มาเลือกหุ้นเข้าพอร์ตกันครับ - หุ้น BEAUTY ความงามที่โดดเด่น

เกริ่นนำ โปรยเรื่อง (อ่านข้ามได้ครับ)

ผมเป็นผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มที่เกรงใจภรรยา (เป็นพิเศษ) คือต้องคอยเอาใจภรรยา เพราะชีวิตผมในต่างแดนกว่าสิบสองปี ก็มีอยู่กันแค่สามคนผม ภรรยา และลูก สิ่งหนึ่งที่ผมจะทำให้ภรรยาผมมีความสุข คือ การได้เดินซื้อเครื่องสำอาง ซึ่งจะคอยให้คำวิจารณ์ว่าลิปสติกสีสวยไหม อายชาโดว์ เหมาะไหม ผมทำมาตั้งแต่จีบกัน ถึงตอนนี้แม้จะไม่เคยใช้ลิปสติก หรือายชาโดว์ ผมก็มีความรู้ความเข้าใจสินค้าเครื่องสำอางพอสมควร เพราะภรรยาเปิดดูแต่ยูทูปของกูรูชื่อดัง อย่างคุณโมเม แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมไม่เข้าใจเหตุใดผู้หญิง ถึงยอมจ่ายเงินจำนวนไม่น้อยเพื่อความสวยความงาม

ผมเคยคุยกันบนโต๊ะอาหารเรื่องนี้ ลูกชายบอกผมว่า "บางทีผู้ชายก็ไม่ต้องเข้าใจผู้หญิง เพราะผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้ชายไม่ค่อยมีความรู้สึก ไม่มีอีโมชั่น" ก็อย่างนี้แหละครับ  เพราะความมีอีโมชั่นของผู้หญิง ทำให้สินค้าที่ขายให้ผู้หญิงมักจะขายได้ดีกว่าสินค้าผู้ชาย ผมสังเกตุว่าในห้างสรรพสินค้าไม่ว่าประเทศไหนๆ มักจะมีจำนวนชั้นในอาคารที่ขายสินค้าให้ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

สิ่งนี้ทำให้เป็นจุดสนใจ ที่จะลองหาหุ้นในบริษัท ที่ขายเครื่องสำอางกับเขาบ้าง ซึ่งภรรยาผม เมื่อทราบว่าผมจะซื้อหุ้นบริษัทเครื่องสำอาง เขาก็แซวผมว่าเขาก็ไม่เข้าใจผู้ชายเหมือนกัน ทำไมชอบเล่นหุ้น วันๆ มัวแต่นั่งมองกราฟ ดูตัวเลขทั้งวัน เงินที่เสียไปในหุ้นไม่ได้ประโยชน์อะไร ลูกชายผมที่แสนดีได้ดีก็ช่วยแก้ตัวให้ บอกแม่ว่า "อย่าถือสาพ่อเลย บางทีก็ไม่ต้องเข้าใจพ่อ เพราะพ่อเป็นเอเลี่ยน" 555 ว่ากันไป

และสิ่งที่ภรรยาผมว่าไวัก็เป็นจริง เพราะหุ้นในบริษัทฮ่องกง Sasa International ที่ผมซื้อไว้ราคาตกต้องคัสลอสออกมา คือจังหวะไม่ดี เพราะในปีที่แล้ว คนฮ่องกงต่อต้านคนจีน ทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนไม่ไปเที่ยวฮ่องกง หันมาเที่ยวประเทศไทยแทน ประเด็นมันอยู่ที่ว่านักท่องเที่ยวชาวจีน เป็นนักช๊อบตัวฉกาจ แถมปริมาณการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว ติดอันดับสองของโลก รองจากประเทศอเมริกา แต่ทั้งนี้นำเข้าสินค้าของประเทศจีนสูงมาก สินค้าประเภทนี้ของจีนไม่ค่อยน่าไว้ใจเพราะของปลอมมีมาก คราวนี่คนจีนท่องเที่ยวไม่ซื้อในฮ่องกงก็หัน มาซื้อในไทยแทน

เจ็บแล้วต้องจำ เพื่อเติบโตเป็นเม่าปีกแข็ง

หลังจากการคัทลอสหุ้น Sasa ไปนาน ช่วงนี้หุ้นตลาดไทยตกหนัก  ผมก็เลยมาเริ่มค้นหาข้อมูลเพื่อหาหุ้นเข้าพอร์ต โดยสนใจหุ้นธุรกิจนี้ และเพื่อไม่ให้ตัวเองตกเป็นเม่าปฐมวัย (อยากเป็นวีไอแต่อ่านข้อมูลแค่แว๊ปเดียว) คราวนี้ผมใช้เวลานานเป็นพิเศษ หาข้อมูลมาหลายวัน พอเจอข้อมูล ถึงกับเงิบไปชั่วขณะ เพราะความงามที่แทัจริงอยู่ในเมืองไทยนี่เอง (ไม่ได้หมายถึงว่าผมจะมีกิ๊ก) ผมหมายถึง ประเทศไทยมีบริษัทขายเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว แห่งหนึ่ง ที่มีธุรกิจที่สำเร็จอย่างมาก มีชื่อว่า บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่ง มีซีอีโอ ชื่อ นพ.สุวิน ไกรภูเบศ

