ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นเรื่องเฉพาะของบุคคล



เรื่องนี้จะต้องตัดสินใจกันให้ดี  

1.เลี้ยงเพราะเมตตาเด็ก ให้เงินอุปการะเด็กจนโต แบบไม่ต้องเจอหน้ากัน แต่เด็กคนนั้นก็เติบโตและกินอยู่และเรียนหนังสือ ได้ด้วยเงินของคุณ
2.เลี้ยงเพราะอยากจะให้มีคนมาดูแลเราตอนแก่เฒ่า เพราะเราไม่มีลูก อันนี้คิดได้ครับ (ผมเองก็เคยคิดเหมือนกัน)

แม้ว่าคุณจะมีเงินทองมากมาย มากพอที่จะเลี้ยงเด็กคนนึงจนโต จนทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ แบบสบายๆก็ตาม
แต่กว่าที่เด็กคนนั้นจะโตพอที่จะอยู่รอดไ้ด้ด้วยตนเองนั้น ก็จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยประมาณถึง 20 ปี (กว่าจะจบปริญญาตรี)
ซึ่งกว่าเด็กคนนี้จะโตจนทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ คุณก็จะมีอายุ 40 + 20 = 60 ปีเข้าไปแล้ว (สมมติว่ารับเลี้ยงเด็กคนนั้นตอนอายุ 2 ขวบ)      

คนแ่ก่อายุ 60 ปี ที่มีโรคภัยไข้เจ็บเรื้อรังปรากฏอย่างชัดเจนแล้ว แล้วเพิ่งจะมาปลอดโปร่งไร้พันธะ
กับคนอายุ 40 ปี ที่เรี่ยวแรงและสติปัญญาและสุขภาพยังดีอยู่ แถมไร้พันธะ อย่างไหนจะปฏิบัติธรรมได้ดีสะดวกกว่ากัน?
(ลองสมมติดูว่าคุณเป็นคนอายุ 60 ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง จะนั่ง จะยืน จะเดิน จะนอน อึดอัดไปหมดทุกท่าทาง คุณจะมีอารมณ์ปฏิบัติธรรมหรือ?)

แต่ถ้าคุณจะเลี้ยงเด็กไว้ซักคนเพื่อความอุ่นใจในยามแก่เฒ่า ก็ไม่ได้ถือว่าผิดแปลกอันใด
แต่คุณก็จะต้องเตรียมตัวเตรียมใจเผื่อเอาไว้เลยว่า ปัญหาในการเลี้ยงดูแลเด็กจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน (อย่างน้อยๆก็ตลอด20ปีนั้น)
(และแม้ว่าเด็กคนนั้นจะโตจนเรียนจบแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะตัดละความห่วงใยที่มีต่อเขาได้อย่างสิ้นเชิง ยังงัยๆก็เป็นลูกของคุณ)
แต่ถ้าคุณรับไหว ก็ไม่เป็นไร อาจจะมีความสุขมากกว่าเดิมด้วย แต่ก็ต้องมีทุำกข์ตามมาด้วยแน่ คุณเลือกตัดสินใจเอาเอง

แต่สำหรับผม ผมเลือกไม่มีลูกดีกว่า เพราะผมหวังจะบรรลุธรรมในชาตินี้ในเพศฆราวาส อย่างเต็มที่    
การไปเสียเวลาเลี้ยงเด็กถึง 20 ปี ผมเอาเวลาและความมุ่งมั่นอันนี้ไปฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้มีฌานสมาธิ และบรรลุความเป็นพระอริยะเจ้าจะดีกว่า
(ผมเคยเจ็บป่วยเจียนตายติดต่อกันนานเป็นสิบปี เคยเฉียดตายเป็นร้อยๆครั้งในห้องนอนของตัวเอง และต้องดูแลพ่อที่มีโรคภัยไข้เจ็บมาก เห็นทุกข์มาก)
(ผมจึงไม่คิดว่าการมีอายุยืนยาวจนต้องใช้ไม้เท้าเดินเป็นของดี ควรจะรีบๆทำให้มันจบๆไปจะดีกว่า)
(อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะ คนอื่นอาจจะคิดไม่เหมือนกัน ก็ไม่ผิดอะไร แล้วแต่ชอบ เลือกเอาเองล่ะกัน)



คนที่ปฏิบัติธรรมเพื่อหวังจะบรรลุธรรมในชาตินี้จริงๆนั้น จะต้องมีอารมณ์เด็ดขาด ไม่ถอยหลัง ไม่เผื่อใจ ไม่กลัวความลำบาก ไม่กลัวความตาย

