สังขาร (หรือสังขารขันธ์) ในขันธ์ ๕ นั้นก็คือจิตตสังขาร ซึ่งเป็นอาการปรุงแต่งของจิตที่เกิดขึ้นต่อจากสัญญาและเวทนานั่นเอง โดยจิตตสังขารนี้ก็ยังแยกได้ ๒ อย่าง อันได้แก่
๑. การคิดของจิต คือเป็นการคิดพิจารณา หรือไตร่ตรอง หรือน้อมจิตไป เป็นต้นนั่นเอง ซึ่งการคิดของจิตนี้เราก็ยังพอที่จะสามารถควบคุมให้มันคิดนึกไปเรื่องใดก็ได้ หรือไม่คิดเรื่องใดก็ได้ โดยการคิดนี้ก็สามารถแยกได้ ๒ อย่างคือ
๑.๑ คิดไปตามอำนาจของกิเลส คือเมื่อใดที่จิตขาดสติ ก็จะทำให้อวิชชาและกิเลสเกิดขึ้นมาครอบงำจิต แล้วจิตก็จะคิดไปตามอำนาจของกิเลส คือคิดไปด้วยความพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง ลังเลใจบ้าง หรือคิดไปด้วยความเห็นแก่ตัว ซึ่งกิเลสนี้ก็มาจากความเคยชิน (อนุสัย) ของจิตใต้สำนึกอีกที
๑.๒ คิดไปด้วยสติปัญญา คือเมื่อใดที่จิตมีสติ ปัญญา และสมาธิ (ตามหลักอริยมรรคของอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า) พวกอวิชชาและกิเลสก็จะไม่เกิดขึ้น (หรือที่กำลังเกิดอยู่ก็จะดับหายไปได้แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อจิตไม่มีกิเลส มันก็จะบริสุทธิ์ (ประภัสสร) และมันก็จะคิดไปด้วยสติปัญญา หรือคิดไปด้วยความไม่เห็นแก่ตัว
๒. ความเคยชินของจิต ซึ่งความเคยชินนี้เรียกว่า อนุสัย ที่หมายถึง ความเคยชิน ที่เป็นอาการปรุงแต่งของจิตโดยอัตมัติ (คือเราไม่ได้ตั้งใจหรือยากจะให้มันเกิด) ตามความเคยชินของจิตใต้สำนึกที่จิตได้สั่งสมมาตลอดทั้งชีวิต (หรือที่เราเรียกกันว่านิสัย) ซึ่งความเคยชินนี้เราไม่สามารถควบคุมมันได้ ซึ่งความเคยชินนี้ก็ยังแยกได้ ๒ อย่าง อันได้แก่
๒.๑ ความเคยชินของกิเลส คือเมื่อจิตจำสิ่งที่รับรู้ได้แล้วและเกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้ว ถ้าจิตขาดสติ ปัญญา และสมาธิ จิตก็จะเกิดการปรุงแต่งต่อไปทันทีโดยอัตโนมัติว่าจะทำอย่างไรกับเวทนาที่กิดขึ้นนั้น คือเมื่อเกิดสุขเวทนา จิตก็จะเกิดอาการพอใจขึ้นมาทันที, เมื่อเกิดทุกขเวทนา จิตก็จะเกิดความไม่พอใจขึ้นมาทันที, เมื่อเกิดอทุกขมสุขเวทนา จิตก็จะเกิดความลังเลใจขึ้นมาทันที และเมื่อจิตเกิดกิเลสแล้วก็จะเกิดการปรุงแต่งต่อไปให้เกิดอุปาทานและความทุกข์ขึ้นมาด้วยทันทีโดยอัตโนมัติ อย่างเช่นเมื่อมีเพศตรงข้ามที่เราชอบมาให้เราเห็น เราก็จะเกิดความรักหรือพอใจขึ้นมาทันที หรือเมื่อมีคนมาด่าเรา เราก็จะเกิดความโกรธขึ้นมาทันที เป็นต้น
๒.๒ ความเคยชินของสติปัญญา คือเมื่อจิตจำสิ่งที่รับรู้ได้แล้วและเกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้ว ถ้าจิตมีสติ ปัญญา (มีดวงตาเห็นธธรมแล้ว) และสมาธิ จิตก็จะไม่ปรุงแต่งให้เกิดกิเลสพร้อมอุปาทานและความทุกข์ขึ้นมา แล้วจิตก็จะนิพพานหรือสงบเย็น ซึ่งสติ ปัญญา และสมาธินี้ก็มาจากการฝึกฝนตามหลักอริยมรรค (ภาวณา) จนกลายเป็นความเคยชินที่จะไม่เป็นทุกข์ (ที่ตรงข้ามกับความเคยชินของกิเลส)
