สวัสดีค่ะ เรายืม log in เพื่อนมาเขียนนะคะ เราอยากมาแชร์เรื่องราวให้เพื่อนๆ เพราะเชื่อว่ามีหลายๆคนที่ไม่รู้ถึงจุดนี้เหมือนเรา
เรื่องเกิดขึ้นวันที่ 15 ธันวาที่ผ่านมาค่ะ เรากะลังจะเดินทางไปซิดนีย์ เที่ยวบินที่ TG475 พอดีเราทำงานอยู่ที่นั่น ซึ่งตามกำหนดเครื่องแล้วจะออกเวลา 17.50
พอมาถึงสนามบินปุ๊บ ก็ปกติค่ะ โหลดกระเป๋าที่เค้าเตอร์เช็คอินแล้วก็เดินเข้ามาด้านใน พอเดินผ่านมาถึง duty free บังเอิญนึกได้ว่าใกล้ปีใหม่แล้ว น่าจะซื้อของขวัญกลับไปฝากเพื่อนอินโดซะหน่อย ซึ่งใจเราอยากได้อะไรที่มีความเป็นไทยๆหน่อย เลยไปหยุดที่ร้าน OTOP เพราะเห็นว่ามีสินค้าหลายอย่างดีน่าจะมีของน่าสนใจ เดินๆดูไปซักพัก หันไปเห็นพวกผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เป็นแบรนด์ไทยค่ะ ก็คิดว่าเหมาะดี เพื่อนน่าจะชอบ เลยถามพนักงานขายว่ามีตัวไหนแนะนำบ้างมั้ย อยากได้แบบที่อยู่ในแพคเกจสวยๆ เพราะจะได้ให้เพื่อนได้เลย ไม่ต้องห่อของขวัญ พนักงานหยิบตัวมาให้ดูตัวนึง เป็นครีมมังคุด พนักงานบอกว่าสินค้าขิ้นนี้ขายดี ตัวของอยู่ในแพคเกจกล่องกลมๆ เราก็.. อืมๆน่ารักดี งั้นเอาอันนี้ละกัน ก็เดินหยิบไปจ่ายเงินกับแคชเชียร์ ทางพนักงานขอบอร์ดดิ้งพาสเราไปเพื่อนทำการคิดเงิน และจัดแจงแพคสินค้าใส่ถุงปิดผนึกให้อย่างดี เราก็ใช้บัตรเดบิตรูดไป เสร็จแล้วเราก็เดินไปที่เกทค่ะ ไฟล์ทเราจะออกเดินทางจากเกท G4 เป็นเกทสุดท้ายเลย ใช้เวลาเดินจากร้าน OTOP ประมาณ สิบกว่านาที พอมาถึงเกทเราก็นั่งรออยู่ด้านบนค่ะ ยังไม่ได้เดินลงไปด้านล่างเกท เพราะเห็นว่ายังไม่เรียกขึ้นเครื่อง แล้วคนที่นั่งอยู่ด้านล่างก็เยอะด้วย ขณะนั้นเวลาประมาน 17.10
ตอนนั้นคิดว่าเซฟๆ ไม่ได้ต้องการจะเข้าห้องน้ำอะไรด้วย เลยนั่งเล่นโทรศัพท์เรื่อยเปื่อยอยู่ด้านบน จนกระทั่งเห็นเค้าเริ่มเรียกขึ้นเครื่องเราก็เดินไปต่อแถวตรวจกระเป๋า (คือมันจะมีโต๊ะตั้งตรวจตอนก่อนลงไปที่เกทด้วย พอจะนึกออกมั้ยคะ) ตอนนั้นเวลาประมาณ 17.30 เราก็ส่งกระเป๋าให้พนักงานตรวจ ซึ่งพี่เค้าตรวจค่อนข้างละเอียดเลยเปิดดูของทุกอย่าง แล้วทีนี้เค้ามาหยุดที่ครีมที่เราเพิ่งซื้อมา พลิกดูขวดครีมไปมา ไอ้เราก็เริ่มใจไม่ดีละ ไม่แน่ใจว่าจะมีปัญหาอะไรรึเปล่า แต่คิดในใจว่าคงไม่มีอะไรหรอก ของจาก duty free นี่ ยังไม่ทันไรพี่เค้าก็พูดกับเราว่า น้องคะครีมนี่มันปริมาตร 300ml เอาขึ้นเครื่องไม่ได้นะคะ เราก็งงๆนะคะ ก็ตอบพี่เค้าไปว่าทราบค่ะว่าห้ามเอาของเหลวปริมาตรเกิน 100ml แต่อันนี้เราไม่ได้เอามาจากบ้าน เราซื้อที่ duty free ค่ะ พี่เค้าก็บอกเราว่าถ้าซื้อสินค้าใน duty free ที่ขนาดเกินที่กำหนด พนักงานขายจะต้องเป็นคนเดินถือของนั้นมาส่งถึงเกทค่ะ เราก็อ่าวววววยาวเลยทีนี้ ไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลย เราก็บอกพี่เค้าไปนะคะว่าตอนซื้อไม่เห็นมีพนักงานแจ้งอะไรให้เราทราบเลยนะคะ พี่พนักงานที่ตรวจกระเป๋าก็บอกว่า ปกติมีเคสแบบเราหลุดมาบ่อยมากๆ เดี๋ยวจะเรียกพนักงานที่ดูแลเรื่องสินค้า duty free มาให้คุยกับเรานะ เราก็โอเคๆ ยืนรอไป ซึ่งเวลาตอนนี้คือ 17.35 ละคะ เราก็เริ่มกังวลและ เพราะว่าจวนเวลาขึ้นเครื่องเต็มที
พอพนักงานของดิวตี้ฟรีมา เราก็ถามไปว่าสามารถทำไรได้บ้างให้เราได้เอาของขิ้นนี้ขึ้นเครื่องได้ เค้าบอกกับเราว่าทำได้ทางเดียวคือต้องเอาของชิ้นนี้พร้อมใบเสร็จไปวอยออก ทำเรื่องซื้อใหม่แล้วให้พนักงานเดินกลับมาส่งอีกที เราก็เห้ยยย มันจะไม่ทันเครื่องออกเอาสิคะ ระยะห่างระว่างร้านกับเกทก็ไม่ใช่น้อยๆ พนักงานก็ยืนยันกับเราว่าทันค่ะ เดี๋ยวจะวิ่งไปให้ ให้เราลงไปรอข้างล่างเกทเลย ไปแสดงตัวให้ทางสายการบินเห็นว่าเรามาถึงแล้ว เราก็ไม่รู้จะทำไง ซื้อของมาแล้วก็อยากได้ของอะนะ ก็เลยเดินลงไปรอด้านล่าง ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลา 17.43 แล้ว (ในใจก็ได้แต่คิดว่า พี่วิ่งเร็วๆหน่อย หนูไม่อยากตกเครื่องงง)
พอเราลงไปถึงก็ยื่นตั๋วให้พนักงานตรงเกท แล้วก็บอกเค้าว่าต้องรอแปบนึงนะคะ พอดีซื้อของมามีปัญหานิดหน่อย แล้วก็เล่าๆให้เค้าฟังว่าเรื่องไปไงมาไง (ซึ่ง ณ ตอนนั้นเราไม่ได้โกรธ หรือโมโหอะไรเลยนะคะ แค่คิดในใจว่าทำไมโชคไม่ดีเลย พนักงานขายก็น้าไม่บอกเราซักคำ คิดแค่นี้ค่ะ จุดนี้อารมณ์ยังไม่มานะคะยัง) เล่าไปได้ยังไม่ทันจบดี ก็มีมนุษย์ป้าซึ่งเป็นพนักงานของการบินไทยที่ยืนอยู่ตรงแถวนั้น หันมาพูดแทรกใส่หน้าเราด้วยน้ำเสียงกระแทก-ดันเบาๆว่า น้องคะเรื่องแบบนี้มันต้องรู้จักศึกษานะคะ จะซื้อของจะอะไรก็ต้องศึกษา