เพราะว่าจริงๆแล้ว ต่อให้คุณมีลูกแท้ๆหรือญาติพี่น้องมากมายมารายล้อมรอบตัวคุณ หรือรายล้อมรอบเตียงคุณเวลาคุณเจ็บป่วยเจียนตายก็ตาม
แต่จริงๆแล้วคนเหล่านั้น ก็ไม่สามารถที่จะแบ่งเบาความเจ็บปวดจากโรคภัยไข้เจ็บที่คุณมีอยู่ได้ ความแก่-ความเจ็บ-ความตาย เป็นเรื่องเฉพาะของบุคคล

(แม้ว่าคุณจะมีลูกหลานมาให้กำลังใจ มากอด-มาจับมือคุณแน่นสุดๆก็ตาม แต่ความจริงแล้วมีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอยู่บนเตียง)

(จริงๆแล้วเวลาเราเจ็บ เรารู้สึกเจ็บอยู่แต่เพียงผู้เดียว ความรู้สึกเจ็บปวดใดๆที่เกิดขึ้นภายในกายเรา มีแต่เราเท่านั้นที่รับรู้ได้แต่เพียงผู้เดียว)
(เราไม่สามารถที่จะเชื่อมต่อ หรือถ่ายเทความรู้สึกเจ็บปวดภายในกายของเรานี้ ออกไปให้ผู้อื่นรับรู้ เหมือนที่เรารับรู้ได้)
(หรือไม่มีผู้ใดที่จะสามารถช่วยแบ่งปันความรู้สึกเจ็บปวดภายในกายของเรานี้ ให้ลดทอนน้อยลงไปได้)
(ความรู้สึกเจ็บปวดทรมานจากร่างกายเรา เป็นเรื่องเฉพาะตัวที่มีแต่เราเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่รู้สึกได้ ไม่ว่าใครก็มาช่วยแบ่งปันให้มันลดลงไปไม่ได้)

แม้จะอยู่อย่างมีลูกหลานรายล้อมรอบตัว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีใครมาช่วยลดทอนความเจ็บปวดจากทุกขเวทนาที่จะเกิดขึ้นภายในกายของคุณได้
จะมีลูกหรือไม่มีลูกก็ตาม คุณก็จะเจ็บปวดทรมานอยู่คนเดียวภายในกายของคุณ ไร้ผู้ใดจะรู้สึกได้ตามคุณ
(ได้กำลังใจเล็กๆน้อยๆ ก็ช่วยอะไรไม่ได้)
(หรือจะพูดง่ายๆว่า ไม่ว่าคุณจะมีลูกหรือไม่มีลูกก็ตาม ทุกข์ภัยใหญ่จากการเกิดแ่ก่เจ็บตาย และเสี่ยงต่อการตกอบายภูมินั้น มันก็ยังไม่ได้หายไปไหนเลย)

ทุกข์ภัยใหญ่นี้ มันยังอยู่ครบถ้วน และมันก็จะเกิดขึ้นกับคุณแน่นอน
ไม่ว่าจะมีคนอยู่รอบตัวคุณมายมายเพียงใดก็ตาม แต่ความจริงแล้วไม่มีใครซักคน ที่ช่วยคุณได้เลย นอกจากตัวคุณเองเท่านั้น
  
(จะมานั่ง กอดลูก กอดสามี ช่วยอะไรไม่ได้เลย เพราะทั้งสามีและลูก ต่างก็มีทุกข์แบบเดียวกับคุณเป๊ะเลย ต่างช่วยอะไรกันไม่ได้ ต้องทำกันเอาเอง)
(ต่างคนต่างแก่ ต่างคนต่างเจ็บ ต่างคนต่างตาย ตายแล้วแยกวง แยกย้ายกันไป เจอกันเพียงชั่วคราว ใครไม่ดิ้นรนขวนขวาย ย่อมตกตายไปอบายภูมิ)



เพราะฉนั้น ถ้าคิดจะบรรลุธรรมในชาตินี้ในเพศฆราวาส และไม่มีลูก คุณก็ควรจะต้องมีอารมณ์เข้มแข็งเด็ดขาด วางเดิมพันด้วยชีวิตของคุณเองไปเลย

