เรื่องเล่าบนยอดดอย

กระทู้สนทนา
เรื่องเล่าบนยอดดอย

เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้วครับ

เรื่องมันมีอยู่ว่าตอนนั้นผมเพิ่งเรียนจบใหม่ ๆ เลยต้องหาโรงพยาบาลที่จะต้องไปประจำเพื่อที่จะหาประสบการณ์ให้กับตัวเอง

ซึ่งส่วนตัวของผมเป็นคนที่ชื่นชอบธรรมชาติเอามาก ๆ เลยเลือกที่จะไปเป็นหมอหมู่บ้านที่จังหวัด ๆ หนึ่งในภาคเหนือครับ

ผมไม่ขอพูดชื่อจังหวัดและชื่อหมู่บ้านล่ะกัน เพราะถ้าผมพูดไปอาจจะทำให้ใครบางคนที่จะต้องไปเป็นหมอที่นั่นต้องลำบากใจแน่ ๆ เข้าเรื่องเลยล่ะกันนะครับ

พอดีตอนนั้นหมู่บ้านที่ผมจะต้องไปประจำ หมอของเขาเพิ่งลาออกไปพอดี ทำให้ผมได้มีโอกาสไปเป็นหมอที่นั่นแทน ผมก็เลยเริ่มที่จะหาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับหมู่บ้านก่อนที่จะไป จึงทำให้ผมได้รู้ว่าหมู่บ้านที่ผมจะไปอยู่นั้นมันอยู่บนยอดดอยท่ามกลางธรรมชาติ อย่างที่ผมชอบเลยครับ

ความจริงมีกำหนดอีก 1 อาทิตย์ที่ผมจะไปประจำที่นั่น แต่ตัวของผมมันทนรอไม่ไหว ก็เลยตัดสินใจที่จะไปเลยดีกว่าจะได้ไปเที่ยวและทำความคุ้นเคยกับสถานที่ก่อนด้วย ผมก็เลยเดินทางไปในตอนเช้าของอีกวันด้วยรถไฟฟรีครับ เพราะว่าผมไม่ได้เร่งรีบอะไรจะได้ชมวิวข้างทางสวย ๆ ไปด้วย

ผมมาถึงตัวในจังหวัดก็ประมาณเกือบ 3 ทุ่มแล้วครับ แล้วก็จะต้องเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านต่ออีกประมาณ 70 กิโลเมตร

“คุณหมอเดชาใช่ไหมครับ”   ลุงคนนึงใส่ชุดแปลก ๆ น่าจะเป็นชุดของชนเผ่าอะไรสักอย่างเดินมาถามผมด้วยสำเนียงที่ไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไหร่ แต่ผมก็พอฟังรู้เรื่องครับ

“ใช่ครับผมหมอเดชาเอง แล้วนี่คุณลุงเซงดูใช่ไหมครับ”  ผมลืมบอกไปครับว่าก่อนที่ผมจะมา ผมได้โทรนัดกับคนในหมู่บ้านเอาไว้แล้วว่าจะมาถึงตอนไหน แล้วเขาก็บอกกับผมว่าจะให้คนในหมู่บ้านชื่อเซงดูออกมารับ ก็หน้าจะเป็นคุณลุงคนนี้นั่นเหละครับ

“ใช่ ๆ เรารีบไปกันเถอะหมอ เดี๋ยวมันจะค่ำไปมากกว่านี้”   แกตอบผมด้วยน้ำเสียงที่ดุเล็กน้อย และท่าทางของแกดูเป็นกังวลกับเรื่องอะไรสักอย่าง แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

หลังจากนั้นแกก็มาช่วยผมยกกระเป๋าไปสองใบ และเดินนำหน้าผมไปไวมาก ๆ จนผมแทบจะเดินตามแกไปไม่ทัน

พอมาถึงที่รถก็เป็นรถกระบะเก่า ๆ ดูท่าทางแล้วไม่น่าจะขับได้ด้วยซ้ำครับ ผมก็รีบเลยเอากระเป๋าไปวางไว้ที่ท้ายกระบะ เสร็จแล้วก็มานั่งข้างหน้ารถกับลุงเซงดู

ขับรถออกมาได้สักพักลุงแกก็ไม่ยอมพูดอะไรกับผมสักคำ ส่วนผมก็ไม่กล้าพูดกับแกก่อนก็เลยต่างคนต่างเงียบไป แต่สักพักแกก็พูดขึ้นมาว่า

“ถ้าเห็นอะไรไม่ต้องทักหรือหันไปมองนะหมอ”   ผมก็ไม่รู้ว่าแกหมายถึงเห็นอะไรก็เลยถามแกกลับไปว่า

“เห็นอะไรเหรอลุง เห็นผีเหรอครับ 555”   พอผมพูดจบแกหันมามองหน้าผมตาขวางเลยครับ หน้าตาแกจริงจังมาก แล้วแกก็หันกลับไปขับรถต่อโดยที่ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้นสักคำ