โอ้โห จุดนั้น เราเลยปรี๊ดสิคะ ปกติเราเดินทางมาหลายรอบ ก็ค่อนข้างระวังพอควร แต่เรื่องนี้เราคาดไม่ถึงจริงๆ เข้าใจว่าถ้าซื้อของมาจาก duty free ก็น่าจะเอาขึ้นเครื่องได้ ยกเว้นพวกบุหรี่ หรือ เหล้าซึ่งก็มีกำหนดปริมาณไว้ชัดเจน เราก็เลยแย้งกลับไปว่า แต่พนักงานขายก็ไม่มีใครบอกหนูเลยนะคะ แล้วหนูก็คิดว่าของที่ขายใน duty free เราก็น่าจะซื้อ เอาขึ้นเครื่องได้ทุกอย่าง มนุษย์ป้าผู้นั้นก็พูดย้ำใส่เราอีกว่า เรื่องแบบนี้ต้องศึกษาค่ะ เหมือนเราจะเดินทางไปประเทศไหนเราก็ควรจะต้องรู้ว่าต้องขอวีซ่ามั้ย ขั้นตอนเป็นยังไงก็เหมือนกัน โอ้โหเรายิ่งขึ้นเลย คือมันเหมือนกันยังไงคะป้า ชี้แจงค่ะชี้แจง ของวางขายถ้ามีกฎอะไรที่คนซื้อควรรู้ พนักงานขายก็ต้องเป็นคนแจ้งสิคะ แล้วมันเหมือนเรื่องขอวีซ่ายังไงหรอ ไม่เข้าใจ ตัวอย่างนี้ไม่ผ่านนะคะ พูดเลย มนุษย์ป้าก็ตอบกลับอีกว่าพนักงานขายเค้าก็แค่อยากขายอยากทำยอดก็แค่นั้น เรื่องแบบนี้เป็นหน้าที่เราต้องศึกษาเอง อ่าววววเห้ยยยยย สรุปนี่คือความผิดเราเหรอ ที่เราไม่รู้??????
จังหวะนั้นพนักงานคนที่ไปทำเรื่องให้ที่ OTOP วอมที่เกทพอดี เราก็เลยหยุดการเสวนากับมนุษย์ป้าแต่เพียงเท่านั้น แล้วหันมาสนเรื่องของแทน (คือทิ้งไว้นานกว่านี้นี่ คงแย่ค่ะ จุดนั้นนี่คือปรี๊ดมากจริงๆ บอกเลย) สรุปนคะพนักงานที่กลับไปทำเรื่อง วอมาบอกว่าทำเรื่องคืนเงินให้แล้ว แต่ไม่สามารถทำเรื่องใหม่เพื่อที่จะเอาของมาให้เราได้ ไม่งั้นไม่ทันเครื่องออกแน่ๆ ต้องขอโทษเราจริงๆ ซึ่งเวลาตอนนั้น ปาไป 17.57 แล้วค่ะ คือเราก็เข้าใจเค้านะ ว่ามันทำไม่ทัน เอาจริงๆเวลานั้นเครื่องควรปิดประตูไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ทั้งเครื่องคือต้องรอเราอยู่คนเดียว เราก็ไม่ได้โกรธหรือติดใจอะไรที่เค้าทำเรื่องคืนเงินเราโดยที่ไม่ได้วอมาถามเราอีกรอบว่าเราโอเคมั้ย เพราะเราคิดว่า ณ เวลากระชั้นชิดแบบนั้น ถ้าเราเป็นพนักงานคนนั้นเราก็คงจะตัดสินใจแบบนั้นเหมือนกัน เราก็โอเคๆได้ค่ะ ได้แต่เซ็ง ทำอะไรไม่ได้ เดินคอตกขึ้นเครื่องไปด้วยความอายเบาๆ คือจุดนั้นแอบสัมผัสได้ถึงสายตาเคืองๆของผู้โดยสารคนอื่นๆ ยัยนี่เล่นขึ้นมาซะช้าเชียว T.T (กราบขออภัยผู้โดยสารสายการบิน TG475 ทุกๆท่านนะคะที่ทำให้เสียเวลา หนูไม่ได้ตั้งใจจริงๆ)
คือเรื่องมันไม่ได้มีอะไรมากหรอกค่ะ แต่ความรู้สึกเราไม่โอเคกับมนุษย์ป้าพนักงานคนนั้นมากจริงๆ คืองงมากว่าจะซื้อของใน duty free นี่เราต้องทำการบ้านมาก่อนเลยหรอ อะไรซื้อได้ไม่ได้ มีเงื่อนไขยังไงบ้าง คือเราต้องรู้หมดเลยเหรอ บางเรื่องพนักงานก็ควรจะเป็นคนบอกเรามั้ย ยิ่งกฎอย่างนี้ที่ว่าพนักงานจะต้องเป็นคนเดินถือมาให้เราที่เกทเนี่ย