นารา… เมืองน่ารักที่หลายคนอาจจะไม่ได้ไป



               สวัสดีค่ะ เป็นครั้งแรกที่ลองลงรีวิวประกอบภาพแบบเขียนเล่าเรื่องดู ความจริงฉันคิดว่า โอซาก้า เกียวโต โกเบ นารา น่าจะเป็นไฟลท์บังคับของคนที่จะไปเที่ยวญี่ปุ่นในฝั่งคันไซอยู่แล้ว แต่หลังจากที่ทริปญี่ปุ่นของฉันกับอีกทริปของคนที่บ้านดันมีเรื่องนึงที่เหมือนกันคือ… ด้วยเวลาที่กระชั้นชิด ทำให้พวกเราเกือบตัดสินใจจะไม่ไปเมืองนารา เพราะคิดว่า.. มันคงมีแค่ “กวาง”  

ถึงแม้ทั้งสองทริปนี้จะตัดสินใจเดินทางไปนารากันในนาทีสุดท้าย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าแล้วจะมีทริปของอีกซักกี่คน ที่คิดเหมือนกัน แล้วตัดสินใจที่จะ “ไม่ไป” ฉันเลยอยากเขียนเรื่องนี้ขึ้น เพื่อบอกว่า

“ทุกคน อย่ามองข้ามเมืองน่ารักๆ เมืองนี้นะ ”


                ในวันสุดท้าย ด้วยเวลาเที่ยวที่เหลือน้อยนิดในการเดินทางไปญี่ปุ่นของเรา ประกอบกับขาที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางในวันก่อนๆ ทำให้ฉันกับพี่เริ่มคิดหนักว่าพวกเราจะนั่งรถไฟไปเที่ยวนารา หรือจะเดินสบายๆ เล่นที่โอซาก้าต่อ ตอนนั้นได้แต่คิดกันว่า “ นารา… มันก็มีแค่กวางป๊ะ จริงๆไม่ไปก็ได้นะ” แต่สุดท้ายหลังจากโลเลไปมาหลายที พวกเราก็ตัดสินใจว่า “เออ ไปเหอะ… ไหนๆ ก็มาแล้ว” เห็นได้อย่างชัดเจนว่านี่เป็นเมืองที่เราให้ความสำคัญน้อยๆ รองจากเมืองดังอย่างโอซาก้า หรือเกียวโต

              ด้วยระยะทางนั่งรถไฟที่นานประมาณ 35 นาที ความประทับใจแรกของพวกเราถูกสร้างขึ้นด้วยภาพต่างๆ ขณะรถไฟแล่นออกไปยังชานเมือง

...เมื่อรถไฟวิ่งอยู่บนพื้นราบ เราเห็นทุ่งหญ้าสีเหลืองอ่อนๆบนฉากหลังของภูเขาที่เต็มไปด้วยสีสันจากต้นไม้เปลี่ยนสีของฤดูใบไม้ร่วง

....และเมื่อรถไฟวิ่งอยู่บนเขา เราเห็นภาพมุมสูงของตัวเมืองที่วุ่นวายที่เต็มไปด้วยตึกราบ้านช่องทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา

มันเป็นความแตกต่างสองแบบที่สวยงามเท่าๆกัน น่าเสียดายที่เราได้แต่มองมันจากระยะไกล และไม่ได้เก็บรูปมันกลับมา

        
          รถไฟพาพวกเรามาจอดที่สถานีหลังจากนั้น เราเดินเลียบไปตามถนนตามความช่วยเหลือของคุณป้าคนหนึ่งที่บอกทางให้ ถนนที่นี่รถน้อยกว่าที่โอซาก้าหรือเกียวโตมาก บนทางเท้าก็มีคนเดินกันอย่างบางตา



         ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวันธรรมดาหรืออะไร แต่ที่ทำให้เรารู้สึกได้คือ เวลาที่เมืองนี้เดินช้ากว่าที่อื่นมาก มันไม่ได้หมายถึงเข็มวินาทีที่เดินช้า แต่หมายถึงตัวเราที่เดินช้าลงต่างหาก

          ตอนอยู่โอซาก้าบางครั้งเราต้องรีบเดินและดูทางให้ดีไม่งั้นจะเกะกะคนข้างหลัง ตอนอยู่เกียวโตเราพบนักท่องเที่ยวมากมายที่ต่อคิวกันซื้อตั๋วและเดินเข้าสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ แต่ที่นาราไม่เหมือนที่อื่น เราเดินสวนกับคุณตาคุณยายหลายคนที่เดินสวมหมวกในชุดเสื้อคลุมตัวหนา บางคนก็ถือไม้เท้า บางคนก็เดินธรรมดาช้าๆ เมื่อประกอบกับอากาศเย็นนิดๆของฤดูใบไม้ร่วง และกวางสองสามตัวที่เริ่มโผล่มาให้เห็นข้างทางในเมืองนิ่งๆเมืองนี้แล้ว มันทำให้รู้สึกสงบ และใจเย็นลงอย่างบอกไม่ถูก



              เราเดินมาถึงสวนที่เต็มไปด้วยกวาง บางตัวก็นอน บางตัวก็ยืนให้คนถ่ายรูป มีนักท่องเที่ยวบางตายืนอยู่ในสวนนั่น ฉันเดินเข้าไปพยายามถ่ายรูปกวางตัวหนึ่ง
              
              “หนูเอ้ย มาซื้อเซมเบ้ให้กวางกินไหม” คุณป้าที่ขายของข้างทางตะโกนเรียกฉัน ที่นี่มีเซมเบ้ขายในราคา 150 เยน เป็นแผ่นแป้งกรอบบางๆที่เอาไว้ให้กวางกินได้ ฉันซื้อเซมเบ้ของคุณป้าและยื่นมันให้กวางตัวที่ฉันพยายามถ่ายรูปตัวเมื่อกี้ แต่ที่ฉันไม่รู้คือ...