เกณฑ์การเลือกหาหุ้นเข้าพอร์ตครั้งนี้ ผมหาหุ้นที่เติบโตเร็ว มีเงื่อนไขคือต้องเป็นบริษัทที่มีอัตราการเติบโตของธุรกิจที่ดีมีเงินหมุนเวียนไม่เป็นหนี้บักโกรก มีหนี้ต่ำ (D/E) ต่ำกว่า 1 มี ROE สูงกว่า 20 ให้ปันผล และมี P/E ที่เหมาะสม นับว่าผมเรื่องเยอะพอสมควร

เคล็ดลับที่ประสบความสำเหร็จในระยะเวลาที่ผ่านมาในการเล่นหุ้นหลายตัว แต่ไม่ทุกตัว คือการศึกษาภาพรวมทั้งมหภาพ และจุลภาพ หาจุดเด่นว่าบริษัทที่มีการเจริญเติบโตมีข้อเด่นและด้อยอย่างไรตามธุรกิจในแนวบลูโอเชี่ยน ดังจะนำเสนอท่าน เพื่อรับทราบแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ กับเพื่อนในพันทิป มีดังต่อไปนี้

ภาพรวมของธุรกิจเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในระดับโลก

ภาพรวมธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง (Cosmatic) และบำรุงผิว (Personal Care) นับได้ว่ามีการเจริญเติบโตอย่างสูง มียอดขายรวมกันหลายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปี โดยประเทศสหรัฐมีการใช้ผลิตภัณฑ์นี้มาเป็นอันดับที่ 1 รองลงมาคือประเทศจีน โดยเฉพาะประเทศจีนช่วงหลังมีการเติบโตของผลิตภัณฑ์นี้สูงมาก เพราะมีชนชั้นกลางและประชากรเมืองที่มีมากกว่า 630 ล้านคน.

แต่อย่างไรก็ตามธุรกิจนี้ก็มีการแข่งขันกันอย่างสูง แย่งกันขาย โดยมีบริษัทใหญ่ระดับโลกอย่าง Procter & Gamble (มียอดขายประมาณ 26 พันล่านเหรียญสหรัฐ) เป็นผู้นำตลาด ตามมาด้วย L'Oreal (ยอดขายใกล้เคียงกัน) และในเอเชียก็มีบริษัทญี่ปุ่น Shesido ตามาอันดับที่ 7 (ยอดขาย 6.9 พันล้านเหรียญ หรือประมาณ 245 พันล้านบาท เหนือกว่า บริษัทบิวตี้อยู่ เท่าตัวกว่าๆ  เท่านั้นเอง)

ธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และบำรุงผิวในประเทศไทย

ปัจจุบันประเทศไทยมีมูลค่าการค้าขายผลิตภัณฑ์นี้ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท โดย 2 หมื่นล้านบาท หรือ 50% เป็นการขายตรง อีก 1.2 หมื่นล้านจากเคาเตอร์ ที่เหลือเป็นการขายในโมเดิลเทรด จึงเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงมาก อาจจะเป็นเพราะเป็นประเทศไทยมีภูมิอากาศแบบเมืองร้อนชื้น แสงแดดจ้า ประกอบกับวัฒนธรรมของสุภาพสตรีไทย ต้องการปกป้องผิวจากแสงแดด ผมว่าลองถามคุณผู้หญิงจากห้องเครื่องแป้งในพันทิป ดูได้ หากมีใครมาทักว่า หน้าดำหรือหน้ามัน คงจะมีความรู้สึกที่ไม่ดี และการที่สังคมเมืองขยายตัวออกไปจำนวนมาก ทำให้สุภาพสตรีต้องทำงานในสำนักงาน และนักศึกษามีการแต่งหน้า ใช้ครีมบำรุงมากขึ้น

ประเทศไทยมีดีเอ็นเอในเรื่องความงามอยู่ในตัว เหล่าดารา นักร้อง ภาพยนต์หลายเรื่องมีความนิยมในประเทศเพื่อนบ้าน และการที่ประเทศไทยขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก โดยเฉพาะคนจีนที่เข้ามาเที่ยวจับจ่ายใช้สอย เพื่อได้สิทธิในการลดหย่อนภาษี จึงเป็นเหตุผลให้เรามีศักยภาพในการเป็นผู้นำในการขยายธุรกิจทางด้านนี้ หากได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐอย่างจริงจรัง