พนักงานน่าจะรู้มั้ย คือเราต้องเดินไปถามเหรอ เห้อออ คิดแล้วก็งงค่ะ แล้วคือคุณป้าคะ เราเป็นลูกค้าคุณนะคะ พูดดีๆกับเราไม่ได้เหรอ คุณควรใช้น้ำเสียงหรือประโยคแบบนั้นพูดกับเราหรอ? นี่คือสิ่งที่เราติดใจเอามากๆ (ถึงกับนั่งหงุดหงิด อารมณ์ค้างมาถึงซิดนีย์เลย จะบ่นกับใครก็บ่นไม่ได้ ฮือออ) คือกับพนักงานร้าน OTOP, พนักงานตรวจกระเป๋า หรือพนักงานคนอื่นๆเราไม่ได้โกรธเค้าเลยนะคะ เพราะเค้าก็พูดดีกับเรา มีแต่ยัยป้าเนี่ยแหละ … ฮึ่ย พูดแล้วยังเคืองไม่หาย
ส่วนเรื่องซื้อของที่ปริมาตรเกินกำหนดมาขึ้นเครื่อง เราคิดว่าก็ไม่ได้มีใครผิดนะ คือร้าน OTOP ขายของเป็นร้อยๆอย่าง พนักงานก็คงไม่ได้จะมาจำได้ว่าสินค้าตัวไหนเกินปริมาตรที่กำหนดมั้ย หรือคนที่เป็นแคชเชียร์เราว่าเค้าก็ไม่ได้คิดอะว่าสินค้านั้นเป็นของเหลว หรืออะไร เค้าก็แค่ๆแสกนบาร์โค้ดไปตามหน้าที่เค้า คือมันอยู่ในแพคเกจอะ ถ้าไม่อ่านก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นครีม ส่วนตัวเราเองเราพูดจริงๆว่าเราไม่เอะใจกับประเด็นนี้เลย เพราะเราคิดแค่ว่าของอะไรที่อยู่ใน duty free ซื้อแล้วก็น่าจะเอาขึ้นเครื่องได้ ก็แค่นั้น
และจากประโยคที่พนักงานตรวจกระเป๋าพูดกับเราว่า เคสแบบนี้หลุดมาบ่อยมากๆ เราคิดว่าตัวคิงพาวเวอร์ต้องทำไรสักอย่างแล้วนะ จะติดป้ายเตือนจะประกาศเตือน หรือจะให้หน้าจอคอมขึ้นเตือนพนักงานแคชเชียร์เวลาสแกนบาร์โค้ดว่าอย่าลืมตรวจสอบสินค้าให้ลูกค้าว่าเป็นของเหลวที่มีปริมาตรเกินกำหนดหรือไม่ อะไรแบบนั้นดีมั้ย ดีกว่าต้องให้ลูกค้ามานั่งเสียเวลาเสียความรู้สึกแบบเรา
ขอบ่นแค่นี้แหละค่ะ ยาวหน่อยขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ บ่นเสร็จแล้ว โล่งแล้วค่ะ แหะๆ
***เพิ่มเติมเรื่องของ duty free ที่ความเห็น ที่ 8 นะคะ (ไปศึกษามาแล้ว แฮ่... ข้าไปหน่อย)
สรุปว่าพนักงานต้องเอามาส่งที่เกทนี่แค่กรณีเข้ามาประเทศออสเตรเลียเท่านั้นค่ะ ที่อื่นไม่ต้อง
http://www.kingpower.com/th/faqs/386#node-448
เอาเป็นว่าความรู้ใหม่เนอะ จะได้ไม่มีใครพลาดแบบเรา
แท็ก
เตือนภัย เพราะเป็นเรื่องที่คิดว่าหลายคนอาจจะไม่เอะใจ
แท็ก
สายการบิน เพราะเคืองยัยป้าการบินไทย
แท็ก
คนไทยในออสเตรเลีย เพราะเป็นเที่ยวบินมาซิดนีย์ (เกี่ยวมั้ยหว่า)
แท็ก
ร้องทุกข์, คุ้มครองผู้บริโภค เพราะรู้สึกว่าน่าจะมีมาตรการรับมือกับเคสแบบนี้ได้ดีกว่านี้
