TOEIC 900+ สอบครั้งแรกได้เลย ไม่เคยไปติวเพื่อเตรียมสอบ

การสมัครงานหรือการเลื่อนตำแหน่งในบริษัทใหญ่ (หรือแม้แต่จะไปทำงานต่างประเทศ) ทุกวันนี้คะแนน TOEIC อย่างน้อย 600+ แทบจะเป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐานที่ทุกบริษัทต้องการ

หลังจากเรียนจบผมก็ได้ไปสอบ TOEIC เพื่อลองดูว่าจะได้คะแนนประมาณเท่าไหร่ พร้อมที่จะไปสอบ TOEFL มั้ย เพราะถ้าได้คะแนน TOEIC ต่ำกว่า 800+ ก็ say good bye to TOEFL ไปเลย เสียเงินสมัครสอบทิ้งแน่ๆ และสรุปว่าคะแนน TOEIC ที่ออกมาได้ 930/990 โดยไม่เคยไปเรียนสถาบันภาษาต่างๆ หรือ รร กวดวิชาเลย (เคยกวดวิชาตั้งแต่สมัย ม.6 เพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยแค่นั้น)  การสอบ TOEIC และ TOEFL iBT (ได้คะแนน TOEFL iBT 101/120 จะมาเล่าเทคนิคและประสบการณ์ในกระทู้ถัดไป) ใช้การอ่านหนังสือและเตรียมสอบด้วยตัวเองทั้งหมด



ก่อนอื่นเราต้องทำความรู้จักกับข้อสอบ TOEIC กันก่อนว่า TOEIC แบ่งออกเป็น 2 Parts ใหญ่ๆ คือ Listening กับ Reading

ในส่วนของ listening มีต้องแต่อย่างง่ายๆ เช่นเลือกคำบรรยายให้ตรงกับรูปภาพ และ บทสนทนาสั้นๆ ที่ฟังและตอบคำถามข้อต่อข้อ, และกลางๆ คือ บทสนทนาที่ยาวขึ้นมาหน่อย ฟัง 1 dialog ตอบ 2-3 ข้อ, และยาก สำหรับ TOEIC คือบทสนทนายาวๆ อาจจะเป็นการคุยปัญหาทางโทรศัพท์ การฟังการประชุม หรือหัวหน้าสั่งงานลูกน้อง แล้วมาตอบคำถามทีเกียว 4-5 ข้อ

ในส่วนของ Reading ก็มีทั้งวัด Vocabulary ให้หา synonym (คำที่มีคำแปลคล้ายกัน)  วัด Reading comprehension เช่น อ่านข้อความโฆษณาสั้นๆ และตอบคำถาม ไปจนถึงอ่าน articles ยาวๆ และตาบคำถาม และวัด grammar&writing skills ด้วยข้อสอบ cloze test ที่เติมคำในช่องว่าง หรือ error identification (การหาคำที่ผิดในประโยค)

มีหลายคนอาจจะคิดว่า "ใช่สิ๊ (แบบเสียงสูงมากกกกกกก) แกมันพื้นฐานดีอยู่แล้วหนิ เก่งอยู่แล้วหนิ เทพมาก่อนอยู่แล้วหนิ ไปสอบก็ต้องได้คะแนนเยอะอยู่แล้ว ชั้นไม่ได้เก่ง ไม่ได้เทพ แบบแก ชั้นทำไม่ได้หรอก บลา บลา บลา"

