กัมพูชา บูชากรรม ตอนที่ 13

อารัมภบท
ข้อมูลนี้เป็นการนำเอาเรื่องราวของความขัดเเย้งในการเมืองประเทศกัมพูชาและนำเสนอข้อมูลทางทหาร โดยมิได้มีเจตนาเพื่อการปลุกปั่นหรือยุยงให้เกิดความแตกแยกใดใด
ตอนที่ 18 แผนต่อต้านเวียดนาม-เฮง สัมริน

        ภายหลังจากการพ่ายแพ้อย่างหมดรูป กองกำลังเขมรแดงนับหมื่นนายแตกทะลักหนีตาย เข้าสู่ชายแดนไทยเป็นจำนวนมาก โดยกองกำลังเขมรแดงได้ร่วมสมทบกับกลุ่มผู้อพยพเดิม ที่ได้หลบภัยจากระบอบของเขมรแดงเอง ซึ่งมีจำนวนกว่าแสนคน และยังคงปักหลักอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยในไซต์ต่างๆตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยกลุ่มผู้อพยพเดิมนั้น เป็นกลุ่มประชาชนชาวกัมพูชาซึ่งยังคงเกาะติดกองกำลังเขมรเสรีของ ซอน ซาน และกลุ่มเขมรนิยมเจ้าของสีหนุ ซึ่งได้จัดตั้งแนวร่วมเฉพาะกาลขึ้น โดยใช้ชื่อว่า กลุ่มกองกำลังรักชาติ แต่ยังเป็นการประสานความร่วมมือกันอย่างหลวมๆ และคงกระจายกำลังกันอยู่ทั่วป่าชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่ในบริเวณช่องบกนั้น ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าซึ่งรกทึบ ทิวเขาสูงสลับซับซ้อน กองกำลังเขมรแดงจึงได้รวมกลุ่มจัดตั้งเป็นกองบัญชาการ และใช้เป็นคลังเก็บอาวุธยุทธปัจจัย โดยตลอดแนวชายแดนไทยนั้น ยังได้มีการสร้างเส้นทางเชื่อมต่อทั้งในเขตไทยและกัมพูชา เพื่อใช้เป็นเส้นทางหลบหนีและการส่งกำลังเข้าไปทำลายกำลังทหารเวียดนามและเฮง สัมริน ดังนั้น บริเวณช่องบกจึงเป็นเป้าหมายที่สำคัญต่อการโจมตีของกองทัพเวียดนาม และเพื่อควบคุมชายแดนไทยในด้านนี้ไว้ให้ได้อย่างเด็ดขาด กองทัพเวียดนามและเฮง สัมริน จึงได้มีความพยายามยึดที่มั่นดังกล่าว เพื่อตัดการสนับสนุนและการส่งกำลังบำรุงต่อเขมรแดง ซึ่งได้ครอบครองพื้นที่บริเวณนั้นอยู่

