เมื่ออุตสาหกรรมต่างๆ ของประเทศไทยกำลังถูกรัฐบาล และหน่วยงานเอกชนจากต่างประเทศตรวจสอบถึงที่มาที่ไปของอาหารที่วางจำหน่ายอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งที่รัฐบาลไทย และเอกชนหลายรายไม่เคยคิดที่จะใส่ใจถึงสภาพความเป็นอยู่ของแรงงานต่างด้าว ซึ่งการใช้แรงงานทาสในอุตสาหกรรมอาหารนั้นทางรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากจนทำให้อุตสาหกรรมประมงไทยต้องไปอยู่ Tier 3 แล้ว แต่ก็ยังไม่แคล้วคลาดมีอุตสาหกรรมที่ยังหลบๆ ซ่อนๆ ใช้งานแรงงานที่ผิดกฏหมายต่อไป
สำนักข่าวเอพีเจาะลึก "กุ้งแกะเปลือกโดยแรงงานทาสในไทย"
เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. สำนักข่าวเอพี สหรัฐอเมริกา รายงานข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนในอุตสาหกรรมประมงของไทยในชื่อ “ซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วโลก ขายกุ้งที่แกะเปลือกโดยทาส” เปิดเผยเบื้องหลังผลิตภัณฑ์กุ้งแช่แข็งที่แกะเปลือกแล้วเรียบร้อย วางขายอยู่ในร้านค้าทั่วอเมริกา รวมถึงในยุโรป และเอเชีย
รายงานเจาะลึกตัวอย่างชะตากรรมแรงงานต่างด้าวชาวพม่าที่ถูกใช้แรงงานเยี่ยงทาสในโรงงานที่ปิดตัวจากโลกภายนอกในจังหวัดสมุทรสาคร ถูกปลุกตั้งแต่ตีสอง ถ้าไม่ลุกจะถูกตี จากนั้นทำงานแกะกุ้งไปยาว 16 ชั่วโมง ผู้คุมแรงงานจะไม่เรียกชื่อคนงาน แต่เรียกเป็นเลขรหัส
นายทิน โย วิน ถูกเรียกว่าหมายเลข 31 ถูกขายมาอยู่โรงงานแกะกุ้งแห่งหนึ่ง พร้อมแรงงานต่างด้าวชาวพม่าอีกเกือบ 100 คน มีเด็กที่เป็นลูกหลานมาด้วย แม้แต่เด็กหญิงตัวผอมบางก็ถูกบังคับใช้แรงงานที่ต้องเอามือแกะกุ้งในกองน้ำแข็งเย็นๆ ยืนที่โต๊ะแกะอยู่อย่างนั้นทุกวันเป็นเดือนๆ โดยไม่ได้ค่าจ้าง
เอพีระบุว่า สถานการณ์ค้ามนุษย์ส่งผลในด้านมืดที่ทำให้ไทยก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกกุ้งรายใหญ่ที่สุดของโลก แม้ทั้งรัฐบาลและเอกชนผู้ทำธุรกิจจะประกาศคำมั่นสัญญาว่าจะจัดการแก้ไขปัญหาในอุตสาหกรรมส่งออกสินค้าประมงท่ีทำมูลค่ากว่า 7,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 245,000 ล้านบาท สะท้อนถึงปัญหาการคอรัปชั่นและการร่วมกระทำผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ
หลังจากปีที่แล้ว เอพีเคยรายงานเปิดโปงชะตากรรมของประมงมากกว่า 2,000 ชีวิตในวงจรของอุตสาหกรรมประมงไทยที่ถูกกักขังในอินโดนีเซีย จนเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหยื่อเหล่านี้ได้ และนำไปสู่การจับกุมคนนับสิบ ยึดทรัพย์อีกหลายล้านดอลลาร์ รวมถึงมีการร่างกฎหมายใหม่ขึ้นมาจัดการ แต่เมื่อสืบสวนสถานการณ์หลังจากนั้น กลับพบว่ากระบวนการดำเนินคดียังถือว่ามีน้อยมาก และเจ้าของกิจการเหล่านี้อีกหลายเจ้ายังลอยนวล
จากภาพของเอพีบันทึกไว้วันที่ 9 พ.ย. 2558 เจ้าหน้าที่จังหวัดสมุทรสาคร พร้อมทหารและตำรวจบุกทลายโรงงานที่ใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย แรงงานเหล่านี้ถูกซ่อนอยู่บนถนนในเขตที่อยู่อาศัย หลังกำแพงอาคารที่ดูไม่ออกว่าเป็นโรงงานนรกในจังหวัด แรงงานต่างด้าวบางคนหนีออกมาได้ และทางกลุ่มสิทธิมนุษยชนช่วยไว้ จึงนำไปสู่การสอบสวน พบว่ามีอย่างน้อย 3 แห่ง แต่ละแห่งมีคนงานอยู่ราว 50-100 คน หลายคนถูกล็อกให้อยู่แต่ข้างใน
นายทิน โย วิน อายุ 22 ปี ผู้เป็นหนึ่งในนั้น เล่าว่า ตอนที่เข้าไปใหม่ๆ ได้พักหนึ่งจึงเริ่มรู้ตัวและตกใจมาก บอกกับ น.ส.มี ซาน ภรรยา ว่าแย่แล้ว เพราะโรงงานไม่มีทางออก ถ้าทำอะไรพลาด คงต้องตายแน่ๆ ขณะที่ผู้คุมโรงงานข่มขู่ว่า จะฟ้องตำรวจมาจับ เพราะทั้งสองเข้าเมืองมาแบบผิดกฎหมาย ทั้งสองและคนงานอื่นๆ อาศัยอยู่ในเรือนนอนสภาพแย่ สกปรก แออัด ถ้าแกะกุ้งได้น้อย จะถูกด่าว่าควาย ทางผู้คุมโรงงานจะอนุญาตให้ออกไปข้างนอกได้ ต่อเมื่ออีกคนต้องอยู่ในบ้าน เพื่อเป็นตัวประกันว่า อีกฝ่ายจะไม่หนีไป แต่ทั้งสองปรึกษากันมาตลอดว่าต้องหนีให้ได้ โดยเฉพาะเมื่อผู้คุมขู่ว่า เจ้านายมีปืนอยู่ในรถ จะเอามายิงทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะไม่มีทางที่ใครจะรู้
กรณีแบบนี้ถูกระบุว่าเป็นเรื่องปกติในจังหวัดนี้ รายงานขององค์การแรงงานสากลประเมินว่า มีแรงงานเด็กต่างด้าวอายุ 13-15 ปีในเมือง และเกือบร้อยละ 60 ของแรงงานพม่าที่อยู่ในอุตสาหกรรมประมงถูกบังคับใช้แรงงาน
เอพีรายงานด้วยว่า ในเดือนที่ผ่านมา ใช้วิธีบันทึกภาพรถบรรทุกที่วิ่งเข้าออกโรงงานนี้ และแกะรอยไปจนพบว่า รถวิ่งไปส่งสินค้ายังบริษัทส่งออกรายใหญ่ของไทย จากนั้นสินค้าก็ไปยังสาขาผู้นำเข้าในอเมริกา ที่ส่งสินค้าให้ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ ไม่ว่า วอลมาร์ท, โครเกอร์, โฮลฟู้ดส์, ดอลลาร์ เจเนอรัล แอนด์ เพ็ตโก
นอกจากนี้ยังส่งไปถึงบริษัทสินค้าอาหารทะเลและอาหารสัตว์ ที่ร่วมถึง ชิกเกน ออฟ เดอะ ซี แอนด์ แฟนซี ฟีสต์ ที่ส่งขายให้ร้านขายของชำอย่าง เซฟเวย์แอนด์ชนัคส์ ไปจนถึง พิกกี วิกกลี และ อัลเบิร์ตสันส์ สรุปแล้วใน 50 รัฐ ล้วนมีสินค้าที่ใช้แรงงานทาสวางขายอยู่ ทั้งนี้ อเมริกาเป็นประเทศที่ผู้คนชอบอาหารทะเลมาก ชาวอเมริกันบริโภคอาหารทะเลราว 585 กิโลกรัมต่อปี หรือเฉลี่ยคนละ 1.8 กิโลกรัมต่อปี