ปรี๊ดมาก พนักงานการบินไทยพูดไม่ดีใส่......ขอบ่นหน่อยเหอะค่ะ
เรื่องเกิดขึ้นวันที่ 15 ธันวาที่ผ่านมาค่ะ เรากะลังจะเดินทางไปซิดนีย์ เที่ยวบินที่ TG475 พอดีเราทำงานอยู่ที่นั่น ซึ่งตามกำหนดเครื่องแล้วจะออกเวลา 17.50
พอมาถึงสนามบินปุ๊บ ก็ปกติค่ะ โหลดกระเป๋าที่เค้าเตอร์เช็คอินแล้วก็เดินเข้ามาด้านใน พอเดินผ่านมาถึง duty free บังเอิญนึกได้ว่าใกล้ปีใหม่แล้ว น่าจะซื้อของขวัญกลับไปฝากเพื่อนอินโดซะหน่อย ซึ่งใจเราอยากได้อะไรที่มีความเป็นไทยๆหน่อย เลยไปหยุดที่ร้าน OTOP เพราะเห็นว่ามีสินค้าหลายอย่างดีน่าจะมีของน่าสนใจ เดินๆดูไปซักพัก หันไปเห็นพวกผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เป็นแบรนด์ไทยค่ะ ก็คิดว่าเหมาะดี เพื่อนน่าจะชอบ เลยถามพนักงานขายว่ามีตัวไหนแนะนำบ้างมั้ย อยากได้แบบที่อยู่ในแพคเกจสวยๆ เพราะจะได้ให้เพื่อนได้เลย ไม่ต้องห่อของขวัญ พนักงานหยิบตัวมาให้ดูตัวนึง เป็นครีมมังคุด พนักงานบอกว่าสินค้าขิ้นนี้ขายดี ตัวของอยู่ในแพคเกจกล่องกลมๆ เราก็.. อืมๆน่ารักดี งั้นเอาอันนี้ละกัน ก็เดินหยิบไปจ่ายเงินกับแคชเชียร์ ทางพนักงานขอบอร์ดดิ้งพาสเราไปเพื่อนทำการคิดเงิน และจัดแจงแพคสินค้าใส่ถุงปิดผนึกให้อย่างดี เราก็ใช้บัตรเดบิตรูดไป เสร็จแล้วเราก็เดินไปที่เกทค่ะ ไฟล์ทเราจะออกเดินทางจากเกท G4 เป็นเกทสุดท้ายเลย ใช้เวลาเดินจากร้าน OTOP ประมาณ สิบกว่านาที พอมาถึงเกทเราก็นั่งรออยู่ด้านบนค่ะ ยังไม่ได้เดินลงไปด้านล่างเกท เพราะเห็นว่ายังไม่เรียกขึ้นเครื่อง แล้วคนที่นั่งอยู่ด้านล่างก็เยอะด้วย ขณะนั้นเวลาประมาน 17.10
ตอนนั้นคิดว่าเซฟๆ ไม่ได้ต้องการจะเข้าห้องน้ำอะไรด้วย เลยนั่งเล่นโทรศัพท์เรื่อยเปื่อยอยู่ด้านบน จนกระทั่งเห็นเค้าเริ่มเรียกขึ้นเครื่องเราก็เดินไปต่อแถวตรวจกระเป๋า (คือมันจะมีโต๊ะตั้งตรวจตอนก่อนลงไปที่เกทด้วย พอจะนึกออกมั้ยคะ) ตอนนั้นเวลาประมาณ 17.30 เราก็ส่งกระเป๋าให้พนักงานตรวจ ซึ่งพี่เค้าตรวจค่อนข้างละเอียดเลยเปิดดูของทุกอย่าง แล้วทีนี้เค้ามาหยุดที่ครีมที่เราเพิ่งซื้อมา พลิกดูขวดครีมไปมา ไอ้เราก็เริ่มใจไม่ดีละ ไม่แน่ใจว่าจะมีปัญหาอะไรรึเปล่า แต่คิดในใจว่าคงไม่มีอะไรหรอก ของจาก duty free นี่ ยังไม่ทันไรพี่เค้าก็พูดกับเราว่า น้องคะครีมนี่มันปริมาตร 300ml เอาขึ้นเครื่องไม่ได้นะคะ เราก็งงๆนะคะ ก็ตอบพี่เค้าไปว่าทราบค่ะว่าห้ามเอาของเหลวปริมาตรเกิน 100ml แต่อันนี้เราไม่ได้เอามาจากบ้าน เราซื้อที่ duty free ค่ะ พี่เค้าก็บอกเราว่าถ้าซื้อสินค้าใน duty free ที่ขนาดเกินที่กำหนด พนักงานขายจะต้องเป็นคนเดินถือของนั้นมาส่งถึงเกทค่ะ เราก็อ่าวววววยาวเลยทีนี้ ไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลย เราก็บอกพี่เค้าไปนะคะว่าตอนซื้อไม่เห็นมีพนักงานแจ้งอะไรให้เราทราบเลยนะคะ พี่พนักงานที่ตรวจกระเป๋าก็บอกว่า ปกติมีเคสแบบเราหลุดมาบ่อยมากๆ เดี๋ยวจะเรียกพนักงานที่ดูแลเรื่องสินค้า duty free มาให้คุยกับเรานะ เราก็โอเคๆ ยืนรอไป ซึ่งเวลาตอนนี้คือ 17.35 ละคะ เราก็เริ่มกังวลและ เพราะว่าจวนเวลาขึ้นเครื่องเต็มที
พอพนักงานของดิวตี้ฟรีมา เราก็ถามไปว่าสามารถทำไรได้บ้างให้เราได้เอาของขิ้นนี้ขึ้นเครื่องได้ เค้าบอกกับเราว่าทำได้ทางเดียวคือต้องเอาของชิ้นนี้พร้อมใบเสร็จไปวอยออก ทำเรื่องซื้อใหม่แล้วให้พนักงานเดินกลับมาส่งอีกที เราก็เห้ยยย มันจะไม่ทันเครื่องออกเอาสิคะ ระยะห่างระว่างร้านกับเกทก็ไม่ใช่น้อยๆ พนักงานก็ยืนยันกับเราว่าทันค่ะ เดี๋ยวจะวิ่งไปให้ ให้เราลงไปรอข้างล่างเกทเลย ไปแสดงตัวให้ทางสายการบินเห็นว่าเรามาถึงแล้ว เราก็ไม่รู้จะทำไง ซื้อของมาแล้วก็อยากได้ของอะนะ ก็เลยเดินลงไปรอด้านล่าง ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลา 17.43 แล้ว (ในใจก็ได้แต่คิดว่า พี่วิ่งเร็วๆหน่อย หนูไม่อยากตกเครื่องงง)
พอเราลงไปถึงก็ยื่นตั๋วให้พนักงานตรงเกท แล้วก็บอกเค้าว่าต้องรอแปบนึงนะคะ พอดีซื้อของมามีปัญหานิดหน่อย แล้วก็เล่าๆให้เค้าฟังว่าเรื่องไปไงมาไง (ซึ่ง ณ ตอนนั้นเราไม่ได้โกรธ หรือโมโหอะไรเลยนะคะ แค่คิดในใจว่าทำไมโชคไม่ดีเลย พนักงานขายก็น้าไม่บอกเราซักคำ คิดแค่นี้ค่ะ จุดนี้อารมณ์ยังไม่มานะคะยัง) เล่าไปได้ยังไม่ทันจบดี ก็มีมนุษย์ป้าซึ่งเป็นพนักงานของการบินไทยที่ยืนอยู่ตรงแถวนั้น หันมาพูดแทรกใส่หน้าเราด้วยน้ำเสียงกระแทก-ดันเบาๆว่า น้องคะเรื่องแบบนี้มันต้องรู้จักศึกษานะคะ จะซื้อของจะอะไรก็ต้องศึกษา
