ใจดวงนี้ยิ่งปฏิบัติธรรมเท่าไร ใจยิ่งไม่ยอมรับอะไรเป็นตัวตน เวลาทำสมาธิ จิตสงบนิ่งเด่นสว่างไสว ร่างกายตัวตนหายหมด เวทนาหายหมด ความคิดหายหมด เหลือแต่ผู้รู้ คือจิตที่สว่างไสว ตัวที่สว่างไสวมันเป็นธรรมชาติรู้ มันรู้อะไรสารพัดที่มันจะเป็นไปเอง มีสิ่งหนึ่งเกิด สิ่งหนึ่งดับ สิ่งหนึ่งเกิด สิ่งหนึ่งดับ ใจก็ได้แต่วางเฉยเป็นกลางไม่หวั่นไหว พอสมาธิเคลื่อนออกมากลับมามีความคิด มามีเวทนา มามีร่างกาย ใจมันก็วางเฉยเป็นกลาง เหมือนคนไม่มีหัวใจ จิตก็นิ่งเด่นสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา ทั้งเดิน ยืน นั่ง นอน จิตสว่างไสวผ่องใสเป็นแก้วตลอดเวลา ตัวที่สว่างผ่องใสมันมีสิ่งหนึ่งเกิด-ดับให้รู้เห็นเป็นบางครั้ง ถ้าใจกำหนดรู้กำหนดเห็นมันก็จะมีสิ่งหนึ่งมาให้รู้ให้เห็น ถ้าใจวางเฉยเป็นกลาง จิตที่สว่างไสวก็ได้แต่สว่างไสวผ่องใสเป็นแก้ว แล้วไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิด-ดับในตัวผ่องใสนั้น แต่บางครั้งมันก็มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิด-ดับขึ้นมาดื้อๆทั้งๆที่ใจไม่ได้กำหนดรู้ แล้วจิตสว่างไสวเป็นแก้วครอบคลุมโลกธาตุ ทลุปรุโปร่งทุกสรรพสิ่ง สิ่งที่ได้จากการรู้เห็นครั้งนั้น ใจไม่ยอมรับว่าร่างกายเป็นเรา ใจไม่ยอมรับว่าเวทนาเป็นเรา ใจไม่ยอมรับว่าความคิดเป็นเรา แต่ใจยังติดตัวที่มันสว่างไสวผ่องใสเป็นแก้ว ที่มันมีภูมิรู้ผุดขึ้นมาให้รู้ให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ตอนนั้นใจยังไม่เข้าใจ ใจก็ไปยึดถือตัวนี้เป็นสิ่งวิเศษไป รู้นรก รู้สววรค์ รู้พรหม มันรู้มันเห็นไปหมด มีความผ่องใสเป็นแก้วเห็นชัดด้วยใจ บางครั้งชัดมากๆจนตาก็มองเห็นชัดเจน สามารถมองเห็นด้วยตาเพราะมันชัดเจนมากๆ พอเห็นแบบนี้บ่อยๆ เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่เกิด-ดับภายในใจ ใจมันเริ่มเบื่อหนาย เบื่อหนายสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ภายในใจ ที่มันสว่างไสวเป็นแก้วใส พอเบื่อมากๆมันก็เข้าใจชัดว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาภายในใจ มันคือตัวภพ เมื่อเห็นว่ามันเป็นตัวภพ ใจก็ยอมรับว่ามันไม่ใช่ตัวตน มันจะเป็นตัวตนได้อย่างไร มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ให้ใจเห็นชัดๆเพียงนี้ ใจก็คลายความยึดมั่นถือมั่นในตัววิญญาณ วิญญาณก็คือตัวผ่องใส มันเป็นธรรมชาติรู้ ไปรู้อะไรต่ออะไรสารพัด จนใจเบื่อหนายเพราะรู้อะไร สิ่งที่รู้ก็เกิด-ดับ ใจจึงยอมรับความจริงว่าวิญญาณ คือธรรมชาติรู้ไม่ใช่ตัวตน ถึงมันจะผ่องใสเป็นแก้วสว่างไสวครอบโลกธาตุก็ตาม มันก็ยังเป็นสมมุติ พอใจยอมรับความจริงเช่นนี้ ใจก็ไม่ยอมรับว่าร่างกายเป็นตัวตน เวทนาก็ไม่ยอมรับว่าเป็นตัวตน ความคิดก็ไม่ยอมรับว่าเป็นตัวตน วิญญาณ(ธาตุรู้)ก็ไม่ยอมรับว่าเป็นตัวตน คราวนี้มันเลยมีคำถามออกมาจากใจว่า สิ่งที่หยาบร่างกายก็ไม่ใช่เรา สิ่งที่ละเอียดขึ้นมาอีกหน่อยคือเวทนาก็ไม่ใช่เรา สิ่งที่ละเอียดมากขึ้นมาอีกความคิดสังขารปรุงแต่งก็ไม่ใช่เรา แล้วสิ่งที่ละเอียดที่สุดวิญญาณ(ธาตุรู้)ก็ยังไม่ใช่เรา แล้วอะไรละ?ที่เป็นเรา สุดท้ายใจไม่ทุกข์เพราะไม่มีสิ่งใดให้ยึดมั่นว่าเป็นตัวตน จิตก็สว่างครอบโลกธาตุอยู่อย่างนั้น มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาปรากฏการณ์ให้รู้ให้เห็นอยู่ตลอดเวลา เรื่องนิพพานจึงเป็นเรื่องปัจจัตตังไปคือ รู้ได้เฉพาะตน
แสดงโดย 555
ทำไมใจไม่ยอมรับอะไรเป็นตัวตน?
แสดงโดย 555