เอพีระบุว่า ภูมิภาคอาเซียนเป็นแหล่งค้ามนุษย์ที่สถานการณ์เลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่ง ไทยเองถูกประเมินผลติดเทียร์ 3 ของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐติดต่อมาแล้วสองปี ส่วนสหภาพยุโรปก็ประกาศเตือนด้วยการขึ้นกำแพงภาษีสามเท่า หากไทยยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ คาดว่าเดือนหน้าจะตัดสินว่าจะแบนสินค้าหรือไม่
ซูซาน คอปเพดจ์ เอกอัครราชทูตฝ่ายต่อต้านการค้ามนุษย์ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า บอกกับทางการไทยไปแล้วว่าให้พยายามแก้ไขปัญหา เพิ่มการดำเนินคดี และช่วยเหลือเหยื่อมากขึ้น ส่วนทางผู้บริโภคอเมริกันเองก็ควรแสดงท่าทีต่อบริษัทอาหารทะเลด้วยว่า “
เราจะไม่ซื้อของที่ทำมาจากการใช้ทาส”
เอพีรายงานในตอนท้ายว่า แม้ว่าโรงงานแกะกุ้งที่ถูกเปิดโปงนี้ จะปิดไปแล้วในขณะนี้ แต่คนงานถูกย้ายไปอยู่อีกโรงงานที่มีเจ้าของเป็นคนเดียวกัน ส่วนทิน โย วิน และภรรยาที่ตั้งครรภ์อยู่ในศูนย์พักพิงของรัฐสำหรับผู้ถูกค้ามนุษย์ ทางเอพีจึงขอให้เจ้าหน้าที่ด้านสิทธิแรงงานที่ทำงานใกล้ชิดกับตำรวจ ตรวจสอบเพิ่มเติมด้วยว่า มีแรงงานรายใดที่ถูกกักตัวโดยไม่สมัครใจหรือไม่
ที่มา : ข่าวสด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1449948353
อุตสาหกรรมอาหารที่เกี่ียวข้องกับแรงงานทาสในไทย
เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. สำนักข่าวเอพี สหรัฐอเมริกา รายงานข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนในอุตสาหกรรมประมงของไทยในชื่อ “ซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วโลก ขายกุ้งที่แกะเปลือกโดยทาส” เปิดเผยเบื้องหลังผลิตภัณฑ์กุ้งแช่แข็งที่แกะเปลือกแล้วเรียบร้อย วางขายอยู่ในร้านค้าทั่วอเมริกา รวมถึงในยุโรป และเอเชีย
รายงานเจาะลึกตัวอย่างชะตากรรมแรงงานต่างด้าวชาวพม่าที่ถูกใช้แรงงานเยี่ยงทาสในโรงงานที่ปิดตัวจากโลกภายนอกในจังหวัดสมุทรสาคร ถูกปลุกตั้งแต่ตีสอง ถ้าไม่ลุกจะถูกตี จากนั้นทำงานแกะกุ้งไปยาว 16 ชั่วโมง ผู้คุมแรงงานจะไม่เรียกชื่อคนงาน แต่เรียกเป็นเลขรหัส