โอ้โห จุดนั้น เราเลยปรี๊ดสิคะ ปกติเราเดินทางมาหลายรอบ ก็ค่อนข้างระวังพอควร แต่เรื่องนี้เราคาดไม่ถึงจริงๆ เข้าใจว่าถ้าซื้อของมาจาก duty free ก็น่าจะเอาขึ้นเครื่องได้ ยกเว้นพวกบุหรี่ หรือ เหล้าซึ่งก็มีกำหนดปริมาณไว้ชัดเจน เราก็เลยแย้งกลับไปว่า แต่พนักงานขายก็ไม่มีใครบอกหนูเลยนะคะ แล้วหนูก็คิดว่าของที่ขายใน duty free เราก็น่าจะซื้อ เอาขึ้นเครื่องได้ทุกอย่าง มนุษย์ป้าผู้นั้นก็พูดย้ำใส่เราอีกว่า เรื่องแบบนี้ต้องศึกษาค่ะ เหมือนเราจะเดินทางไปประเทศไหนเราก็ควรจะต้องรู้ว่าต้องขอวีซ่ามั้ย ขั้นตอนเป็นยังไงก็เหมือนกัน โอ้โหเรายิ่งขึ้นเลย คือมันเหมือนกันยังไงคะป้า ชี้แจงค่ะชี้แจง ของวางขายถ้ามีกฎอะไรที่คนซื้อควรรู้ พนักงานขายก็ต้องเป็นคนแจ้งสิคะ แล้วมันเหมือนเรื่องขอวีซ่ายังไงหรอ ไม่เข้าใจ ตัวอย่างนี้ไม่ผ่านนะคะ พูดเลย มนุษย์ป้าก็ตอบกลับอีกว่าพนักงานขายเค้าก็แค่อยากขายอยากทำยอดก็แค่นั้น เรื่องแบบนี้เป็นหน้าที่เราต้องศึกษาเอง อ่าววววเห้ยยยยย สรุปนี่คือความผิดเราเหรอ ที่เราไม่รู้??????
จังหวะนั้นพนักงานคนที่ไปทำเรื่องให้ที่ OTOP วอมที่เกทพอดี เราก็เลยหยุดการเสวนากับมนุษย์ป้าแต่เพียงเท่านั้น แล้วหันมาสนเรื่องของแทน (คือทิ้งไว้นานกว่านี้นี่ คงแย่ค่ะ จุดนั้นนี่คือปรี๊ดมากจริงๆ บอกเลย) สรุปนคะพนักงานที่กลับไปทำเรื่อง วอมาบอกว่าทำเรื่องคืนเงินให้แล้ว แต่ไม่สามารถทำเรื่องใหม่เพื่อที่จะเอาของมาให้เราได้ ไม่งั้นไม่ทันเครื่องออกแน่ๆ ต้องขอโทษเราจริงๆ ซึ่งเวลาตอนนั้น ปาไป 17.57 แล้วค่ะ คือเราก็เข้าใจเค้านะ ว่ามันทำไม่ทัน เอาจริงๆเวลานั้นเครื่องควรปิดประตูไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ทั้งเครื่องคือต้องรอเราอยู่คนเดียว เราก็ไม่ได้โกรธหรือติดใจอะไรที่เค้าทำเรื่องคืนเงินเราโดยที่ไม่ได้วอมาถามเราอีกรอบว่าเราโอเคมั้ย เพราะเราคิดว่า ณ เวลากระชั้นชิดแบบนั้น ถ้าเราเป็นพนักงานคนนั้นเราก็คงจะตัดสินใจแบบนั้นเหมือนกัน เราก็โอเคๆได้ค่ะ ได้แต่เซ็ง ทำอะไรไม่ได้ เดินคอตกขึ้นเครื่องไปด้วยความอายเบาๆ คือจุดนั้นแอบสัมผัสได้ถึงสายตาเคืองๆของผู้โดยสารคนอื่นๆ ยัยนี่เล่นขึ้นมาซะช้าเชียว T.T (กราบขออภัยผู้โดยสารสายการบิน TG475 ทุกๆท่านนะคะที่ทำให้เสียเวลา หนูไม่ได้ตั้งใจจริงๆ)
คือเรื่องมันไม่ได้มีอะไรมากหรอกค่ะ แต่ความรู้สึกเราไม่โอเคกับมนุษย์ป้าพนักงานคนนั้นมากจริงๆ คืองงมากว่าจะซื้อของใน duty free นี่เราต้องทำการบ้านมาก่อนเลยหรอ อะไรซื้อได้ไม่ได้ มีเงื่อนไขยังไงบ้าง คือเราต้องรู้หมดเลยเหรอ บางเรื่องพนักงานก็ควรจะเป็นคนบอกเรามั้ย ยิ่งกฎอย่างนี้ที่ว่าพนักงานจะต้องเป็นคนเดินถือมาให้เราที่เกทเนี่ย