คุณจะต้องเร่งความเพียรเพื่อหนีทุกขเวทนาไปให้พ้นโดยเร็วที่สุดเท่านั้น
โดยการมีฌานสมาธิให้กับตนเอง เพื่อที่จะสามารถหลบทุกขเวทนาความเจ็บปวดได้ เป็นเครื่องอุ่นใจไว้ก่อน
  
(ยิ่งเข้าฌานได้ลึกมากเท่าไร ความรู้สึกเจ็บปวดทางกายก็จะน้อยลงๆ ตามความลึกของฌานสมาธิที่เข้าได้)
(แค่เข้าปฐมฌานได้ ความรู้สึกเจ็บปวดเบาๆทางกายก็แทบจะหายไปหมดสิ้นแล้ว)
(ที่หลวงปู่-หลวงตา อยู่ได้เป็นร้อยๆปี ทั้งๆที่มีโรคภัยไข้เจ็บมารุมเร้ามากมาย ก็อาจจะเป็นเพราะว่าท่านทรงฌานอยู่ตลอดเวลา)



ถ้าสามารถเข้าฌาน4ได้ จิตกับกายแยกจากกันเด็ดขาด ใครจะเอาเราไปผ่าตัดเปิดกระโหลก หรือว่าเอาเราไปเผาไฟ เราไม่เจ็บ เราไม่ร้อน เราไม่กลัว

ความกลัวว่าตัวเองจะต้องอ้างว้างเจ็บปวดจากโรคภัยไข้เจ็บและทุกขเวทนาที่จะเกิดขึ้น ก็จะน้อยลงไปๆ ตามความมั่นใจในฌานสมาธิที่คุณมี
เพราะฉนั้นมันมีทางออกอยู่สำหรับฆราวาสที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวในยามแก่เฒ่า ก็คือการมีฌานสมาธิ เพื่อระงับทุกขเวทนาที่จะเกิดขึ้น
(จะอยู่คนเดียวหรือไม่อยู่คนเดียวก็ตาม ก็ควรจะมีฌานสมาธิเอาไว้ทุกคน เพราะว่ายังงัยๆทุกๆคนก็จะต้องแก่ จะต้องมีโรคภัยไข้เจ็บ และจะต้องตาย)
โดยการเป็นผู้ทรงฌานที่สามารถกำหนดการเข้าฌานได้ดังใจ  

และคนที่สามารถเข้าฌาน4ได้ จะสามารถอธิษฐานจิตไม่เข้าร่างตัวเองได้ เพื่อหนีเวทนาความเจ็บปวดได้ (พอร่างกายตายไป ก็จะไปเกิดในชั้นพรหม)
และถ้าตอนก่อนที่จะตาย จิตตัดละร่างกายได้เด็ดขาด จิตจับพระนิพพานได้มั่นคง ก็เข้านิพพานไปเลย

แต่ถ้าคุณบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี คุณก็จะสามารถปิดอบายภูมิได้ ไม่ต้องตกอบายภูมิเป็น สัตว์นรก,เปรต,อสุรกาย,สัตว์เดรัจฉาน
และจะเกิดอีกไม่เกิน7ชาติเท่านั้น ระหว่างเทวโลก และมนุษย์โลก (ไม่เกิน7ชาติ ก็จะเข้านิพพาน)

แต่ถ้าคุณบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี คุณก็จะไปเกิดในชั้นพรหม บำเพ็ญเพียรอยู่บนนั้น ไม่ลงมาเกิดอีก จนเข้านิพพาน

แต่ถ้าคุณบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในเพศฆราวาสในขณะที่ยังมีชีวิต คุณก็จะอยู่ได้แค่เพียงวันเดียวเท่านั้น (สะดวกทันใจดีมาก)  
(แต่ถ้าต้องการจะอยู่ต่อ ก็จะต้องบวชเป็นพระสงฆ์ จะอยู่ได้จนครบอายุขัยของตนเอง แต่ถ้าไม่บวชก็จะอยู่ได้แค่เพียงวันเดียวเท่านั้น)
เพราะว่าร่างกายของคนธรรมดาๆ ไม่สามารถที่จะรองรับคุณวิเศษของความเป็นอรหันต์ได้  
เมื่อบรรลุธรรมจบกิจแล้ว กิจที่จะทำต่อจึงไม่มี ก็จะมีเหตุให้ต้องตายภายในวันนั้น (กรรมจัดสรร)


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ศาสนาพุทธ มหาสติปัฏฐาน 4 พระไตรปิฎก ปฏิบัติธรรม
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่