ขออนุญาตบอกเลยครับว่า ผมไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษมาก่อนเลยครับ จริงๆ สาบานเลย  มา speed up จริงๆ ตอน ม.5 ก่อนเข้ามหา'ลัย  แต่นั้นก็ได้แค่ vocab reading และ  grammar [อันนี้ต้องกราบขอบพระคุณ J.K. Rowling ผู้แต่ง Harry Potter ที่ทำให้ผมอยากเก่งภาษาอังกฤษ และ ครูพี่แนน แห่ง Enconcept สถาบันกวดวิชาภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ที่ทำให้ผมหลงรักภาษาอังกฤษ... แต่เป็นอีกเรื่องนึง เมื่อมีเวลาจะมาเขียนเล่าให้ฟังครับว่า "จากสามเณรที่บวชเรียน 6 ปี สู่การเป็นศิลปศาสตร์บัณฑิต (สาขาภาษาอังกฤษธุรกิจ) เกียรตินิยมอันดับ 1 ของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และยังได้รับทุนการศึกษาแบบเต็มจำนวนจากสถานทูตสหรัฐอเมริกาไปเรียนที่อเมริกาฟรีทุกอย่าง เน้นว่าฟรีทุกอย่างๆ จริงๆ รัฐบาลอเมริกาออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดไม่ว่าจะ ค่าเรียน ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่า visa ทุกอย่างทุน covered หมด ได้อย่างไร"]  แต่ทักษะ listening, speaking, และ writing นี่อย่างห่วยเลย ห่วยแบบฟังอาจารย์ที่เป็น Native Speaker ในมหา'ลัยไม่รู้เรื่องเลยสักคำ จริงๆ ครับ

ผมลองผิดลองถูกอยู่หลายวิธี โดยเฉพาะการเอาชนะ Listening Skills เพราะตอนเข้าเรียนในมหา'ลัย ผมฟังอาจารย์ชาวต่างชาติไม่รู้เรื่องเลย (แล้วดันเรียนเอกภาษาอังกฤษธุรกิจ คิดดูครับว่ามันเป็นปัญหาโลกแตกขนาดไหนที่ฟังสิ่งที่อาจารย์สอนไม่รู้เรื่อง) ใครแนะนำยังไง บอกวิธีไหนดี ผมลองหมดทุกอย่าง... จนผมพบว่าการใช้วิธีเหล่านี่ที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังมันทำให้ทักษะการฟังและทักษะอื่นๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ เลยอยากจะเอามาเล่าต่อ เพื่อให้คนที่กำลังพยายามพัฒนาตนเองได้เอาไปใช้เป็นแนวทางครับ

คนเรามีต้นทุนมาไม่เท่ากัน บางคนเกิดในครอบครับที่มีฐานะ ได้เรียนโรงเรียนดีๆ มีครูอาจารย์เก่งๆ และได้เรียนภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศจากเจ้าของภาษาโดยตรงตั้งแต่เด็ก ถือว่าคุณโชคดีมาก แต่ในขณะที่อีกหลายๆ คนไม่ได้โชคดีแบบนั้น (รวมถึงผมด้วย)  ดังนั้นการจะไปเรียนพิเศษในสถาบันภาษาที่ดีๆ แพงๆ มันก็เป็นการเบียดเบียนครอบครัวเกินไป (คอร์สนึงมีตั้งแต่หลายพันไปจนถึงหลายหมื่น) เราก็ต้องดิ้นรนค้นหาวิธีเอาชนะมันด้วยตัวเราเอง ผมอยากจะขอเป็นกำลังให้ครับว่าถ้าเราไม่ยอมแพ้ สักวันเราชนะแน่นอน และวิธีที่ผมกำลังนำเสนอนี้จะทำให้คุณแทบไม่ต้องเสียเงินสักบาทเดียวในการเตรียมตัวสอบและเก่งภาษากฤษ ขอแค่โทรศัพท์ของคุณหรือคอมฯที่บ้านของคุณสามารถใช้ the Internet ได้ มันเป็นแหล่งที่มีประโยชน์สุดๆ แล้วสำหรับคนอยากเก่งภาษาอังกฤษครับ

อ่านเทคทิคที่ 1 ที่ ความเห็นที่ 5 นะครับ ^^
เทคทิคที่ 2 อยู่ที่ ความเห็นที่ 39 ครับ
เทคนิคที่ 3 อยู่ที่ ความเห็นที่ 99 (ข้อแนะนำสุดท้ายของการเตรียมสอบ TOEIC: Listening Part ครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่