นายทิน โย วิน ถูกเรียกว่าหมายเลข 31 ถูกขายมาอยู่โรงงานแกะกุ้งแห่งหนึ่ง พร้อมแรงงานต่างด้าวชาวพม่าอีกเกือบ 100 คน มีเด็กที่เป็นลูกหลานมาด้วย แม้แต่เด็กหญิงตัวผอมบางก็ถูกบังคับใช้แรงงานที่ต้องเอามือแกะกุ้งในกองน้ำแข็งเย็นๆ ยืนที่โต๊ะแกะอยู่อย่างนั้นทุกวันเป็นเดือนๆ โดยไม่ได้ค่าจ้าง
เอพีระบุว่า สถานการณ์ค้ามนุษย์ส่งผลในด้านมืดที่ทำให้ไทยก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกกุ้งรายใหญ่ที่สุดของโลก แม้ทั้งรัฐบาลและเอกชนผู้ทำธุรกิจจะประกาศคำมั่นสัญญาว่าจะจัดการแก้ไขปัญหาในอุตสาหกรรมส่งออกสินค้าประมงท่ีทำมูลค่ากว่า 7,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 245,000 ล้านบาท สะท้อนถึงปัญหาการคอรัปชั่นและการร่วมกระทำผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ
หลังจากปีที่แล้ว เอพีเคยรายงานเปิดโปงชะตากรรมของประมงมากกว่า 2,000 ชีวิตในวงจรของอุตสาหกรรมประมงไทยที่ถูกกักขังในอินโดนีเซีย จนเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหยื่อเหล่านี้ได้ และนำไปสู่การจับกุมคนนับสิบ ยึดทรัพย์อีกหลายล้านดอลลาร์ รวมถึงมีการร่างกฎหมายใหม่ขึ้นมาจัดการ แต่เมื่อสืบสวนสถานการณ์หลังจากนั้น กลับพบว่ากระบวนการดำเนินคดียังถือว่ามีน้อยมาก และเจ้าของกิจการเหล่านี้อีกหลายเจ้ายังลอยนวล
จากภาพของเอพีบันทึกไว้วันที่ 9 พ.ย. 2558 เจ้าหน้าที่จังหวัดสมุทรสาคร พร้อมทหารและตำรวจบุกทลายโรงงานที่ใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย แรงงานเหล่านี้ถูกซ่อนอยู่บนถนนในเขตที่อยู่อาศัย หลังกำแพงอาคารที่ดูไม่ออกว่าเป็นโรงงานนรกในจังหวัด แรงงานต่างด้าวบางคนหนีออกมาได้ และทางกลุ่มสิทธิมนุษยชนช่วยไว้ จึงนำไปสู่การสอบสวน พบว่ามีอย่างน้อย 3 แห่ง แต่ละแห่งมีคนงานอยู่ราว 50-100 คน หลายคนถูกล็อกให้อยู่แต่ข้างใน
นายทิน โย วิน อายุ 22 ปี ผู้เป็นหนึ่งในนั้น เล่าว่า ตอนที่เข้าไปใหม่ๆ ได้พักหนึ่งจึงเริ่มรู้ตัวและตกใจมาก บอกกับ น.ส.มี ซาน ภรรยา ว่าแย่แล้ว เพราะโรงงานไม่มีทางออก ถ้าทำอะไรพลาด คงต้องตายแน่ๆ ขณะที่ผู้คุมโรงงานข่มขู่ว่า จะฟ้องตำรวจมาจับ เพราะทั้งสองเข้าเมืองมาแบบผิดกฎหมาย ทั้งสองและคนงานอื่นๆ อาศัยอยู่ในเรือนนอนสภาพแย่ สกปรก แออัด ถ้าแกะกุ้งได้น้อย จะถูกด่าว่าควาย ทางผู้คุมโรงงานจะอนุญาตให้ออกไปข้างนอกได้ ต่อเมื่ออีกคนต้องอยู่ในบ้าน เพื่อเป็นตัวประกันว่า อีกฝ่ายจะไม่หนีไป แต่ทั้งสองปรึกษากันมาตลอดว่าต้องหนีให้ได้ โดยเฉพาะเมื่อผู้คุมขู่ว่า เจ้านายมีปืนอยู่ในรถ จะเอามายิงทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะไม่มีทางที่ใครจะรู้