เจ้ากวางตัวนี้เรื้อนกว่าที่คิด....


               หลังจากที่มันได้เซมเบ้จากฉันไปแผ่นนึง มันเดินตามฉันไม่หยุด ยิ่งฉันเดิน มันยิ่งเดินตาม ฉันต้องเสียเซมเบ้อีกสองสามแผ่นสังเวยให้ แต่นั่นก็ไม่ทำให้มันชะลอช้าลง จนฉันเดินหนีมันมาไกลจากบริเวณที่มันเคยอยู่มาก และบางทีมันอาจจะไกลเกินไปแล้ว กวางตัวนั้นจึงหยุดนิ่ง และมองฉันด้วยสายตาละห้อย แม้จะน่าสงสารนิดๆ แต่ก็ต้องตัดใจเดินทิ้งมันไป

              พวกเราเดินเข้าไปทางวัดใกล้ๆ ที่ชื่อวัด Kofukuji  มันเป็นทางเดินแคบๆ ที่มีบ้านเก่าๆ พร้อมกับกวางอีกสี่ห้าตัวอยู่ตรงนั้น กวางตรงนี้เรียบร้อยและเย่อหยิ่งกว่ากวางกลุ่มแรกมาก มันเดินช้าๆ มาหาเซมเบ้ที่ฉันยื่นให้ กินเสร็จก็เดินเชิดหนีไปดื้อๆ แต่กวางตัวน่ารักที่สงบเสงี่ยมและนอบน้อมก็มี  



             ในวัดวันนั้นคนน้อยจนพวกเราสามารถเดินเล่นได้อย่างสบายใจ น่าเสียดายที่ตอนนั้นบางส่วนกำลังอยู่ระหว่างการซ่อมแซม ฉันจึงยังไม่ได้เห็นความสวยงามของมันอย่างที่ควรจะเป็น แต่พวกเราก็ได้ซึมซับบรรยากาศรอบๆนั้นแทน ข้างๆศาลเจ้ามีร้านขายของที่ระลึกราคาไม่แพง ถัดไปอีกนิดเป็นร้านของวัดที่ขายเครื่องรางและแผ่นไม้ต่างๆ ที่เราซื้อไปเขียนขอพรและนำไปแขวนได้ บรรยากาศวัดที่เงียบสงบ คนไม่พลุกพล่านตอนนั้นทำให้ทุกอย่างดูขลังและศักดิ์สิทธิมาก มีกลิ่นควันธูปที่ซักคนเพิ่งปักไว้ในกระถางลอยจางๆ ดูเข้ากันทีเดียว



             ฉันลองไปซื้อแผ่นไม้มาเขียนคำขอพรและแขวนมันรวมกับแผ่นไม้อื่นๆตรงนั้น แอบแปลกใจนิดหน่อยที่แผ่นป้ายของฉันเป็นแผ่นเดียวในตอนนั้นที่มีข้อความเป็นภาษาไทย (แอบชอบข้อความภาษาอังกฤษอันข้างจัง)



          ความจริงพวกเราน่าจะเดินไปที่อื่นกันต่อ แต่ด้วยเวลาที่ไม่เอื้ออำนวย เราเดินย้อนกลับทางเดิมไปยังสถานีรถไฟ ลานหน้าสถานีมีคนเปิดหมวกเล่นดนตรีอยู่ มีคุณลุงคุณป้าสองคนยืนฟังอยู่ห่างๆ ข้างๆสถานีมีซอยเล็กๆที่สองข้างทางแวดล้อมไปด้วยร้านขนมญี่ปุ่นและร้านขายของที่ระลึกในราคาไม่สูงนัก พวกเราก็เดินเล่นในนั้นจนลืมเวลาเลยแหละ



           ขากลับจากเมืองนาราตอนนั้นจำได้ว่าในรถไฟมีแต่คนสูงอายุ คนในตู้ที่ฉันนั่งหากเอาอายุมารวมกันอาจจะได้ร่วมพันปี มันน่ารักตรงที่เราได้เห็นมิตรภาพและความผูกพันของผู้คนที่ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนด้วยกัน
           ในรถไฟที่กำลังรอเวลาออกเดินทาง คุณยายที่นั่งอยู่ก่อนทักทายคุณตาอีกคนที่เดินเข้ามาใหม่ คุณยายอีกกลุ่มนั่งคุยกันเสียงเบาๆอยู่อีกฝั่ง บรรยากาศที่ดูเชื่องช้าและน่ารักแบบนี้มันทำให้คนที่เคยอยู่แต่เมืองที่วุ่นวายแบบเราๆ รู้สึกผ่อนคลายได้ไม่น้อยเลยนะ
          
           ฉันไม่รู้ว่ามีใครอีกกี่คนที่เคยหรือกำลังจะพลาดโอกาสนี้ ความจริงฉันเองก็การันตีไม่ได้ว่านาราจะเป็นแบบนี้ทุกวันไหม แต่ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากให้ทุกคนลองดู และหากคุณโชคดีแบบฉัน มันจะเป็นอีกหนึ่งวันในแดนอาทิตย์อุทัยที่คุณไม่มีวันลืมเลยล่ะ

บ๊ายบายนารา...




ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ ยิ้ม
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่