ธุรกิจบลูโอเชี่ยน

การเลือกหุ้นเติบโต ผมชอบศึกษาธุรกิจโมเดล ว่าทำอย่างไรให้ตัวเองเป็นผู้นำ แบบไม่ต้องเหนื่อยมากโดยเฉพาะบริษัท บิวตี้ ผมว่าเขาเข้าตำราบลูโอเชี่ยน คือฉีกตัวเองออกจากคู่แข่ง มายืนในที่ที่เหมาะสม ซึ่งในภาพรวมนอกจากเรื่องราคาที่ถูกกว่าแบรนด์ต่างประเทศประมาณ 35% แต่ให้บริการเหมือนกับเคาเตอร์ที่ขายสินค้าแบรนด์ต่างประเทศ โดยให้ลูกค้าลองสินค้าได้ มีเครื่องปรุงสร้างเมนู เปรียบเสมือนร้านอาหาร ทำอะไรให้มันกุ๊กกิ๊กๆ มีกิมมิกของตัวเอง และสร้างความภักดีในแบรนด์ โดยการสร้างสินค้าแบรนด์ของตนเอง

บิวตี้มีร้าน 300 กว่าแห่ง โดยมีร้านชื่อว่า Beauty Buffet ที่มีร้านค้าตั้งอยู่ถึง 200 กว่าแห่ง ในห้างสรรพสินค้า อย่างเทสโก้โลตัส เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักศึกษาได้โดยตรง และสร้างยอดขายประมาณครึ่งหนึ่งของธุรกิจ ผู้ซื้อมีกำลังทรัพย์มากหน่อย เช่นคนทำงาน หรือนักศึกษาที่จบงานมีรายได้มากขึ้น ก็สามารถเข้าร้าน ที่ชื่อว่า Beauty Cottage ลูกค้าท่านใดหากต้องการซื้อสินค้าแบรนด์เนมจากต่างประเทศ ก็เข้าร้านที่เรียกว่า Beauty Market ที่ตอนนี้มีอยู่ 10 กว่าร้าน ซึ่งดีมีไม่มาก เพราะลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และค่าเงินดอลล่าห์ที่แข็งขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้ขาดทุนได้

นอกจากบริษัทยังมีสินค้าธรรมชาติ เรียก Made in Nature  เหมือนร้าน The Body Shop, Locitan รวมไปถึงลูกค้าที่คุ้นเคยกับสินค้า หรือต้องการสั่งสินค้าทางอินเตอร์เนตก็ทำได้ หรือจะเดินเข้า 7-11 ใกล้บ้านก็ทำได้อีก

การสร้างช่องทางการขยายสินค้า รวมถึงออกไปต่างประเทศหลายแห่งทั้ง ลาว เวียดนาม พม่า และการมีสินค้าหลากหลาย ช่วยทำให้บริษัทมีการขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ช่วยทำให้มีโคโนมิกส์ออฟเสกลทีดี คือมีการลงทุนการตลาดที่ทำขึ้นมาแล้วใช้ได้ครอบคลุม ตรงนี้ได้เปรียบอย่างมากในการแข่งขันกลับแบรนด์สินค้ายี่ห้ออื่นๆ และทำให้เบียดแทรกแย่งสัดส่วนการตลาดอย่างรวดเร็ว

การที่บริษัทบิวตี้ ไม่มีโรงงานเป็นของตนเองนับว่าเป็นผลดี เพราะการที่สินค้ามีปริมาณผลิตไม่มากพอ หรือยังไม่ชำนาญ หรือสร้างโรงงานแล้วขายสินค้าไม่ได้เนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำ สินทรัพย์ที่ลงทุนสูง ที่เป็นเครื่องจักร พนักงาน วัตถุดิบ ฯลฯ อาจจะเป็นตัวฉุดรั้งธุรกิจในช่วงที่มีการเติบโตอย่างสูงซึ่งบริษัทเขาใช้วิธีการว่าจ้างผู้ผลิตอื่นผลิตแทน แต่มีการจ้างหลายที่ เพื่อการกระจายความเสี่ยงในการลอกเลียนแบบ ซึ่งบริษัทใหญ่ๆ ระดับโลกก็หันมาทำแบบนี้เช่นเดียวกัน และผู้ผลิตก็ไม่ใช่เล็กๆ เพราะเดี๋ยวนี้จะหาผู้ผลิตติดระดับโลกของเยอรมันนีอย่าง BASF, Henkel แถวระยอง หรือโรงงานผลิตในประเทศใกล้เคียงอย่างสิงค์โปร์ ก็ไม่ใช่เรืองยาก ดังนั้นคุณภาพไม่ต้องห่วงเพราะพวกนี้กลัวมากในเรื่องการเสียชื่อเสียง หากผลิตออกมาไม่ดี ทำให้ผิวหน้าสุภาพสตรีเสียหาย