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในขณะที่การสู้รบระหว่างกลุ่มกองกำลังรักชาติของเขมรสามฝ่าย และ เวียดนาม-เฮง สัมริน ยังคงดำเนินไปนั้น ขณะนั้นการสู้รบระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ไทย กับกองทัพรัฐบาลไทยก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ฝ่ายเสนาธิการทหาร ฝ่ายความมั่นคง และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอันที่จะนำพาชาติไทยให้พ้นจากวิกฤติการณ์ดังกล่าว ได้ประชุมหารือกันอย่างเคร่งเครียด โดยได้จับตาดูความเคลื่อนไหวของฝ่ายเวียดนาม ตั้งแต่ในกรณีเคลื่อนกำลังทหารจำนวน 25 กองพล เข้าบุกกัมพูชา และการเสริมกำลังรบอีกกว่า 60,000 นาย เข้าประชิดชายแดนลาวบางส่วน ซึ่งจากพฤติการณ์ดังกล่าว ฝ่ายไทยเรามองว่า การที่เวียดนามเสริมทหารเข้าไปในลาวนั้น อาจเพื่อสมทบกับกองกำลังปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ไทย ที่ยังคงวางกำลังอยู่ตลอดแนวลำน้ำโขง อีกทั้งการเคลื่อนกำลังพลบุกกัมพูชานั้น ด้วยศักยภาพทางทหารที่สูงกว่าหลายเท่า เพียง 4 กองพลเท่านั้น ก็สามารถบดขยี้ทหารเขมรแดงได้อย่างง่ายดาย แต่เหตุใดเวียดนามเลือกที่จะใช้กำลังมากถึง 25 กองพล อีกทั้งยังส่งผู้เชี่ยวชาญและทหารรบฝีมือดีเข้ามามากถึงเพียงนั้น จากการสันนิษฐาน เป็นไปได้ว่า เวียดนามอาจเตรียมส่งกำลังบางส่วน เข้าสนับสนุนกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์ไทย ที่ยังคงแทรกซึมอยู่ทางภาคเหนือและภาคอิสาน เพื่อแยกภูมิภาคส่วนนั้นออกหรือจงใจเตรียมการไว้ เพื่อบุกยึดครองทั้งประเทศไทย ซึ่งก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ ในวันที่ 1 มกราคม ปีพุทธศักราช 2518 ไทยเราได้มีโอกาสเจริญสัมพันธไมตรีทางการฑูตกับจีน ซึ่งเคยยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเรามาตลอด และทางการจีนเองก็ให้การตอบรับเป็นอย่างดี และเจริญสัมพันธไมตรีต่อเรื่อยมา จนกระทั่ง เหตุการณ์ที่กองทัพเวียดนามบุกกัมพูชา ในวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2522 และ สถานการณ์สู้รบได้เข้าประชิดชายแดนไทยในทุกที เมื่อตกอยู่ในภาวะการณ์อันคับขันเช่นนี้ ไทยเราจึงได้ส่งคณะฑูตซึ่งเป็นนายทหาร เยือนปักกิ่งอีกครั้ง โดยครั้งนี้ได้เจรจาขอให้ทางการจีน หยุดการสนับสนุนต่อพรรคคอมมิวนิสต์ไทยในทุกประการ เพื่อจะดึงกำลังและความพร้อมของทหารไทยทั้งหมด ให้กลับเข้าสู่สถานการณ์พร้อมรบ ต่อแนวชายแดนด้านฝั่งกัมพูชาได้อย่างเต็มที่ แผนการความร่วมมือระหว่างไทย-จีน เพื่อต่อต้านอิทธิพลของเวียดนามและโซเวียตนั้น โดยขั้นแรก คือการจำกัดความเคลื่อนไหวของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ โดยทางการจีนได้หยุดให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ ต่อพรรคคอมมิวนิสต์ไทย เบื้องต้นด้วยการปิดสถานีวิทยุปักกิ่ง ซึ่งเป็นดั่งกระบอกกระจายเสียงเผยแพร่แนวคิดลัทธิลง ทั้งยังได้ยับยั้งการปลุกระดมสมาชิกพลพรรคคอมมิวนิสต์ไทย ที่ยังคงต่อสู้กับทางการ ฝ่ายรัฐบาลไทยเองยังได้เปิดช่องให้มีการมอบตัว ด้วยนโยบายนิรโทษกรรมไม่เอาความผิดต่อผู้ก่อการร้ายใดๆ ที่ได้เข้ามอบตัวร่วมพัฒนาชาติไทย อีกทั้งจีนยังขายอาวุธหนักในราคาถูกให้ไทยหลายประการ รวมถึงความช่วยเหลือด้านอาวุธที่ทางสหรัฐฯ ได้เตรียมส่งมาสมทบให้จีน เพื่อใช้ต่อต้านอิทธิพลโซเวียตด้วยเช่นกัน ขั้นต่อไปของแผนความร่วมมือไทย-จีน คือ การจำกัดการรุกของเวียดนามให้คงอยู่แต่ในกัมพูชา และลดจำนวนทหารเวียดนามในกัมพูชาลง ให้คงเหลือน้อยที่สุด โดยทางการจีนเตรียมนำกำลังทหารเข้ากดดันทางภาคเหนือของเวียดนาม โดยทั้งหมดทั้งมวลของแผนการต่อต้านอิทธิพลเวียดนาม-โซเวียตนั้น ยังมีเงื่อนไขลับบางประการ ที่ไทยเราต้องยอมทำตามข้อตกลง หนึ่งในข้อตกลงลับนั้น คือ ให้การสนับสนุนเขมรแดง เพื่อทำสงครามต่อต้านเวียดนาม-เฮง สัมริน

