------------------------------------------------