โมเดลธุรกิจดีผลลัพธ์ออกมาเลยว๊าว

ผลการดำเนินงานของบรืษัท ใน 9 เดือนแรกในปี พ.ศ. 2558 บริษัทสร้างรายได้ 1,218 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.67% เมื่อเปรียบเทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว และมีกำไรสุทธิ 271 กว่าล้านบาท ใน 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น 40.6%

และเทียบกับสี่ปีที่แลัว พ.ศ.2555 หลังจากเข้าตลาดหุ้น พบว่าบริษัทมีการเติบโตเกินกว่า 100 % ทั้งนี้ผู้บริหารมีวิธีการวางแนวธุรกิจที่ดี มีการทำการตลาดที่ทันสมัยผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย การออกแบบร้าน และบรจจุภัณฑ์การขยายร้านและสินค้าอย่าง อย่างที่กล่าวมาข้างต้น ปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1,700 ล้านบาทดูเหมือนจะไม่ยากจนเกินไป

มาดูตัวเลขหนี้สิน พบว่าบริษัท มีหนี้สินน้อยมาก D/E อยู่ที่ 0.14 คือส่วนตัวของผม การลงทุนของผมจะหลีกเลี่ยง บริษัทที่มีหนี้มาก เพราะการเป็นหนี้มากๆ เปรียบเสมือนเหมือนคนเป็นโรค มีผลทางจิตต่อผู้บริหารและผู้ลงทุน เครดิตขอวงเงิน เพดานการกู้ขยายธุรกิจไม่ดีกับธนาคาร

ส่วน ROE มีค่าอยู่ที่ 37.5 ถือว่าดีเยี่ยม ส่วนที่น่ากังวลตรงที่ค่า P/E อยู่ที 39.87 และค่า P/BV อยู่ที่ 14.75 ซึ่งสูงมาก (setttrade)

ลองมาเทียบกับบริษัทอื่น

ในธุรกิจด้านนี้ ถ้าลองเทียบข้ามชั้นกับบริษัทระดับหนึ่งของโลก L'Oreal  (LRLCY) พบว่าด้วยธุรกิจที่มียอดขายประมาณ1.3 พันล้านบาท และมีกำไรประมาณ 300 ล้านบาท ของบริษัทบิวตี้ที่มีแบรนด์ไทย เมื่อเทียบกับปริษัท L'Oreal ที่มีสินค้าชื่อดังอย่าง Mayberline, Lancome และ Bioterm โดยมียอดขาย 2.6 หมื่นล้านบาท ต่อปี นับว่ายังห่างไกล แต่ถ้าบอกว่า บริษัทบิวตี้มีอัตราการเติบโตของธุรกิจที่เร็วติดจรวดคงไม่ผิด

เพราะอัตรายอดขายเติบโตของ L'Oreal มีประมาณ 1.7% ต่อปี ยกเว้นไตรมาสที่แล้ว ที่มีการเติบโต  16% เนื่องจากค่าเงินยูโรที่อ่อนตัวลง พบว่าค่า P/E ของ L'Oreal มีอัตราอยู่ที่ประมาณ 29.3 (Bloomberg:13.12.2015) แต่ บิวตี้ เติบโตที่เร็วกว่า 100% ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี

สำหรับบริษัทที่มีอยู่ในตลาดหุ้นในประเทศพบว่ามีเพียงบริษัท KAMART แต่ผมพบว่าผลประกอบการตกไปอย่างมาก บริษัทมี P/E ที่ 33.6 ซึ่งถือว่าสูงเช่นกัน ซึ่งผมไม่ได้วิเคราะห์อย่างละเอียดให้เพราะดูจากทีมผู้บริหาร ประสบการณ์ในธุรกิจ และลักษณะธุรกิจที่มีโรงงานผลิตเป็นของตนเอง ร้านค้าที่ไม่ได้มีความแตกต่างจากคู่แข่ง และมีการทุ่มจ่ายค่าการตลาดจากดาราที่มีค่าตัวสูงซึ่งผมว่าเป็นการตลาดที่ตกยุค ทำให้บริษัทไม่ได้จัดอยู่ในเกณฑ์คัดกรองของผม ถึงแมัจะมีปันผลล่อใจถึง 3.8% ณ เวลานี้ แต่ทั้งนี้นักวิเคราะห์ทุกสำนักแนะนำให้ซื้อ ท่านผู้ลงทุนอาจลองวิเคราะห์ดู

มีต่อครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่