ส่วนตัวผมก็ตลกแป็กไม่กล้าถามอะไรแกต่อเลยครับ ได้แต่คิดในใจว่ามันเริ่มแปลก ๆ แล้วนะกับลุงคนนี้ แกเป็นอะไรของแกมากหรือเปล่า สงสัยจะโรคจิตหรือไม่ก็เมายามาแน่ ๆ

ในระหว่างที่ผมนั่งคิดไปเรื่อย ๆ สักพักผมก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างรูปร่างคล้าย ๆ กับคนยืนอยู่ตรงริมชายป่าด้านหน้าฝั่งซ้ายมือของผม เมื่อผมเห็นอย่างนั้นก็พยายามที่จะมองไปเรื่อย ๆ ว่าใครมาทำอะไรในที่มืดอย่างนี้คนเดียว  

ในขณะที่ผมใจจดใจจออยู่กับการมอง ก็มีมือมาจับที่ไหล่ของผม ผมสะดุ้งตกใจอย่างแรงเลยครับ แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องอะไร พอผมหันกลับไปมองที่มือนั้นมันเป็นมือของลุงเซงดูนั่นเองครับ แกจับไหล่ของผมเอาไว้พร้อมกับซ่ายหน้าเหมือนกับพยายามจะบอกกับผมว่าอย่าไปมอง  

ผมก็พอจะเข้าใจนะครับ แต่ด้วยความสงสัยผมก็เลยหันกลับไปมองอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมไม่เห็นอะไรแล้วครับ ผมก็เลยคิดไปเองว่าผมคงจะตาฝาดไปเองหรือไม่ก็คงเป็นต้นไม้มั้ง แล้วผมก็ไม่ได้สนใจอะไรต่อจากนั้น

สักพักผมกับลุงเซงดูก็มาถึงที่หมู่บ้านซึ่งมันเงียบและมืดมากเลยครับ คงอาจจะเป็นเพราะว่ามันดึกแล้วก็ได้ หลังจากนั้นลุงเซงดูก็พาผมไปส่งที่บ้านพัก ซึ่งอยู่ไม่ไกลกับทางเข้าหมู่บ้านสักเท่าไหร่ พอถึงแล้วแกก็ช่วยผมขนของลงจากรถ พอเสร็จแล้วแกก็รีบกลับไปทันที แต่ก่อนที่แกจะไปแกบอกกับผมว่าถ้าดึก ๆ มีใครมาเรียกไปไหนไม่ต้องไปนะหมอ อย่าไปเด็ดขาด ผมว่าจะถามแกว่าทำไมแต่ก็ไม่ทันเพราะว่าแกไปซะล่ะ

พอแกกลับไปผมก็รีบขนของขึ้นไปบนบ้านทันที ความจริงจะเรียกว่าบ้านก็คงจะไม่ถูกสักเท่าไหร่ เพราะว่ามันหลังเล็กมากแล้วก็ทำจากไม้ไผ่ทั้งหลัง ผมว่ามันน่าจะเป็นกระท่อมสะมากกว่า พอผมจัดข้าวของเสร็จเรียบร้อยก็รีบนอนเลยครับน้ำก็ไม่ได้อาบเพราะว่าเหนื่อยมากจากการเดินทางมาทั้งวัน

พอผมตื่นมาในตอนเช้าของอีกวันผมก็รีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อที่จะได้ไปเดินสำรวจรอบ ๆ หมู่บ้าน ในระหว่างที่ผมเดิน ๆ ไปก็เจอกับลุงเซงดูโดยบังเอิญ ผมก็เลยเข้าไปทักแกครับ

“สวัสดีครับลุง”

“สวัสดีครับหมอ ตื่นแต่เช้าเลยนะครับ” แปลกมากครับวันนี้แกดูผิดกับเมื่อวานโดยสินเชิง แกยิ้มและพูดดีกับผมเหมือนกับไม่ใช่ลุงเซงดูคนเมื่อวานเลย
ผมก็เลยยืนคุยกับแกไปสักพักแกก็ถามผมว่าจะไปไหน ผมก็เลยบอกกับแกไปว่าผมอยากเดินเที่ยวรอบ ๆ หมู่บ้านว่ามีอะไรบ้าง แกก็เลยเป็นคนอาสานำผมเที่ยวเองครับ ผมก็เลยตอบตกลงแล้วแกก็พาผมเดินไปดูทุกซอกทุกมุมของหมู่บ้าน

บรรยากาศในหมู่บ้านสวยมาก ๆ ครับ น่าจะเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้เลย อากาศก็ดีไม่ร้อนมากไม่หนาวมากแถมยังสงบไม่วุ่นวายอีกด้วย  

แต่ในระหว่างที่ผมเดินเที่ยวไปรอบ ๆ มีอย่างนึงที่ผมสังเกตได้ชัดเจนก็คือ ในหมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่มีแต่คนแก่ไม่ค่อยมีเด็กหรือวัยรุ่นเลยครับ ด้วยความที่ผมสงสัยก็เลยถามลุงเซงดูไปตรง ๆ