กรณีแบบนี้ถูกระบุว่าเป็นเรื่องปกติในจังหวัดนี้ รายงานขององค์การแรงงานสากลประเมินว่า มีแรงงานเด็กต่างด้าวอายุ 13-15 ปีในเมือง และเกือบร้อยละ 60 ของแรงงานพม่าที่อยู่ในอุตสาหกรรมประมงถูกบังคับใช้แรงงาน
เอพีรายงานด้วยว่า ในเดือนที่ผ่านมา ใช้วิธีบันทึกภาพรถบรรทุกที่วิ่งเข้าออกโรงงานนี้ และแกะรอยไปจนพบว่า รถวิ่งไปส่งสินค้ายังบริษัทส่งออกรายใหญ่ของไทย จากนั้นสินค้าก็ไปยังสาขาผู้นำเข้าในอเมริกา ที่ส่งสินค้าให้ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ ไม่ว่า วอลมาร์ท, โครเกอร์, โฮลฟู้ดส์, ดอลลาร์ เจเนอรัล แอนด์ เพ็ตโก
นอกจากนี้ยังส่งไปถึงบริษัทสินค้าอาหารทะเลและอาหารสัตว์ ที่ร่วมถึง ชิกเกน ออฟ เดอะ ซี แอนด์ แฟนซี ฟีสต์ ที่ส่งขายให้ร้านขายของชำอย่าง เซฟเวย์แอนด์ชนัคส์ ไปจนถึง พิกกี วิกกลี และ อัลเบิร์ตสันส์ สรุปแล้วใน 50 รัฐ ล้วนมีสินค้าที่ใช้แรงงานทาสวางขายอยู่ ทั้งนี้ อเมริกาเป็นประเทศที่ผู้คนชอบอาหารทะเลมาก ชาวอเมริกันบริโภคอาหารทะเลราว 585 กิโลกรัมต่อปี หรือเฉลี่ยคนละ 1.8 กิโลกรัมต่อปี
เอพีระบุว่า ภูมิภาคอาเซียนเป็นแหล่งค้ามนุษย์ที่สถานการณ์เลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่ง ไทยเองถูกประเมินผลติดเทียร์ 3 ของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐติดต่อมาแล้วสองปี ส่วนสหภาพยุโรปก็ประกาศเตือนด้วยการขึ้นกำแพงภาษีสามเท่า หากไทยยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ คาดว่าเดือนหน้าจะตัดสินว่าจะแบนสินค้าหรือไม่
ซูซาน คอปเพดจ์ เอกอัครราชทูตฝ่ายต่อต้านการค้ามนุษย์ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า บอกกับทางการไทยไปแล้วว่าให้พยายามแก้ไขปัญหา เพิ่มการดำเนินคดี และช่วยเหลือเหยื่อมากขึ้น ส่วนทางผู้บริโภคอเมริกันเองก็ควรแสดงท่าทีต่อบริษัทอาหารทะเลด้วยว่า “เราจะไม่ซื้อของที่ทำมาจากการใช้ทาส”
เอพีรายงานในตอนท้ายว่า แม้ว่าโรงงานแกะกุ้งที่ถูกเปิดโปงนี้ จะปิดไปแล้วในขณะนี้ แต่คนงานถูกย้ายไปอยู่อีกโรงงานที่มีเจ้าของเป็นคนเดียวกัน ส่วนทิน โย วิน และภรรยาที่ตั้งครรภ์อยู่ในศูนย์พักพิงของรัฐสำหรับผู้ถูกค้ามนุษย์ ทางเอพีจึงขอให้เจ้าหน้าที่ด้านสิทธิแรงงานที่ทำงานใกล้ชิดกับตำรวจ ตรวจสอบเพิ่มเติมด้วยว่า มีแรงงานรายใดที่ถูกกักตัวโดยไม่สมัครใจหรือไม่
ที่มา : ข่าวสด [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้