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


ตอนที่ 19 ประตูสู่ฮานอย
กัมพูชา ในปี พุทธศักราช 2522 ภายหลังจากที่เฮง สัมริน และกองกำลังผสมจากเวียดนาม สามารถโค่นล้มระบอบของเขมรแดงได้สำเร็จ ในวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2522 รัฐบาลกัมพูชาจึงผลัดมือเป็นฝ่ายเฮง สัมริน ซึ่งมีกองทัพเวียดนามคอยหนุนหลังอยู่ และโดยการจัดตั้งกองกำลังผสมแนวร่วมสามัคคีประชาชาติกู้ชาติกัมพูชา (Front for National Salvation:FUNSK) โดยแนวร่วมของกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย 5 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มของ เฮง สำรินและเจีย ซีม ที่มีอิทธิพลทางตะวันออกของกัมพูชา
2. กลุ่มของ บู ทอง ผู้นำการปฏิวัติในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
3.กลุ่มของ เปน โสวัณณ์,เจีย สต และจัน ซี กลุ่มปัญญาชนที่ผ่านการฝึกฝนจากเวียดนาม
4.กลุ่มของ ฮุน เซน และเตีย บัญ กลุ่มชาวเขมรเชื้อเวียดซึ่งผ่านการฝึกฝนจากเวียดนาม
5.กลุ่มของ ใส ภูทอง เป็นกลุ่มต่อต้านเขมรแดงของชาวไทยเกาะกง
โดยทั้ง 5 กลุ่มใหญ่นี้ ได้ร่วมสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาขึ้น ในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2522 โดย เฮง สัมริน ดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐ ได้รับการสนับสนุนจากทหารและภาคพลเรือนเวียดนาม เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามจากกลุ่มอำนาจเก่า รัฐบาลเฮง สัมริน จึงตั้งเป้าหมายทำการกวาดล้างกลุ่มเขมรต่างๆ โดยบุกโจมตีฐานที่มั่นฝ่ายเขมรแดง เขมรเสรี และกลุ่มนิยมเจ้า ซึ่งวางกำลังอยู่ตามตะเข็บชายแดนไทยกัมพูชาและลาวบางส่วน ทั้งนี้เวียดนามและเฮง สัมริน ยังมีความพยายามส่งกำลังเข้าควบคุมพื้นที่ชายแดนไทย เมื่อถูกโจมตีอย่างหนัก กองกำลังเขมรทั้งสามฝ่าย และชาวกัมพูชาจำนวนหลายแสนคน ได้อพยพหนีตายลึกเข้ามายังเขตแดนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทั้งนี้ฝ่ายความมั่นคงไทย ยังคงผลักดันกลุ่มผู้อพยพดังกล่าวให้อยู่โดยรอบชายแดน โดยวางขึงลวดหนามและการขุดคูเพื่อใช้สำหรับแบ่งกั้นอณาเขตไซต์อพยพ มิให้ชาวเขมรเข้ามาปะปนกับพลเรือนไทย ทั้งนี้ด้วยขนาดความกว้างและความลึกของคูนั้น ยังสามารถใช้สำหรับดักยานพาหนะข้าศึกได้ด้วย บริเวณทางเข้าไซต์ย่อยต่างๆนั้นยังใช้ไม้ขนาดใหญ่พาดไปยังไซต์อพยพ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าหน้าที่กาชาดสากลและการเข้าตรวจการณ์หน้าแนว โดยคันดินด้านในและลำไม้สะพานนั้นยังคงฝังกับดักระเบิดชนิดต่างๆไว้ ทั้งนี้บนคูดินยังได้สร้างป้อมติดปืนกลหนัก และฐานตรวจการณ์ชั่วคราวโดยรอบอีกชั้นหนึ่ง

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่ในขณะที่การสู้รบระหว่างรัฐบาลไทย กับ พรรคคอมมิวนิสต์ไทย ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องนั้น ฝ่ายความมั่นคงเล็งเห็นถึงภัยสงครามจากฝั่งกัมพูชาเข้าประชิดอธิปไตยมากยิ่งขึ้น คณะฑูตไทยซึ่งเป็นบรรดานายทหารจึงเดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง เพื่อขอการสนับสนุนจากทางการจีนตามที่เคยได้ร่วมเจรจากันไว้ ไม่นานนักแผนการต่อต้านอิทธิพลเวียดนาม-โซเวียต จึงก่อตัวเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยในวันที่ 17 กุมพาพันธ์ พ.ศ. 2522 เมื่อทางการจีนซึ่งได้รับการสนับสนุนยุทธปัจจัยจากสหรัฐฯ ได้เคลื่อนกำลังพลเข้าชายแดนเวียดนาม โดยใช้กำลังทหารราบมากกว่า 200,000 นาย เป็นกองกำลังทหารอาสาสมัครพลเรือนกึ่งทหารทั้งชายหญิง หน่วยรบพิเศษ และกองกำลังหลักจากกองทัพปลดปล่อยประชาชน จากมลฑลทหารคุณหมิงและกว่างโจว จีนได้กรีฑาทัพลงมายังทางชายแดนภาคเหนือของเวียดนาม และถูกต้านทานอย่างหนัก เนื่องด้วยการดำเนินกลยุทธ์ซึ่งผิดพลาด ซึ่งทางฝ่ายจีนยังนิยมยุทธวิธีแบบเดิม คือการใช้กำลังทหารราบทุ่มสรรพกำลังรบทั้งหมดเข้าตี จึงเป็นเหตุให้กำลังพลประสบความสูญเสียอย่างมาก เนื่องจากฝ่ายเวียดนามนั้น มีทหารฝีมือดีซึ่งชำนาญการรบตามภูเขา และ การใช้วิธีขุดดินสร้างบังเกอร์เป็นอุโมงค์ใต้ดิน สิ่งเหล่านี้ จึงเป็นดั่งป้อมปราการที่ซ่อนพรางสำหรับซุ่มโจมตีได้อย่างดี

(แผนที่แสดงการบุกจังหวัด Lao Cai ของเวียดนาม ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีชายแดนติดมณฑลยูนนานของจีน Cr:military.dwnews.com/)

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

(สภาพศพทหารและผู้บาดเจ็บจากสงครามจีน เวียดนาม)

(สภาพบาดแผลมีอยู่ทั่วร่างของทหารจีนที่เกิดจากสะเก็ดระเบิด)

(ตาดีได้ ตาร้ายเสียขา)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่