“ทำไมในหมู่บ้านถึงมีแต่คนแก่ครับ ผมไม่ค่อยเห็นวันรุ่นกับเด็ก ๆ เลย”  พอคำถามของผมจบลง ลุงเซงดูทำท่าทางเหมือนไม่ค่อยอยากตอบผมสักเท่าไหร่ แกตอบกลับมาสั้น ๆ ว่า

“ไม่รู้”   แล้วแกก็เปลี่ยนเรื่องคุยกับผมทันที

แกบอกว่าข้าง ๆ หมู่บ้านเราจะเป็นหมู่บ้านกระเหรี่ยงคอยาว ที่หมอเห็นตอนนั่งรถเข้ามาในหมู่บ้านมือคืนนี้นั่นเหละ ผมก็เลยบอกกับแกไปว่าผมรู้แล้วครับ เพราะก่อนที่ผมจะขึ้นมาจากกรุงเทพฯ ผมก็ได้ศึกษาหาข้อมูลเอาไว้หมดแล้ว เพราะว่าหมู่บ้านนี้เป็นอีกหนึ่งหมู่บ้านที่ผมจะต้องไปรักษาคนป่วยด้วยเหมือนกัน

หลังจากวันนั้นก็ผ่านไปได้ 3 อาทิตย์ผมก็เริ่มชินกับการใช้ชีวิตในหมู่บ้านมากขึ้น ส่วนเรื่องรักษาผู้ป่วยก็ผ่านไปด้วยดีทุกวันจนมาถึงวันนี้ วันที่ทำให้ผมต้องจดจำไปตลอดชีวิตและทุกครั้งที่คิดถึงมันก็จะทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว

หลังจากที่ผมตรวจคนไข้คนสุดท้ายเสร็จ ผมก็กลับมาที่บ้านพักของผมตามปกติเหมือนทุก ๆ วัน พอมาถึงผมก็รีบหาข้าวหาปลากินทันทีเพราะจะต้องจดบันทึกของผู้ป่วยต่อ หลังจากนั้นผมก็นั่งทำงานของผมไปเรื่อย ๆ จนเวลาก็เกือบจะ 3 ทุ่ม ผมก็เลยลงไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวขึ้นมาอ่านหนังสือต่อ  

ทุกคืนผมจะต้องอ่านหนังสือประมาณครึ่งชั่วโมงครับถึงจะนอน แต่คืนนี้ผมอ่านเพลินไปหน่อยดูนาฬิกาเกือบจะ 5 ทุ่มแล้วผมก็เลยเลิกอ่านหนังสือแล้วก็มาสวดมนต์ก่อนนอนแทน แต่ในขณะที่ผมกำลังสวดมนต์อยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงคนนึงเรียกผมมาจากด้านหน้าประตู

“หมอ ๆ เปิดประตู เปิดประตู”  เธอเรียกผมซ้ำ ๆ อย่างนั้นอยู่หลายครั้ง ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรนึกว่าชาวบ้านป่วยมาขอความช่วยเหลือก็เลยรีบเปิดประตูออกไปทันที

พอผมเปิดประตูออกไปก็เห็นเด็กผู้หญิงคนนึงยืนอยู่อายุน่าจะประมาณ 12-13 ปีได้ครับ แต่ว่าไม่น่าจะใช่เด็กในหมู่บ้านนี้เพราะดูจากการแต่งตัวกับก็สำเนียงการพูดแล้ว ผมก็เลยถามไปว่ามีอะไรให้หมอช่วยเหรอ

แล้วเด็กผู้หญิงก็ตอบผมกลับมาประมาณว่า ย่าหรือยายของแกนี่เหละไม่สบายหนักมากอยากให้ผมช่วยไปรักษาหน่อยอยู่ที่หมู่บ้านข้าง ๆ นี่เอง ผมฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่แต่ก็พอจับใจความได้  

ผมก็เลยบอกให้แกยืนรอผมแปปนึงเดี๋ยวผมเข้าไปเก็บของในบ้านก่อน แต่ในระหว่างที่ผมกำลังเก็บของอยู่ดี ๆ คำพูดของลุงเซงดูก็แว๊บเข้ามาในหัวของผม (ถ้าดึก ๆ มีใครมาเรียกไปไหนไม่ต้องไปนะ อย่าไปเด็ดขาด)

เป็นคำพูดที่ลุงแกพูดเตือนผมไว้ในวันแรกที่เจอกัน แต่ส่วนที่ห้ามออกไปไหนไปกับใครนั้นแกไม่ได้บอกผมเอาไว้ แต่ด้วยเพราะหน้าที่ของผมแล้วถ้ามีคนป่วยก็ต้องไปรักษา ผมก็เลยไม่สนใจเรื่องที่ลุงเซงดูบอกเอาไว้ แล้วก็ตัดสินใจไปกับเด็กแปลกหน้าคนนั้นทันที...

เรื่องยังไม่จบนะครับเดี๋ยวผมมาพิมพ์ต่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งเรื่องสั้น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่