พนักงานน่าจะรู้มั้ย คือเราต้องเดินไปถามเหรอ เห้อออ คิดแล้วก็งงค่ะ แล้วคือคุณป้าคะ เราเป็นลูกค้าคุณนะคะ พูดดีๆกับเราไม่ได้เหรอ คุณควรใช้น้ำเสียงหรือประโยคแบบนั้นพูดกับเราหรอ? นี่คือสิ่งที่เราติดใจเอามากๆ (ถึงกับนั่งหงุดหงิด อารมณ์ค้างมาถึงซิดนีย์เลย จะบ่นกับใครก็บ่นไม่ได้ ฮือออ) คือกับพนักงานร้าน OTOP, พนักงานตรวจกระเป๋า หรือพนักงานคนอื่นๆเราไม่ได้โกรธเค้าเลยนะคะ เพราะเค้าก็พูดดีกับเรา มีแต่ยัยป้าเนี่ยแหละ … ฮึ่ย พูดแล้วยังเคืองไม่หาย
ส่วนเรื่องซื้อของที่ปริมาตรเกินกำหนดมาขึ้นเครื่อง เราคิดว่าก็ไม่ได้มีใครผิดนะ คือร้าน OTOP ขายของเป็นร้อยๆอย่าง พนักงานก็คงไม่ได้จะมาจำได้ว่าสินค้าตัวไหนเกินปริมาตรที่กำหนดมั้ย หรือคนที่เป็นแคชเชียร์เราว่าเค้าก็ไม่ได้คิดอะว่าสินค้านั้นเป็นของเหลว หรืออะไร เค้าก็แค่ๆแสกนบาร์โค้ดไปตามหน้าที่เค้า คือมันอยู่ในแพคเกจอะ ถ้าไม่อ่านก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นครีม ส่วนตัวเราเองเราพูดจริงๆว่าเราไม่เอะใจกับประเด็นนี้เลย เพราะเราคิดแค่ว่าของอะไรที่อยู่ใน duty free ซื้อแล้วก็น่าจะเอาขึ้นเครื่องได้ ก็แค่นั้น
และจากประโยคที่พนักงานตรวจกระเป๋าพูดกับเราว่า เคสแบบนี้หลุดมาบ่อยมากๆ เราคิดว่าตัวคิงพาวเวอร์ต้องทำไรสักอย่างแล้วนะ จะติดป้ายเตือนจะประกาศเตือน หรือจะให้หน้าจอคอมขึ้นเตือนพนักงานแคชเชียร์เวลาสแกนบาร์โค้ดว่าอย่าลืมตรวจสอบสินค้าให้ลูกค้าว่าเป็นของเหลวที่มีปริมาตรเกินกำหนดหรือไม่ อะไรแบบนั้นดีมั้ย ดีกว่าต้องให้ลูกค้ามานั่งเสียเวลาเสียความรู้สึกแบบเรา
ขอบ่นแค่นี้แหละค่ะ ยาวหน่อยขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ บ่นเสร็จแล้ว โล่งแล้วค่ะ แหะๆ
***เพิ่มเติมเรื่องของ duty free ที่ความเห็น ที่ 8 นะคะ (ไปศึกษามาแล้ว แฮ่... ข้าไปหน่อย)
สรุปว่าพนักงานต้องเอามาส่งที่เกทนี่แค่กรณีเข้ามาประเทศออสเตรเลียเท่านั้นค่ะ ที่อื่นไม่ต้อง
http://www.kingpower.com/th/faqs/386#node-448
เอาเป็นว่าความรู้ใหม่เนอะ จะได้ไม่มีใครพลาดแบบเรา
แท็ก เตือนภัย เพราะเป็นเรื่องที่คิดว่าหลายคนอาจจะไม่เอะใจ
แท็ก สายการบิน เพราะเคืองยัยป้าการบินไทย
แท็ก คนไทยในออสเตรเลีย เพราะเป็นเที่ยวบินมาซิดนีย์ (เกี่ยวมั้ยหว่า)
แท็ก ร้องทุกข์, คุ้มครองผู้บริโภค เพราะรู้สึกว่าน่าจะมีมาตรการรับมือกับเคสแบบนี้ได้ดีกว่านี้