จิตตสังขาร
๑. การคิดของจิต คือเป็นการคิดพิจารณา หรือไตร่ตรอง หรือน้อมจิตไป เป็นต้นนั่นเอง ซึ่งการคิดของจิตนี้เราก็ยังพอที่จะสามารถควบคุมให้มันคิดนึกไปเรื่องใดก็ได้ หรือไม่คิดเรื่องใดก็ได้ โดยการคิดนี้ก็สามารถแยกได้ ๒ อย่างคือ
๑.๑ คิดไปตามอำนาจของกิเลส คือเมื่อใดที่จิตขาดสติ ก็จะทำให้อวิชชาและกิเลสเกิดขึ้นมาครอบงำจิต แล้วจิตก็จะคิดไปตามอำนาจของกิเลส คือคิดไปด้วยความพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง ลังเลใจบ้าง หรือคิดไปด้วยความเห็นแก่ตัว ซึ่งกิเลสนี้ก็มาจากความเคยชิน (อนุสัย) ของจิตใต้สำนึกอีกที
๑.๒ คิดไปด้วยสติปัญญา คือเมื่อใดที่จิตมีสติ ปัญญา และสมาธิ (ตามหลักอริยมรรคของอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า) พวกอวิชชาและกิเลสก็จะไม่เกิดขึ้น (หรือที่กำลังเกิดอยู่ก็จะดับหายไปได้แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อจิตไม่มีกิเลส มันก็จะบริสุทธิ์ (ประภัสสร) และมันก็จะคิดไปด้วยสติปัญญา หรือคิดไปด้วยความไม่เห็นแก่ตัว
๒. ความเคยชินของจิต ซึ่งความเคยชินนี้เรียกว่า อนุสัย ที่หมายถึง ความเคยชิน ที่เป็นอาการปรุงแต่งของจิตโดยอัตมัติ (คือเราไม่ได้ตั้งใจหรือยากจะให้มันเกิด) ตามความเคยชินของจิตใต้สำนึกที่จิตได้สั่งสมมาตลอดทั้งชีวิต (หรือที่เราเรียกกันว่านิสัย) ซึ่งความเคยชินนี้เราไม่สามารถควบคุมมันได้ ซึ่งความเคยชินนี้ก็ยังแยกได้ ๒ อย่าง อันได้แก่
๒.๑ ความเคยชินของกิเลส คือเมื่อจิตจำสิ่งที่รับรู้ได้แล้วและเกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้ว ถ้าจิตขาดสติ ปัญญา และสมาธิ จิตก็จะเกิดการปรุงแต่งต่อไปทันทีโดยอัตโนมัติว่าจะทำอย่างไรกับเวทนาที่กิดขึ้นนั้น คือเมื่อเกิดสุขเวทนา จิตก็จะเกิดอาการพอใจขึ้นมาทันที, เมื่อเกิดทุกขเวทนา จิตก็จะเกิดความไม่พอใจขึ้นมาทันที, เมื่อเกิดอทุกขมสุขเวทนา จิตก็จะเกิดความลังเลใจขึ้นมาทันที และเมื่อจิตเกิดกิเลสแล้วก็จะเกิดการปรุงแต่งต่อไปให้เกิดอุปาทานและความทุกข์ขึ้นมาด้วยทันทีโดยอัตโนมัติ อย่างเช่นเมื่อมีเพศตรงข้ามที่เราชอบมาให้เราเห็น เราก็จะเกิดความรักหรือพอใจขึ้นมาทันที หรือเมื่อมีคนมาด่าเรา เราก็จะเกิดความโกรธขึ้นมาทันที เป็นต้น
๒.๒ ความเคยชินของสติปัญญา คือเมื่อจิตจำสิ่งที่รับรู้ได้แล้วและเกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้ว ถ้าจิตมีสติ ปัญญา (มีดวงตาเห็นธธรมแล้ว) และสมาธิ จิตก็จะไม่ปรุงแต่งให้เกิดกิเลสพร้อมอุปาทานและความทุกข์ขึ้นมา แล้วจิตก็จะนิพพานหรือสงบเย็น ซึ่งสติ ปัญญา และสมาธินี้ก็มาจากการฝึกฝนตามหลักอริยมรรค (ภาวณา) จนกลายเป็นความเคยชินที่จะไม่เป็นทุกข์ (ที่ตรงข้ามกับความเคยชินของกิเลส)